Wednesday, April 08, 2009

ลีซาน - เรื่องย่อละครตามบทโทรทัศน์ - ลีซาน (49)-(52)

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน 49

ขุนนางใหญ่ภายใต้การนำของแชซกจูนั้นได้ทูลขอให้พระเจ้าจองโจทรงถอนรับสั่งที่
เคยรับสั่งไป แต่พระเจ้าจองโจกลับไม่ทรงเปลี่ยนแปลงพระทัย
พระเจ้าจองโจทรงมีรับสั่งว่าถ้าหากขุนนางใหญ่คนใดไม่น้อมรับรับสั่งของพระองค์
ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรับใช้ราชสำนักอีกต่อไป หลัง
จากที่พระเจ้าจองโจทรงรับสั่งแล้วพระองค์ก็เสด็จออกจากที่ประชุมขุนนาง
แชซกจูเห็นพระเจ้าจองโจทรงไม่อ่อนข้อให้จึงกลับไปคิดหาหนทางใหม่ อีก ด้านหนึ่งนั้น
แชซกจูและบรรดาขุนนางใหญ่ต่างไม่พอใจการตัดสินพระทัยของพระเจ้าจองโจ
ด้วยเหตุนี้บรรดาขุนนางใหญ่จึงพากันไม่รับขุนนางใหม่เข้าทำงานในสังกัดของ พวกตน
ทำให้บรรดาขุนนางใหม่เกิดความไม่พอใจขึ้นมา
เนื่องจากบรรดาขุนนางใหญ่เป็นขุนนางที่สูงวัยทั้งนั้น
ดังนั้นจึงมีน้ำอดน้ำทนมากกว่าจึงทำให้หลีกเลี่ยงการปะทะไปได้
ไม่เช่นนั้นแล้วจะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน พระเจ้าจองโจทรง
ปรึกษาหารือวิเคราะห์ถึงคำพูดของบรรดาขุนนางใหญ่ ในที่ประชุมขุนนางกับฮงกุกยอง


แชจีคยองและนัมซาโช
พระเจ้าจองโจทรงไม่ไหวเอนไปกับคำพูดของบรรดาขุนนางใหญ่เลยแม้แต่น้อย
จากนั้นพระเจ้าจองโจก็ทรงมอบหนังสือราชการจำนวนหนึ่ง
ให้ฮงกุกยองนำไปแจกจ่ายให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง ฮงกุกยองมอบหมายงานให้เทซูและพวกไปทำ
พระมเหสีโยอึยเสด็จไปที่ศูนย์ ศิลปะและให้ซองซงยอนพาเดินชม ก่อนจะตรัสว่า
ทรงอยากรู้ว่าที่นี่สำคัญกับซองซงยอนแค่ไหน และจะยอมออกจากที่นี่หรือเปล่าถ้าจำเป็น
"เอ่อ พระมเหสี เอ่อ หม่อมฉันขอบังอาจทูลถาม ที่มีรับสั่ง ทรงหมายความว่าไงเพคะ
จะให้หม่อมฉันออกจากที่นี่หรือ เพราะอะไรเพคะ" "อีกไม่นาน จะมีประกาศคัดเลือกพระสนม
และข้าก็จะเสนอให้เจ้าเป็นสนมเอก เพื่อไปอยู่ในวังด้วยกัน" "อะไรนะเพคะ เอ่อ
พระมเหสี หม่อมฉันไม่เข้าใจ" "หึ ไปอยู่ในวังเถอะนะ เมื่อเป็นสนมแล้ว
เจ้าจะได้อยู่กับฝ่าบาททุกวันไง" "เอ่อ พระมเหสี" " ทุกวันนี้ฝ่าบาท
เหมือนอยู่บนเส้นทางที่วิบากนัก แต่พระองค์ก็ไม่ทรงกลัว
ยิ่งมีอุปสรรคก็ยิ่งอยากเผชิญ ที่สำคัญ ยังมีพระปณิธานอันใหญ่หลวง จนทุกวันนี้
ฝ่าบาทเหมือนจะทรงเครียดมาก ข้ารู้ว่าถ้าเป็นเจ้า
จะสามารถปลอบพระทัยให้ฝ่าบาททรงสำราญได้ มีแต่เจ้าเท่านั้น
ถึงจะชดเชยความอ้างว้างของฝ่าบาท ซึ่งข้าไม่มีวันทำได้" "เอ่อ พระมเหสี" " แน่นอน
ข้าคงไม่ฝืนใจเจ้าให้เป็นสนมหรอก เพราะถ้าไปอยู่ในวัง
เจ้าก็ต้องเลิกล้มความฝันที่จะเป็นช่างเขียนรูป มันคงจะเป็น การตัดสินใจที่ยากพอดู
แต่ยังไงข้าก็หวังว่า เจ้าจะไตร่ตรองให้ถ่องแท้
เพราะฝ่าบาททรงเหนื่อยล้าและไม่มีใคร คงหวังให้เจ้า ไปเป็นเพื่อนคู่พระทัยบ้าง
ตัดสินใจได้เมื่อไหร่รีบบอกข้าด้วย แต่หวังว่า ข้าคงไม่ต้องรอคำตอบจากเจ้านานนัก"
พระพันปีเฮคยองเรียกฮงกุกยองมาพบ
พระพันปีเฮคยองบอกฮงกุกยองว่าจะรับน้องสาวของฮงกุกยองเข้าวังหลวง "เอ่อ
แต่ว่าพระพันปี หม่อมฉัน เป็นข้าราชบริพารของฝ่าบาท
ถ้าให้เกี่ยวดองเป็นพระญาติละก้อ" " ยังไม่เข้าใจอีกหรือ
ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนสนิทของฝ่าบาท,ถึงได้เสนอเรื่องนี้ขึ้นมา
จริงอยู่อาจมีคนอื่นที่เหมาะสมกว่า แต่ดูจากความวุ่นวายในราชสำนักแล้ว
คิดว่าเรื่องนี้คงจะรอช้าไม่ได้ เพราะตอนนี้ฝ่าบาท ต้องการการสนับสนุนจากหลายฝ่าย
โดยเฉพาะเจ้าซึ่งเป็นคนสนิทที่ใกล้ตัวก็ควรมีอำนาจมากขึ้น และยังมีอีกข้อหนึ่ง
คือปัญหาที่ฝ่าบาทไม่มีทายาทซะที ข้าจึงอยากให้มีโอรสเร็วๆ
เพื่อให้บัลลังก์ของฝ่าบาทมีความมั่นคงมากขึ้น แม้ว่าการทำแบบนี้
เจ้าจะเป็นที่ครหาว่าคิดขยายอิทธิพล แต่ข้าเชื่อว่า ถ้าเจ้ามีอำนาจเมื่อไหร่
จะไปช่วยฝ่าบาททำงานให้มากขึ้น เป็นไงบ้าง ข้าเชื่อในความภักดีของเจ้า
แล้วเจ้าจะทำให้ข้าสมหวังได้หรือเปล่า" "พระพันปี"
องค์ชายลีซานตรัสถามฮงกุกยองถึงเรื่องเตรียมการสอบไปถึงไหนแล้ว "มีสนามสอบฝ่ายบุ๋น
6 แห่ง ฝ่ายบู๊ 4 แห่ง ล้วนเตรียมพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ" "แต่ว่าฝ่าบาท
ฝ่ายปกครองและฝ่ายกลาโหมมีตำแหน่งว่างมากที่สุด คิดว่าตอนคัดเลือก
คงจะเป็นงานหนักพ่ะย่ะค่ะ" " ก็สมควรอยู่หรอก การคัดเลือกขุนนางรวดเดียว 2 พันคน
ไม่ใช่เรื่องทำได้ง่ายๆ ต้องดูประวัติการศึกษาและคุณสมบัติให้ครบ
ถึงจะรับเข้ามาได้รู้มั้ย" "หม่อมฉันจะดูแลเต็มที่พ่ะย่ะค่ะ" แชจีคยอมกล่าว
"หม่อมฉันก็จะช่วยอีกแรงพ่ะย่ะค่ะ" "ทุกคนไปรอที่ห้องอักษรก่อน เดี๋ยวข้าตามไป"
แชจีคยอม นัมซาโช และฮงกุกยองรับคำพร้อมกัน "พ่ะย่ะค่ะ"
องค์ชายลีซานเสด็จไปและพบกับซองซงยอน "ทำไมวันนี้กลับค่ำล่ะ" "เอ่อ เพคะ
ต้องไปคุยกับกรมพิธีการเกี่ยวกับเรื่องสอบ กว่าจะรอทุกคนมาครบ ทำให้เลยเวลาไปมาก"
"เพราะคำสั่งของข้า ทำให้เจ้าลำบากด้วย เราจะมีการสอบขุนนาง
พวกเจ้าคงต้องเตรียมงานเยอะสินะ" "ลำบากอะไรเพคะ ไม่มีซักนิด
เมื่อเราเป็นช่างเขียนก็ต้องทำงานพวกนี้อยู่แล้ว" "หึ นั่งลงก่อนสิ" "เอ่อ ฝ่าบาท
หม่อมฉันคงไม่เหมาะจะ" "ไม่เป็นไร นั่งเถอะ" "หึ หึ เอ่อ แต่ว่าฝ่าบาท
ดูพระพักตร์ไม่ค่อยดีนะเพคะ" "งั้นหรือ" "เพคะ เทียบกับวันก่อนที่เจอ
พระพักตร์ดูซูบผอมไปเยอะ หรือว่า ทรงประชวรตรงไหนหรือเปล่าเพคะ" "เปล่าหรอก
แต่อาจเพราะว่า หลายวันนี้ไม่ค่อยได้กินอะไรเลยดูเพลียๆ" "หา
ฝ่าบาทไม่ได้เสวยหรือเพคะ" "เพราะมัวแต่ทำงาน บางทีก็ลืมเรื่องอาหารไปบ้าง" " เอ่อ
แต่ว่า แบบนี้มันไม่ดีนะเพคะ ถึงจะยุ่งแค่ไหน ก็ควรถนอมพระวรกายให้มาก
ถ้าทรงประชวรจะเป็นเรื่องใหญ่ ทำไมละเลยเวลาเสวยได้ล่ะ เพคะ หึ ฝ่าบาท"
"น่าแปลกจริงๆ เวลาฟังพวกซังกุงบ่นเรื่องนี้ ข้าจะรู้สึกรำคาญ แต่พอเจ้ามาบ่น
ข้ากลับชอบมาก" "เอ่อ ฝ่าบาท" "ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวข้าจะไปกินข้าวให้อิ่ม
พอใจหรือยัง" "หึ ถือเป็น คำสัญญาได้ไหม" "ได้สิ ถือเป็นสัญญา" วัน
รุ่งขึ้นเป็นวันคัดเลือกขุนนางฝ่ายบุ๋น หอศิลป์ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่จดบันทึก
หัวหน้าหอศิลป์คัดเลือกจิตรกรจำนวนหนึ่งเข้าไปในวังหลวงเพื่อทำหน้าที่จด บันทึก
ซองซงยอนเป็นหนึ่งในบรรดาจิตรกรที่ถูกคัดเลือก
เมื่อซองซงยอนและพวกเข้าไปที่สนามสอบก็รู้สึกแปลกใจเมื่อพบว่ามีผู้มาคัด
เลือกน้อยมาก ซองซงยอนพบว่ามีพิรุธ หลังจากที่นัมซาโชและฮงกุกยองรู้
เรื่องนี้ก็รีบนำความทูลพระเจ้าจองโจทันที
พระเจ้าจองโจทรงเสด็จมาที่สนามสอบด้วยพระองค์เอง
พระเจ้าจองโจทรงพบว่ามีบัณฑิตเข้ามาสอบคัดเลือกน้อยมาก
พระองค์จึงทรงมีรับสั่งให้ฮงกุกยองสืบหาความจริงว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน แน่
แชซกจูและบรรดาขุนนางใหญ่ต่างไม่พอใจที่พระราชาทรงไม่ถอนรับสั่ง
หลังจากที่ทุกคนปรึกษาหารือกันแล้วก็พากันไปเข้าเฝ้าพระหมื่นปีจองซุนเพื่อ
ปรึกษาหารือว่าจะรับมือกับพระราชาอย่างไรดี เดิมทีพระหมื่นปีจองซุนก็อับจนหนทาง
แต่เมื่อแชซกจูกล่าวรายชื่อขุนนางเก่าแก่คนหนึ่งขึ้นมาก็ทำให้พระหมื่นปีจอง
ซุนทรงตระหนก แท้ที่จริงแล้วขุนนางคนนี้เป็นใครกันแน่ แชซกจูทูลพระ
มเหสีจองซุนว่าถ้าหากขุนนางที่ว่านี้ให้ความช่วยเหลือ
เชื่อว่าพระเจ้าจองโจจะไม่มีท่าทีแข็งกร้าวเช่นนี้อย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนั้นแชซกจูก็ไปเชื้อเชิญขุนนางเก่าที่ว่านั้นด้วยตนเอง
แชซกจูวิงวอนขอร้องอยู่นานจนขุนนางเก่ายอมให้เข้าพบ
ที่แท้ขุนนางเก่าที่ว่านี้เป็นขุนนางที่มีความดีความชอบมากมายในสมัยอดีตพระ ราชา
คำพูดของขุนนางคนนี้ไม่เพียงเป็นที่เกรงพระทัยของอดีตพระราชา
น้ำเสียงของขุนนางคนนี้ก็น่าเกรงขาม
แม้แต่ชาวบ้านต่างพากันยำเกรงขุนนางคนนี้เป็นอันมาก แชซกจูบอกขุนนาง
เก่าว่าบรรดาขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ต่างไม่พอใจรับสั่งของพระเจ้าจองโจเป็นอันมาก
ถ้าหากต้องการให้ราชสำนักกลับสู่ทำนองคลองธรรมจะต้องให้ใต้เท้าช่วยออกหน้า
เชื่อว่าถ้าใต้เท้าออกหน้าจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นแน่นอน
ใต้เท้ามีความเห็นเป็นประการใด ที่แท้ขุนนางเก่าผู้นี้มีชื่อว่าชางแท วู
ชางแทวูเล่าถึงสาเหตุที่ออกจากราชการให้แชซกจูและพวกฟัง
จากนั้นชางแทยูก็รับปากให้ความช่วยเหลือ ชางแทยูเข้าวังหลวง
ภารกิจแรกที่ชางแทยูทำคือเกลี้ยกล่อมบัณฑิตไม่ให้เข้าสอบคัดเลือกเป็นขุนนาง
เรื่องนี้สร้างความกลัดกลุ้มพระทัยให้พระเจ้าจองโจยิ่งนัก ทรงตรัสถามชางแทวู
"พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันขอบังอาจทูลว่า เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะการสอบคราวนี้
ถือว่าผิดต่อระเบียบปฏิบัติ หากจะคล้อยตาม คงไม่ใช่วิสัยของผู้เป็นบัณฑิต"
"ผิดระเบียบปฏิบัติหรือ หมายถึงข้าใช่ไหม ถ้าอย่างงั้น แล้วฝ่ายของท่านล่ะ
แบ่งพรรคแบ่งพวกกีดกันคนนอก กุมอำนาจบริหาร ถือตนเป็นใหญ่ ทำอะไรตามใจชอบ
แบบนี้ถือว่าถูกต้องแล้วหรือไง" "พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทรับสั่งถูกแล้ว
ทุกอย่างในโลกล้วนมี 2 ด้าน มีดำก็มีขาว มีฝ่ายถูกก็มีฝ่ายผิด แล้วฝ่ายผิดคืออะไร
คือฝ่ายที่ต้องเสียสละมากกว่าคนอื่น ทุกวันนี้กลไกที่ขับเคลื่อนบ้านเมือง
เป็นระบบที่มาจากขั้วอำนาจเก่า ซึ่งข้อนี้แม้แต่อดีตพระราชาก็ไม่กล้าทรงปฏิเสธ
แม้จะจำใจยอมรับ ก็เพื่อให้บ้านเมืองได้อยู่อย่างมั่นคงต่อไป แต่ฝ่าบาทจะทรงปฏิเสธ
แนวทางของอดีตพระราชาได้หรือพ่ะย่ะค่ะ" "ไม่ใช่
ต่อให้เป็นนโยบายของเสด็จปู่จริงก็ควรดูว่าเหมาะหรือไม่
ข้าคิดว่าหลักสำคัญในการบริหารบ้านเมือง คือความปรองดองจากทุกฝ่าย
เช่นเดียวกับพิณต้องมี 5 สาย ถึงจะบรรเลงเพลงได้อย่างไพเราะ
ขุนนางไม่ว่าใหม่และเก่า ชายหรือหญิงควรมีสิทธิ์เท่าเทียม
ไม่ใช่ใครไม่เห็นด้วยกับเรา ก็ฆ่ามันให้หมด แต่ต้องยอมรับในความต่าง
แล้วปรับใช้ให้สมดุลต่างหาก นี่คือระบบที่เราต้องนำมาใช้จริง
และเสด็จปู่ก็เคยเห็นชอบ ที่จะให้ดำเนินการตามนี้ จึงอยากให้ท่านฟังให้ดี
ไม่ว่าท่านจะแผลงฤทธิ์อะไรอีก ข้าก็ไม่มีวันอ่อนข้อให้ อีก 6
วันข้างหน้าจะให้มีการสอบใหม่ และจะเปิดทางให้ลูกอนุฯ และอดีตขุนนางมามีส่วนร่วม
ในการบริหารประเทศด้วย "งั้นก็แปลว่า ยังไงการสอบก็จะเป็นโมฆะ" "ว่าไงนะ" "
ฝ่าบาทซึ่งเป็นประมุขแห่งโชซอน กลับมีพระดำริแหวกแนวแล้วจะให้คนอื่นยอมรับได้ยังไง
หน้าที่ของขุนนางคือถวายคำแนะนำในทางที่ถูก ฉะนั้นหม่อมฉันแม้จะแลกด้วยชีวิต
ก็ต้องขัดขวางการตัดสินพระทัยที่ผิดพลาด" "ใต้เท้า" พระเจ้าจองโจทรงอึ้งไป "
แม้ว่าฝ่าบาทจะทรงเป็นพระราชา แต่ว่า พระราชาไม่ได้มีแค่องค์เดียวเท่านั้น
ราชวงศ์นี้มีมากว่า 400 ปี อาศัยขุนนางค้ำจุนมาตลอดและอนาคตก็ยังจะเหมือนเดิม
ถ้าฝ่าบาทจะทรงคิดแก้ไขระบบเหล่านี้ หม่อมฉันขอทุลว่า
ฝ่าบาทจะได้เห็นพลังของบัณฑิตและมวลชน ว่ามีมากขนาดไหน"
จากนั้นไม่นานแชจีคยอมก็บ่นให้พระเจ้าจองโจรับทราบว่า " ฝ่าบาท
ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีหนังสือลาออกมากขึ้น ไม่เพียงแต่ 6 กรมกอง
แม้แต่ขุนนางระดับล่างก็พลอยตามแห่ ขอลาออกเป็นทิวแถวพ่ะย่ะค่ะ"
"ไม่เพียงแค่นี้นะพ่ะย่ะค่ะ พอยื่นหนังสือลาออกแล้ว ทุกคนก็งดเข้าประชุม
ทำให้หลายหน่วยงาน มีงานค้างอยู่เป็นจำนวนมาก" "
เห็นว่ากรมปกครองตำแหน่งว่างมากที่สุด อดีตขุนนางที่เคยอยู่หน่วยนี้ว่ายังไง
ป่านนี้น่าจะถึงเมืองหลวงแล้ว ไปดูซิว่าทำไมยังไม่มาอีก"
"หม่อมฉันให้ทหารไปสืบข่าวแล้วพ่ะย่ะค่ะ" พวกเทซูไปสืบและรีบกลับมาบอกฮงกุกยอง
แล้วฮงกุกยองก็รีบทูลพระเจ้าจองโจให้ทรงทราบ "อะไรนะ ขุนนางท้องที่ตั้งด่านสกัด
ไม่ให้อดีตขุนนางเข้าเมืองหรือ" " พ่ะย่ะค่ะ
อ้างว่าตั้งด่านเพื่อตรวจการลักลอบเข้าเมือง แต่จริงๆ คือดูว่าใครเป็นอดีตขุนนาง
แล้วยัดเยียดข้อหาจับไปขังไว้ แต่ว่า เท่าที่สังเกต
คือขุนนางท้องที่สมคบขุนนางในเมือง สกัดพวกอดีตขุนนาง
ไม่ให้เข้าวังมารายงานตัวพ่ะย่ะค่ะ" "ฝ่าบาท ปัญหาไม่ได้อยู่แค่นี้
ต่อให้พวกเขาเข้าวังจริง ก็ดูได้แค่งานในภาพรวมเท่านั้น เพราะเจ้าหน้าที่ระดับล่าง
ไม่มีใครเชื่อฟังและพร้อมจะผละงานได้ทุกเมื่อ" "ข้าจะไปดูด้วยตัวเอง
ว่าสภาพในตัวเมืองเป็นยังไงแน่ รีบไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้" ชา งแทวูกล่าวไว้ว่า
"ถ้าราชสำนักเกิดความแตกแยก ผู้รับเคราะห์สุดท้าย ก็คือราษฎรที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่
แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะทุกอย่างนี้ เกิดจากพระราชาที่หุนหันพลันแล่น
ทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ความเผด็จการของพระราชาจะส่งผลยังไงต่อบ้านเมือง
อีกไม่นานฝ่าบาทก็จะรู้ด้วยตัวเอง" ชาวบ้านถูกขโมยเข้าบ้านสามหลังติดๆ กัน
และมีชาวบ้านไม่สบายมาก ต้องส่งหมอไปช่วย พระเจ้าจองโจทรงเสด็จไปดูด้วยพระองค์เอง
"หึ ฝ่าบาท" "ลำบากท่านจริงๆ" "ทำไมเสด็จมาถึงนี่ล่ะพ่ะย่ะค่ะ
หม่อมฉันขอบังอาจทูลว่า ให้เสด็จกลับไปดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ เพราะถ้าอยู่ที่นี่
อาจทรงมีอันตราย" "อันตรายหรือ หมายความว่าไง" "ตอนนี้กำลังมีโรคระบาดอยู่
คนไข้ส่วนใหญ่ที่มานี่ ล้วนติดโรคระบาด อาการน่าเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ"
"ในเมืองมีโรคระบาดหรือ เกิดเมื่อไหร่ ทำไมข้าไม่เห็นรู้เลย" " เมื่อ 3 วันก่อน
หม่อมฉันได้แจ้งไปยังกรมอนามัย แต่คิดว่าทางโน้นคงไม่ได้นำความขึ้นทูลพ่ะย่ะค่ะ
เริ่มจากสะพาน “ควางเคียว” ที่เชื้อโรคแพร่ระบาด
บวกกับเจ้าหน้าที่การแพทย์ที่มีน้อย ทำให้ไม่อาจควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ เพราะฉะนั้น
เชิญเสด็จกลับวังหลวงเถอะพ่ะย่ะค่ะ"

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน จบ 49

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน 50

ที่สนามสอบ พระเจ้าจองโจทรงมีรับสั่งถามฮงกุกยองว่าเหตุใดจึงไม่มีบัณฑิตเข้าสอบคัด
เลือกเป็นขุนนาง ทันใดนั้นเอง ชางแทวูก็มาเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจ
ชางแทวูทักทายพระเจ้าจองโจโดยไม่ยำเกรงเบื้องสูงแม้แต่น้อย
พระเจ้าจองโจทรงเชื้อเชิญชางแทวูไปที่ห้องพระอักษร จากนั้นพระเจ้าจอง
โจทรงมีรับสั่งถามชางแทวูถึงวัตถุประสงค์ที่มาเข้าเฝ้าพระองค์
ชางแทวูทูลพระเจ้าจองโจว่าต้องการเปลี่ยนแปลงพระราชาให้ถูกต้องตามธรรมนอง คลองธรรม
เมื่อพระเจ้าจองโจทรงสดับเช่นนั้นแล้วก็ไม่ได้ทรงมีท่าทีที่หวาดกลัวชางแทวู
แม้แต่น้อย พระเจ้าจองโจทรงมีรับสั่งตอบกลับไปว่าไม่ว่าใครหรือสิ่งใดก็
ตามก็ไม่สามารถทำให้พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงพระทัยเดิมไปได้
ชางแทวูทูลพระราชาว่าตนมาเข้าเฝ้าในครั้งนี้นั้นใช่ว่าไม่ได้มีการเตรียมการ
มาแต่อย่างใด ถ้าหากพระเจ้าจองโจทรงยังคงยืนยันตามพระราชประสงค์เดิม
ตนก็จะงัดข้อกับพระเจ้าจองโจจนถึงที่สุด อีกด้านหนึ่งนั้น
ฮงกุกยองเผชิญหน้ากับคนของชางแทวู
ดูเหมือนว่าคนของชางแทวูรู้ดีว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไรกับฮงกุกยอง
คนของชางแทวูพูดจาไม่เกรงอกเกรงใจฮงกุกยองแม้แต่น้อย พระเจ้าจองโจทรง
กลัดกลุ้มพระทัยด้วยปัญหาของแชซกจูและบรรดาขุนนางใหญ่
เมื่อพระมเหสีโยอึยทรงทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น
พระนางก็ทรงเสด็จไปที่หอศิลป์เพื่อพบกับซองซงยอน
เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นในหอศิลป์
ก็ร่ำลือกันว่าซองซงยอนจะเข้าไปเป็นพระสนมในเร็ววันนี้
แต่ก็มีหลายคนที่วิพากษ์วิจารณ์กันว่าหลังจากที่ซองซงยอนเข้าวังหลวงแล้วจะ
ถูกกลั่นแกล้งสารพัด เนื่องจากในวังหลวงกล่าวขานกันว่าพระมเหสีโยอึ
ยซึ่งประทับอยู่ที่ตำหนักหลวงจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดบรรดานางสนม
ถ้าหากเรื่องที่ซองซงยอนถูกเรียกตัวเข้าวังหลวงเป็นความจริง
ซองซงยอนจะต้องพบภัยพิบัติใหญ่หลวงอย่างแน่นอน ซงยอนก็เกิดความกลัดกลุ้มใจขึ้นมา
ขณะที่ปาร์กซายอง
และเทซูกำลังดื่มเหล้าด้วยกันนั่นเองได้หยิบยกข่าวลือที่ซองซงยอนถูกเรียก
ตัวเข้าวังหลวงขึ้นมาพูดคุยกัน
เทซูซึ่งเดิมทีรู้สึกขุ่นข้องหมองใจอยู่แล้วนั้นรู้สึกว่าถูกทำร้ายจิตใจ เป็นอันมาก
เนื่องจากเทซูตระหนัก ดีว่าซองซงยอนคิดอย่างไรกับพระเจ้าจองโจ
แต่ตนก็ไม่กล้าเปิดเผยความในใจให้ซองซงยอนรู้ได้ ในเวลานี้เมื่อรู้ เรื่องที่
ซองซงยอนถูกเรียกตัวเข้าวังหลวง ยิ่งทำให้ความรักที่มีต่อซองซงยอน
ยากที่จะหักห้ามใจต่อไปได้ ตกดึก
ขณะที่ซองซงยอนเดินทางกลับบ้านหลังจากที่ได้ไปเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจมาแล้ว นั้น
ซองซงยอนพบว่าเทซูยืนรอนางอยู่ ซองซงยอนเปิดเผยความรู้สึกที่มี
ต่อพระเจ้าจองโจให้เทซูรู้
ซองซงยอนยอมรับกับเทซูว่านางอยากเข้าวังหลวงเพื่อจะได้พบและได้ยินเสียงพระ
เจ้าจองโจทุกวัน
นางอยากอยู่เคียงข้างพระเจ้าจองโจเพื่อคลายความกลัดกลุ้มพระทัยให้พระองค์
ซองซงยอนพูดด้วยน้ำตาคลอว่าแต่นั่นก็เป็นเพียงความฝันเท่านั้น
ความฝันที่ไม่สามารถเป็นความจริงขึ้นมาได้ หลังจากที่เทซูฟังซองซงยอน พูดจบแล้ว
เทซูก็เปิดเผยความในใจต่อซองซงยอน
เทซูตัดพ้อว่าเหตุใดตนจึงไม่สามารถอยู่เคียงข้างซองซงยอนได้
เทซูถามย้ำซองซงยอนว่าตนไม่สามารถแทนที่พระเจ้าจองโจได้จริงหรือ
ทุกครั้งที่ตนเห็นซองซงยอนเสียใจ ตนจะรู้สึกเสียใจยิ่งกว่า
ตนไม่อยากให้ซองซงยอนต้องเสียใจอีกต่อไป
เป็นไปไม่ได้จริงหรือที่ตนไม่สามารถแทนที่พระเจ้าจองโจ ในเวลานี้เอง
ซองซงยอนถึงรู้ความจริงว่าเทซูรักนางมาก แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว
ในเวลานี้หัวใจของนางได้มอบให้พระเจ้าจองโจไปแล้ว
หัวใจนางไม่สามารถรับใครเข้ามาได้อีก
ซองซงยอนกลับเข้าบ้านโดยไม่ปริปากพูดแต่อย่างใด
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้คืนนี้ทั้งเทซูและซองซงยอนต่างนอนไม่หลับด้วยกัน ทั้งคู่
ถึงเวลาประชุมไม่มีเหล่าขุนนางมาประชุม
พระเจ้าจองโจทรงเสด็จไปที่เหล่าขุนนางชุมนุมกันอยู่ "ไหนๆ
ที่นี่ก็เป็นแหล่งชุมนุมของขุนนาง งั้นทีหลังก็ย้ายราชสำนักมาอยู่นี่ซะเลยดีกว่า
ท่านจะเห็นด้วยมั้ย" ชา งแทวูทูลว่า "ทรงอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่หม่อมฉันทำ
เพื่อให้ฝ่าบาททรงรู้ถึงหลักการปกครองที่ถูกต้อง โดยไม่เคยหวังเรื่องอื่น
เป็นการแสดงความภักดีอย่างหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ" "งั้นหรือ ปล่อยให้ราษฎรเจ็บไข้ได้ป่วย
ละทิ้งหน้าที่ที่พึงกระทำ ทั้งหมดนี้ เพื่อแสดงความภักดีต่อข้าหรือไง" "
ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอเพียงฝ่าบาททรงขับไล่อดีตขุนนางและลูกอนุฯ
พวกเราก็จะกลับไปทำงานทันที อีกทั้งจะช่วยฝ่าบาท
บริหารราชการอย่างแข็งขันโดยไม่มีการบิดพลิ้วอีก" ชางแทวูต่อรอง "หรือก็แปลว่า
ถ้าข้าไม่ตกลงก็คงได้เห็นดีไปข้างหนึ่ง อย่างงั้นใช่ไหม" "ทรงอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ
ฝ่าบาทคงต้องไตร่ตรองให้ดี" " ท่านพูดก็มีเหตุผล เหมือนที่ท่านเคยบอก
คราวนี้ข้าเป็นฝ่ายผิดจริงๆ เพราะบ้านเมืองนี้ ไม่ใช่ของพระราชาคนเดียว
ที่เป็นเสาหลักค้ำจุนคือขุนนางอย่างพวกท่าน ถ้าไม่มีขุนนาง ต่อให้ข้าเก่งแค่ไหน
ก็ไม่สามารถบริหารบ้านเมืองต่อไปได้ คราวนี้ถือว่าข้าโง่เอง ต้องขอบคุณท่านเสนาซ้าย
ที่ให้บทเรียนอันทรงคุณค่า" "ฝ่าบาท" "เชิญอ่านดู นี่คือคำตอบจากข้า
หลังได้รับบทเรียนคราวนี้" "เอ่อ ฝ่า ฝ่าบาท นี่คือ" " เรื่องที่จะประกาศพรุ่งนี้
พวกท่านนึกว่าตัวเองเป็นต่อ ขู่ให้ข้ากลัวหน่อยแล้วข้าจะยอมอ่อนข้อ
เห็นทีคงคิดผิดแล้ว เพราะฉะนั้น ที่ข้ามาเพื่อจะแสดงเจตนาชัดเจน
เหมือนที่เขียนในจดหมาย อีก 5 วันข้างหน้า จะมีการสอบขุนนางอีกครั้ง" "ฝ่าบาท"
"แต่ว่า คราวนี้จะต่างจากการสอบที่แล้วมา หากใครผ่านเกณฑ์คัดเลือก
จะไม่ต้องเริ่มจากพื้นฐาน ให้เป็นขุนนางระดับ 7 ถึง 8 ได้ทันที ยิ่งใครได้คะแนนดี
จะได้ตำแหน่งสำคัญเทียบเท่าระดับเจ้ากรม นอกเหนือจากนี้ ยังจะมีกฎว่า
ใครมีคุณสมบัติแต่ไม่เข้าสอบ ข้าจะตัดสิทธิ์คนๆ นั้น ให้ภายใน 10 ปี
ห้ามรับราชการไม่ว่าหน่วยงานไหนทั้งสิ้น" "ฝ่าบาท ทำแบบนี้ไม่ได้
ถือว่าผิดกฎนะพ่ะย่ะค่ะ จะทรงให้ราชสำนักแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ" " ใช่
ไหนๆ ก็ไหนๆ ถือโอกาสนี้แบ่งราชสำนัก ออกเป็นสองฝ่ายซะเลย
ระหว่างที่ไม่มีพวกท่านมาทำงาน ทำให้ข้าเกิดความคิดบางอย่าง นั่นก็คือ
ทางการไม่จำเป็นต้องมีหน่วยงานซ้ำซ้อนหรือเลี้ยงคนมากเกินไป หลังจากมองดูถึงรู้ว่า
นั่นเพราะสมัยก่อนพระเจ้ายอนซันเพิ่มหน่วยงานโดยไม่จำเป็น หลังจากผ่านยุคนั้นมาแล้ว
ความฟุ่มเฟือยก็ยังมีอยู่ เพราะฉะนั้น
ข้าจึงคิดว่าจะปฏิรูประบบขุนนางให้ง่ายต่อการทำงานและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยถือเอาโครงสร้าง ในยุคก่อนพระเจ้ายอนซันมาประยุกต์ใหม่ ทุกหน่วยงาน
ให้ดูจากหน้าที่และความรับผิดชอบเป็นหลัก ถ้างานซ้ำซ้อนก็รวมเป็นหนึ่งเดียวซะ
สับเปลี่ยนตำแหน่งผู้บังคับบัญชา ให้ไปเรียนรู้งานของฝ่ายอื่น จะได้ไม่ยึดติดเกินไป
ระดับล่างก็เหมือนกัน ตำแหน่งไหนไม่สำคัญหรือเป็นส่วนเกิน
ถ้าไม่อยากออกก็ให้รวมกับคนอื่นซะ ถ้าตอนนี้พวกท่านจะกลับมา ข้าก็ไม่แน่ใจว่า
ยังมีตำแหน่งไว้รองรับหรือเปล่า เข้าใจหรือยัง นี่คือสิ่งที่ข้าเรียนรู้
เหมือนที่ท่านเคยบอก ขุนนางคือเสาหลักของบ้านเมือง แต่ข้าก็ได้เรียนรู้ว่า
สิ่งสำคัญกว่านั้นคือไม่ควรให้พวกเขากุมอำนาจจนข้าแทบทำอะไรไม่ได้เลย
ท่านจะสอนข้าใช่ไหม งั้นก็ได้ ข้าก็จะสอนท่านเหมือนกันว่าอะไรคือหน้าที่ของขุนนาง
รวมถึง จิตสำนึกของการเป็นขุนนาง ให้ทุกคน ได้รู้ซึ้งแก่ใจซะบ้าง"
ชางแทวูและเหล่าขุนนางต่างอึ้งไปตามๆ กัน "ราชเลขา" พระเจ้าจองโจตรัสเรียกฮงกุกยอง
"เอาคำสั่งที่ข้ามอบให้ ไปประกาศเดี๋ยวนี้" " พ่ะย่ะค่ะ นี่คืองานเฉพาะหน้า
ที่ต้องเร่งดำเนินการในช่วงนี้ อันดับแรกคือหน่วยปราบปราม
ต้องกำชับให้ดูแลสวัสดิภาพของราษฎรให้ดี ส่วนงานในเมืองหลวง ก็ให้กรมอาญาคอยดูแล
สะสางงานที่เร่งด่วนไปก่อน และพอหลังจากสอบแล้ว
ค่อยจัดระบบใหม่ให้เข้าที่เข้าทางกว่านี้พ่ะย่ะค่ะ" แช จีคยอมกล่าวต่อ
"ส่วนกรมการศึกษาและวิทยาการที่จะรวมตัวกัน
จะให้เชื้อพระวงศ์บางคนที่ว่างงานไปดูไว้ก่อน และให้คนของฝ่ายปกครอง
ย้ายมาดูแลเรื่องสอบให้ผ่านไปก่อนพ่ะย่ะค่ะ" "เอาตามนี้แหละ
พยายามลดความสูญเสียให้น้อย พวกท่านก็ช่วยกันสอดส่องละกัน"
พระเจ้าจองโจตรัสกับพวกแชจีคยอม "พ่ะย่ะค่ะ" "ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
พวกขุนนางมาร้องขอให้พระเจ้าจองโจทรงพิจารณาใหม่
พระเจ้าจองโจทรงออกไปเผชิญหน้าและตรัสว่า " ข้าก็อยากทำตามกฎหมายเหมือนกัน
แต่ตอนนี้ขุนนางทั้งหลายพากันยื่นหนังสือลาออก แล้วจะให้ข้าทำยังไง ลืมแล้วหรือว่า
พวกท่านก็ได้ยื่นใบลาออกตามด้วย ที่สำคัญ พอข้าบอกให้กลับมา
พวกท่านก็ทำเป็นไม่รับรู้อีก แล้วตอนนี้ จะมีสิทธิ์อะไรมาพูดกับข้า
ให้รับฟังความเห็นพวกท่านก็แปลกไปแล้ว" ทุกคนตกใจ "ฝ่าบาท" " ถอยไปให้หมด
นับแต่วันนี้ พวกท่านไม่ใช่ขุนนาง ไม่มีสิทธิ์ออกความคิดเห็น ขืนมาโวยวายที่นี่อีก
ข้าจะเรียกทหารมาจับ และลงโทษให้หนักด้วย" พระเจ้าจองโจทรงไปตรัสกับพวกเชกา
ทำให้เชกาตกใจ "เดี๋ยว ทรงรับสั่งว่าไงนะพ่ะย่ะค่ะ จะให้พวกเรา
ดูแลงานของสามกรมใหญ่หรือพ่ะย่ะค่ะ" "เหมือนที่รู้อยู่ งานราชการต่างๆ
จะหยุดชะงักไม่ได้ เพราะฉะนั้น เลยอยากให้พวกท่านดูแลไปก่อนชั่วคราว" "แต่ว่าฝ่าบาท
เราเป็นแค่เจ้าหน้าที่ในหอตำราหลวง จะรับภารกิจด้านบริหารได้ยังไงพ่ะย่ะค่ะ" ชาย
แก่กล่าวว่า "ฝ่าบาท ที่จริงพวกเรา ยินดีถวายชีวิต แม้ให้บุกน้ำลุยไฟก็ไม่เกี่ยง
แต่ว่า หากเป็นงานนี้ หม่อมฉันเห็นว่าไม่สู้เหมาะนัก" "ทำไมอย่างงั้นล่ะ
ทำไมพวกท่านถึงทำแทนไม่ได้" " สามกรมใหญ่โดยเฉพาะที่ปรึกษานั้น
มีหน้าที่ถวายคำแนะนำต่างๆ แต่ในภาวะที่ฝ่าบาททรงมีความขัดแย้งกับเหล่าขุนนาง
แล้วให้เรามารับหน้าที่แทน ฝ่าบาทก็จะถูกครหาว่าทรงไม่เป็นกลางนะพ่ะย่ะค่ะ"
ชายแก่กล่าว เชกากล่าว ต่อว่า "และไม่เพียงเท่านี้ พวกเราได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาท
ทำให้ได้มายืนอยู่ตรงนี้
และถ้าจะให้พวกหม่อมฉันรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์อีก
ก็เกรงว่าจะยิ่งผิดธรรมเนียมไปใหญ่นะพ่ะย่ะค่ะ" "นี่แหละถูกแล้ว
พวกท่านทำแค่นี้ก็พอ ถ้าข้าทำอะไรผิดก็คอยตักเตือน บางครั้งอาจจะลุแก่อำนาจไปบ้าง
ก็คอยหมั่นสังเกต อะไรที่ไม่ดีก็ชี้ให้เห็นถึงความบกพร่อง นี่คือหน้าที่ของพวกท่าน
แค่นี้ ก็ถือว่าเริ่มต้นได้อย่างดีแล้ว ข้าไม่เห็นว่าถ้าจะใช้พวกท่าน
มันเป็นความลำเอียงเข้าข้างตรงไหน เข้าใจมั้ย เพราะข้าไว้ใจพวกท่าน
ถึงมอบหมายงานสำคัญให้โดยไม่ลังเล ก็แค่เอาอย่างตอนนี้
เห็นข้าทำอะไรไม่ถูกก็คอยเตือน ดึงให้กลับมาอยู่กับร่องกับรอยซะ เข้าใจหรือเปล่า"
ทุกคนกล่าวพร้อมกัน "ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ"
ทางด้านแชจีคยอมทูลพระเจ้าจองโจเรื่องอาการป่วยของชาวบ้าน "
อาการของผู้ป่วยที่อยู่หน่วยแพทย์ชุมชน ทยอยดีขึ้นตามลำดับหลังจากได้รับยา โดยเฉพาะ
คนที่ส่อแววเป็นพาหะนำโรค ก็ได้ลดจำนวนไปมากพ่ะย่ะค่ะ"
"ช่างเป็นข่าวดีสำหรับข้านัก" "พ่ะย่ะค่ะ งั้นตอนนี้ก็ให้หมอดูแลผู้ป่วยไป
ส่วนเจ้าหน้าที่ฝ่ายอื่น ก็ย้ายมาดูเรื่องการสอบที่กำลังจะมีขึ้นดีมั้ยพ่ะย่ะค่ะ"
"เอาตามที่ท่านว่า เพราะอีกสองวันก็จะมีการสอบแล้ว ข้าหวังว่า
คราวนี้จะผ่านพ้นอย่างราบรื่น โดยได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย" " แต่ว่า
จะมีบัณฑิตมาสอบหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ ถ้าคราวนี้ ยังทำให้การสอบเป็นโมฆะอีก
อาจทำให้ราชสำนักและฝ่าบาท เป็นที่ครหาของผู้คนได้" ทางด้านมินคนสนิทของชางแทวู
ก็รายงานชางแทวูว่า " ใต้เท้าไม่ต้องห่วงครับ ไม่เพียงแต่สำนักบัณฑิต
แม้แต่โรงเรียนทั่วเมืองก็ได้รับคำสั่งจากท่าน เชื่อว่าสอบคราวนี้
ยังคงต้องล้มเลิกเหมือนเดิมอีกครั้ง" "อย่าเพิ่งมั่นใจอย่างงั้น
หลายคนเรียนหนังสือมาชั่วชีวิตก็เพื่อหวังเป็นขุนนาง
หากรู้ว่าฝ่าบาทมีรับสั่งอย่างงั้นจริง ต้องมีใครบางคนหวั่นไหว ไม่ทำตามที่ข้าสั่ง"
ฮงกุกยองทูลพระเจ้าจองโจว่า ขณะนี้เหล่าบัณฑิตพากันทยอยเดินทางมาแล้ว
พระหมื่นปีจองซุนทรงมาพบฮงกุกยอง "พระหมื่นปี" " ไม่ต้องตกใจนักหรอก
ที่ข้ามาหาเพราะมีเรื่องบางอย่างจะคุยกับเจ้า แถวนี้มีคนเยอะ
เราจะยืนคุยกันอย่างงี้หรือ" พระหมื่นปีจองซุนตรัส "หม่อมฉันขอบังอาจทูลว่า
ไม่มีอะไรต้องพูดคุยกับพระหมื่นปี เพราะฉะนั้น เชิญเสด็จกลับไปตำหนักซะ" "
ข้าจะคุยเรื่องชางแทวู ถ้าเจ้าสนใจจริง ข้ามีวิธีทำให้คนๆ
นี้กลับไปอยู่เมืองชางยองเหมือนเดิม ว่าไง เปิดโอกาสให้ข้าช่วยเจ้า
ขจัดเสี้ยนหนามให้ฝ่าบาทดีมั้ย" พระพันปีเฮคยองทรงถามฮงกุกยองเรื่องจะ
ให้น้องสาวมาเป็นสนม ฮงกุกยองยินดี
จากนั้นพระพันปีเฮคยองก็ทรงให้ไปติดประกาศรับสมัครสนมใหม่
พระมเหสีโยอึยจึงนำเรื่องนี้ขึ้นไปทูลพระเจ้าจองโจ "หม่อมฉันมีเรื่องสำคัญจะมาทูล
แม้จะรู้ว่ารบกวนฝ่าบาท แต่ก็ต้องมาเพคะ" "รบกวนอะไรกัน ไม่หรอก ว่ามา
เจ้ามีเรื่องสำคัญอะไรหรือ" "ฝ่าบาท เช้าวันนี้
เสด็จแม่โปรดให้ติดประกาศเกี่ยวกับเรื่องรับสนมใหม่เพคะ" "ว่าไงนะ แล้วทำไม
จนป่านนี้เพิ่งมาบอกข้าล่ะ แม้จะเป็นเรื่องของฝ่ายใน
แต่ก็ควรให้ข้ารับรู้บ้างไม่ใช่หรือ" " ขอทรงอภัยเพคะ
เพราะรู้ว่าฝ่าบาททรงงานหนักทั้งวัน
เสด็จแม่เกรงว่าจะทำเป็นการรบกวนพระทัยเลยดำเนินการซะเอง ฝ่าบาทเพคะ ถึงขั้นนี้แล้ว
ไม่มีอะไรสำคัญกว่าการมีทายาทสืบสันตติวงศ์ เพื่อให้บัลลังก์ยิ่งมีความมั่นคง
เพราะฉะนั้น การเลือกพระสนมก็เพื่อสืบต่อราชวงศ์
หวังว่าฝ่าบาทจะทรงเห็นชอบด้วยนะเพคะ" "แล้วเจ้ายอมที่จะ ให้ข้ามีสนมหรือ หรือว่า
เสด็จแม่ทรงตำหนิ" "ไม่มีเลยเพคะ จริงๆ หม่อมฉันเป็นคนเสนอเรื่องนี้เองด้วยซ้ำ
ฉะนั้น ฝ่าบาทไม่ต้องทรงกังวล ว่าหม่อมฉันจะไม่สบายใจหรอกเพคะ" "เอาเถอะ ข้าเข้าใจ
ในเมื่อเจ้ากับเสด็จแม่เห็นดี ข้าก็คงไม่คัดค้าน ปล่อยให้ไปจัดการละกัน" "หึ
ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ แต่ว่าฝ่าบาท หม่อมฉัน ยังมีบางอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องนี้
มาขอให้ฝ่าบาททรงอนุญาต" "งั้นหรือ ก็พูดมาสิ ไม่ว่าเจ้าจะขออะไร
ข้าก็ให้ได้ทุกอย่าง ชุงจอน" "ฝ่าบาท ที่จริงหม่อมฉัน มีคนที่มองไว้แต่แรก
จะให้มาเป็นสนมของฝ่าบาทเพคะ" "งั้นหรือ นางเป็นใครกัน" "ก็คือซงยอนเพคะ" "ชุงจอน"
พระเจ้าจองโจทรงตกพระทัย " หม่อมฉัน อยากให้ซงยอน มาเป็นสนมของฝ่าบาทจริงๆ เพคะ
ผู้หญิงคนนี้ ว่าไปก็มีคุณสมบัติเพียบพร้อม แม้จะไม่มีชาติตระกูล
แต่หม่อมฉันเชื่อว่านางเหมาะจะเป็นสนมของฝ่าบาทยิ่งกว่าใครทั้งสิ้น ฝ่าบาททรงอนุญาต
ให้นางมาถวายการรับใช้ เป็นพระสนมดีมั้ยเพคะ" "หึ แต่ว่าเจ้า" " ถ้าหากว่า
ฝ่าบาทต้องมีพระสนมจริง หม่อมฉันก็เห็นว่า น่าจะเป็นคนที่โปรดปรานอยู่ก่อน
และสามารถปลอบพระทัยฝ่าบาทได้ ซึ่งซงยอน เป็นคนที่จะอยู่เคียงข้างฝ่าบาทได้ดี
หม่อมฉันเข้าใจถูกหรือเปล่าเพคะ โปรดอย่าทรงปฏิเสธ
อย่าเห็นแก่หม่อมฉันจนตัดนางออกไปนะเพคะ นี่คงเป็นสิ่งเดียว
ที่คนไม่เอาไหนอย่างหม่อมฉัน จะทำเพื่อฝ่าบาทได้ นอกจากนี้แล้ว
หม่อมฉันก็เหมือนไม่มีประโยชน์เลย เพราะฉะนั้น ถ้าฝ่าบาททรงเห็นแก่หม่อมฉันจริง
ก็โปรดให้หม่อมฉันได้ทำอะไรบางอย่าง ที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่าบาทบ้าง"

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน จบ 50


ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน 51

เท ซูและพวกพากันจับตาดูความเคลื่อนไหวของชางแทวู
เทซูพบว่าก่อนหน้านี้พระเจ้าจองโจทรงมีภารกิจพิเศษให้ตนนำจดหมายลับไปมอบให้
ใต้เท้าท่านหนึ่ง แต่วันนี้เมื่อได้พบกับชางแทวูก็เกิดความรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยขึ้นมา
เมื่อเป็นเช่นนี้เทซูจึงกลับไปรายงานฮงกุกยอง ฮงกุกยองนำความขึ้น ทูลพระเจ้าจองโจ
พระเจ้าจองโจทรงเสด็จประพาสเพื่อสืบหาความจริง
เมื่อพระเจ้าจองโจทรงเสด็จมาถึงหมู่บ้านที่ยากไร้แห่งหนึ่ง
พระเจ้าจองโจทรงทอดพระเนตรเห็นชาวบ้านล้มป่วยเป็นจำนวนมาก
หมอหลวงซึ่งตามเสด็จมาด้วยนั้นทูลพระเจ้าจองโจว่าในเวลานี้มีโรคระบาดไปทั่ว
ขอให้พระเจ้าจองโจทรงเสด็จกลับวังหลวงโดยเร็วที่สุด
คนในหอศิลป์ต่างพากันเป็นโรคระบาด ดูเหมือนว่าชางแทวูก็เป็นโรคระบาดเช่นเดียวกัน
แชจีคยอมทูลรายงานพระเจ้าจองโจว่า "จากรายงานของกรมอาญา ปัญหาโจรผู้ร้าย ค่อยๆ
ลดลงไปมากพ่ะย่ะค่ะ" "เป็นความจริงหรือนี่" "จริงพ่ะย่ะค่ะ โรคระบาดก็สามารถควบคุม
บวกกับเมืองหลวงเข้าสู่ภาวะปกติ ฝ่าบาทคงจะวางพระทัยได้แล้ว" พระเจ้าจองโจทรงรับฟัง
"หึ" นัม ซาโชทูลต่อว่า "ยังมีอีกเรื่องพ่ะย่ะค่ะ เกี่ยวกับการทำงานของคนที่หอตำรา
ได้ผลดีกว่าที่คิดไว้ ไม่เพียงสะสางงานของสามกรมใหญ่
แม้แต่เรื่องที่สั่งสมมาก็จัดการได้อย่างเรียบร้อย
จนคนที่ทำงานอยู่เดิมต้องมาขอคำแนะนำด้วยซ้ำ" "ใช่ ความขยันของพวกเขา
จะเป็นแบบอย่างให้ขุนนางที่ทำงานเช้าชามเย็นชามได้เกิดความละอายบ้าง"
"ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ" " แต่ว่าฝ่าบาท แล้วขุนนางเก่าที่ถูกพักงาน
จะทรงทำไงกับพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ หรือว่า จะทรงอนุมัติการลาออกของพวกเขาจริงๆ
ได้ข่าวว่ามีบางคนเริ่มเปลี่ยนใจที่จะกลับมา หม่อมฉันเห็นว่า ถ้าไงทรงอนุโลม"
"เรื่องนี้ ข้ามีวิธีจัดการอยู่แล้ว" "ฝ่าบาท ทำไงหรือพ่ะย่ะค่ะ" "โบราณว่าหลังฝนตก
ผืนดินจะยิ่งผนึกเหนียวแน่น ตอนนี้มรสุมผ่านแล้ว ในราชสำนัก
จะมีแต่คนที่ซื่อสัตย์จริง ถึงสามารถอยู่ต่อได้" มีเหล่าขุนนางไปหาฮงกุกยองที่บ้าน
ทำให้เขาเข้าวังช้า แชจีคยอมจึงเตือนเขาว่า " ตอนนี้เจ้าอายุยังน้อย
ไม่แปลกที่ยังมีกิเลสครอบงำ แต่ต้องระวังตัวให้มาก พริบตามันจะหมดทุกอย่าง
เจ้าเป็นคนที่ฝ่าบาท ทรงไว้วางพระทัยมากที่สุด ยิ่งเป็นเวลานี้
ก็ยิ่งต้องระวังคนรอบข้างจะมาหวังอะไรหรือเปล่า" "ขอบ คุณมาก ข้าจะจำใส่ใจไว้
แต่ว่า ท่านไม่ต้องเป็นห่วงแทน
ข้ารู้ว่าสิ่งที่ท่านกังวลคือความโลภของข้าจะทำให้ฝ่าบาทเสื่อมเสีย
ซึ่งถ้าข้าเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงจริง คงไม่ติดตามฝ่าบาทมาถึงวันนี้หรอก" "ใต้เท้าฮง"
" ไม่เชื่อก็คอยดู ความจงรักภักดีของข้าจะไม่มีวันเปลี่ยน
สิ่งที่ข้าทำทุกอย่างก็เพื่อรากฐานของฝ่าบาท อีกไม่นานท่านจะเข้าใจความหมาย
หมดเรื่องแล้ว ข้าขอตัวก่อนนะครับ" แชซกจูกับเหล่าขุนนางคิดหาวิธีกลับเข้ามาทำงาน
ถึงขนาดคุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้าจองโจ "
ทรงอภัยให้กับความโง่เขลาของเราด้วยพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่พวกเราทำ
ล้วนเป็นเพราะความห่วงใยที่มีต่อบ้านเมืองและราชสำนัก
โดยไม่มีเจตนาคิดขัดพระบัญชาเลยแม้แต่น้อย ขอทรงพิจารณาด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ"
แชซกจูทูล "นั่นสิ ในเมื่ออยากให้ข้าพิจารณา
ก็ไม่ควรทิ้งงานและขัดคำสั่งเมื่อเรียกให้มาพบอีก ตอนนี้สำนึกได้ก็สายไปแล้ว
หรือท่านว่าไง" "ฝ่าบาท" " ที่สำคัญอีกอย่าง
ถ้าพวกท่านสำนึกผิดจริงและอยากให้ข้ายกโทษ วันนี้ที่มาพบ ก็ควรเป็นผู้นำอีกคน
ที่บงการให้พวกท่านทำโน่นทำนี่ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมที่มา ไม่เห็นเงาใต้เท้าชางแทวู
มาคุยกับข้าบ้างล่ะ" "เอ่อ แต่ว่าฝ่าบาท นั่นเป็นเพราะ" "
ข้าเคยเห็นแก่ส่วนรวมจนอ่อนข้อให้พวกท่าน อุตส่าห์ออกจากวังไปพบใต้เท้าชางถึงบ้าน
คิดดูซิ ขนาดพระราชายังลดตัวได้ แล้วขุนนาง จะไม่ยอมอ่อนข้อให้พระราชาบ้างหรือ"
แชซกจูไปขอร้องให้ชางแทวูไปขออภัยโทษต่อพระเจ้าจองโจ แต่คนสนิทของชางแทวูไม่ยอม พระ
มเหสีโยอึยทรงพยายามเกลี้ยกล่อมให้พระพันปีเฮคยองรับซองซงยอนมาเป็นสนม
แต่พระพันปีเฮคยองไม่ทรงยอม และบอกว่าไม่อยากได้ยินชื่อซองซงยอนด้วย " ฐานะของนาง
ไม่มีครอบครัวรองรับเป็นหลักเป็นฐาน ที่สำคัญ เรายังมีกฎว่าเด็กกำพร้าห้ามเข้าวัง
อย่าว่าแต่เลือกสนมเลย ข้อมูลแค่นี้ยังไม่พอใช่ไหม
หรือเจ้าอยากฟังคุณสมบัติที่ด้อยกว่าในแง่ไหนอีก" "แต่ว่า เทียบกับเรื่องคุณสมบัติ
เรายังต้องคำนึงถึงพระทัยของฝ่าบาทบ้าง ฝ่าบาททรงโปรดปรานนาง
เสด็จแม่ก็ทรงทราบดีไม่ใช่หรือเพคะ" " ข้านึกว่าเจ้าน่าจะเข้าใจดี
ว่าการเลือกสนมคราวนี้ จุดประสงค์เพื่อสร้างฐานอำนาจให้ฝ่าบาทมากกว่าเรื่องอื่น
แสดงว่า ที่แล้วมาข้าคงดูเจ้าผิดไปซะแล้ว" "เสด็จแม่เพคะ"
"ก่อนที่งานนี้จะเสร็จสิ้น เจ้าไม่ต้องมาพบข้าอีก และไม่ต้องมาคำนับทุกเช้าด้วย
หมดเรื่องแล้วเชิญออกไปซะ" "เสด็จแม่"
ปาร์คยองมุนเลือกซองซงยอนให้เป็นช่างเขียนส่วนพระองค์ของพระเจ้าจองโจ
เข้าไปถวายการเขียนพระรูป ซองซงยอนถึงกับอึ้งไป "
ทุกวันนี้ฝ่าบาททรงปฏิรูปการปกครองหลายอย่าง
เพื่อยกเลิกค่านิยมโบราณและความเหลื่อมล้ำ
หากเจ้าไปแสดงฝีมือในฐานะช่างเขียนรุ่นใหม่ อีกหน่อยก็จะเป็นแบบอย่างให้คนอื่นด้วย"
"ขอบคุณใต้เท้ามากค่ะ" " แต่ว่า ก่อนจะเสนอชื่อให้กรมพิธีการ ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า
ทุกวันนี้ มีข่าวลือว่าเจ้าจะไปเป็นพระสนมในวัง เป็นความจริงหรือเปล่า
ต้นตอข่าวลือมาจากไหน ข้าก็ไม่อยากรู้ แต่ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง
เจ้าคงหมดสิทธิ์จะได้เป็นจิตรกรเอก เพราะฉะนั้น เลยอยากถามความเห็นของเจ้า
ตกลงจะเลือกทางไหน เจ้าต้องคิดให้ดีล่ะ"
พระเจ้าจองโจรับสั่งให้นัมซาโชตามซองซงยอนมาเฝ้า "สีหน้าเจ้าไม่ดีเลย
ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า" "ไม่มีหรอกเพคะ เพียงแต่ หลายวันนี้ไม่ค่อยได้นอน
ไม่ได้ป่วยตรงไหน ไม่ต้องทรงเป็นห่วงหรอกเพคะ" "งั้นหรือ จริงๆ แล้ว
หลายวันก่อนชุงจอน บอกข้าเกี่ยวกับเรื่องของเจ้า เรื่องนี้ เจ้าก็รู้อยู่ใช่ไหม"
"เอ่อ รู้เพคะ หลายวันก่อนพระมเหสี เสด็จไปที่ศูนย์ศิลปะ และมีรับสั่ง
ถึงสิ่งที่พระนางทรงคิดเอาไว้" " งั้นหรือ อย่างงี้นี่เอง แล้วหลังจากนั้น
นางก็มาพูดกับข้าบ้าง ถ้าข้าจำเป็นต้องมีสนมจริงๆ คนๆ นั้น
ก็น่าจะเป็นเพื่อนที่คอยปลอบประโลม และนางยังบอกว่า คนๆ นั้นน่าจะเป็นเจ้า ซงยอน
ข้า อยากรู้ว่าในใจเจ้า มีความคิดยังไงแน่ ถ้าหาก ถ้าเราเป็นอย่างงั้นได้จริง"
พอดีแชจีคยอมเข้ามาขัดจังหวะบอกว่าชางแทวูมาเฝ้า
พระเจ้าจองโจสั่งให้ซองซงยอนไปรอที่ห้องทำงาน แล้วพระองค์ก็ออกมาพบชางแทวู "
ท่านมาเร็วกว่าที่ข้าคิดไว้มากนัก นึกว่าต้องรอนานกว่านี้ซะอีก เอาล่ะ ไหนๆ
มาแล้วคงไม่ใช่นั่งเฉยๆ ท่านจะพูดอะไรกับข้าอีก ข้ากำลังรอฟังอยู่" " พ่ะย่ะค่ะ
งั้นหม่อมฉันจะขอทูลเดี๋ยวนี้ แต่สิ่งที่หม่อมฉันจะทูลฝ่าบาทนั้น
ถ้าต่างจากที่ทรงคิดไว้ก็ขอทรงอภัยล่วงหน้า หม่อมฉันขอบังอาจทูลว่า
ที่มานี่ไม่ใช่เพื่อขอให้ทรงอภัยโทษหรือสารภาพผิดใดๆ
หม่อมฉันเห็นว่าฝ่าบาททรงใช้มาตรการผิดพลาด มันคือความเผด็จการและลองผิดลองถูก
ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การปกครองของโชซอน ด้วยเหตุนี้
หม่อมฉันจึงไม่นึกเสียใจ ที่จะต่อต้านความแข็งกร้าวของฝ่าบาทเลย
รู้อยู่ว่าเป็นเส้นทางที่ผิด หม่อมฉันเป็นขุนนางจะห่วงแต่เอาตัวรอด
จนยอมละทิ้งศักดิ์ศรีได้ยังไง เพราะฉะนั้น ที่หม่อมฉันมาเข้าเฝ้า
ก็เพื่อจะแสดงจุดยืนให้ชัดเจน" "อย่างงั้นหรือ" "เพราะฉะนั้น
โปรดทรงลงอาญาที่หม่อมฉันขัดพระบัญชา ตามแต่จะเห็นควรด้วยเถอะ" "ลงโทษท่านหรือ? ใช่
น่าลงโทษจริงๆ อ้า เอาไปดูเอง นี่คือคำสั่งที่รอให้ท่านมา แล้วมอบให้ท่าน" ชา
งแทวูอ่านแล้วอึ้งไป พระเจ้าจองโจทรงตรัสว่า "ท่านอ่านไม่ผิดหรอก
เป็นคำสั่งให้ท่านกลับมาเป็นเสนาซ้ายอีกครั้ง
ข้ารู้ว่าท่านได้เจียดทรัพย์สินของตัวเองไปช่วยเหลือชาวบ้าน แถมยังสั่งการ
ให้ขุนนางอื่นช่วยกันบริจาค บรรเทาความเดือดร้อนไปบางส่วน
แม้ว่าเราสองคนจะต่างความคิด แต่ข้าก็รู้ว่านอกจากเป็นที่นับหน้าถือตาแล้ว
ท่านยังเป็นห่วงราษฎร ไม่ต่างกับตอนที่ยังรับราชการอยู่ และยังทำตัวเป็นแบบอย่าง
ให้คนรุ่นหลังได้เจริญรอยตาม เพราะฉะนั้น จงรับคำสั่งจากข้า กลับมาทำงานใหม่เถอะนะ
จากนั้น ข้าจะผ่อนผันให้ขุนนางอื่น ไม่ลงโทษสถานหนักฐานขัดคำสั่ง เป็นไงบ้าง
ทั้งหมดนี้ ถือเป็นการลงโทษที่พอเหมาะสมได้ไหม" "จะทรงใช้พระคุณกับหม่อมฉันใช่ไหม"
"งั้นหรือ ท่านคิดอย่างงั้นหรือ ก็ตามใจ จะคิดอย่างงั้นก็ไม่ผิด" "
แม้ฝ่าบาทจะทรงเมตตา แต่จุดยืนของหม่อมฉันก็ไม่มีวันเปลี่ยน
ถ้าให้หม่อมฉันกลับมาจริง ก็จะเหมือนอย่างตอนนี้
หม่อมฉันจะคัดค้านการใช้อำนาจเผด็จการของฝ่าบาท" "ก็ทำไปสิ
ที่ข้าต้องการจากท่านก็คือข้อนี้ วันก่อนข้าก็เคยบอกท่านแล้วว่า นโยบายปกครองของข้า
ไม่ใช่มุ่งกำจัดคนที่เห็นต่าง ยอมรับคนที่เห็นตรงกัน
แต่ต้องการความคิดที่หลากหลายไปสู่ทิศทางเดียวกัน ท่านบอกว่ามีจุดยืนก็ไม่เป็นไร
ส่วนข้า ก็จะใช้นโยบายใหม่ของข้า เพราะฉะนั้น เมื่อท่านกลับมาทำงานใหม่
มีอะไรไม่พอใจก็เสนอมาได้เต็มที่ ถ้ามีเหตุผลพอ ข้าพร้อมจะรับฟังความคิดคนอื่น
แต่ถ้าไม่ถูกต้อง ข้าก็จะสู้กับพวกท่าน ยืนกรานความคิดตัวเอง ข้าจะให้รู้ว่า
ความเสมอภาคเท่าเทียม และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น จะทำให้บ้านเมืองเจริญได้"
ฮงกุกยองรู้เรื่องที่ชางแทวูจะได้เป็น เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ไม่เห็นด้วย
รีบเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจ ซึ่งพระเจ้าจองโจทรงทราบดีอยู่แล้ว ทรงตรัสว่า
"ข้าตั้งใจไว้แต่แรกอยู่แล้ว เพราะเขามีบารมีมากพอ
สามารถควบคุมขุนนางทั้งหลายให้อยู่ในโอวาท" " แต่ว่าฝ่าบาท
ทำแบบนี้ไม่ถูกนะพ่ะย่ะค่ะ มาถึงขั้นนี้แล้ว น่าจะสลายขั้วอำนาจเก่าให้หมดไป แต่นี่
เท่ากับฝ่าบาททรงทำลายโอกาสทองแท้ๆ" "ข้าเคยบอกเมื่อไหร่ว่า
จะสลายขั้วอำนาจเก่าไม่ให้อยู่ในวังอีก" "เอ่อ ฝ่าบาท" " ถ้าท่านคิดอย่างงั้นจริง
แสดงว่าเข้าใจความหมายผิดซะแล้ว เพราะแต่แรกมา ข้าก็ไม่เคยคิดอย่างงั้นเลย
สิ่งที่ข้าทำ ไม่ใช่เพื่อกำจัดพวกเขา เพียงแต่คิดว่า จะดัดนิสัยไม่ให้เหลิงเกินไป
แต่ข้าก็รู้ ถ้าให้พวกเขากลับมาเมื่อไหร่ ไม่ว่าทำอะไรก็จะถูกคัดค้านไปซะหมด
แต่ปากบอกว่าจะใช้คนอย่างเท่าเทียม เอาเข้าจริงกลับมีแต่คนของเราเต็มไปหมด
มันคงขัดกับนโยบายน่าดู และข้าก็ไม่ใช่ว่า
อยากเป็นพระราชาที่ทำในสิ่งที่ตัวเองพอใจ" "ฝ่าบาท" "ข้าจะให้พวก เขาเปลี่ยนแนวคิด
ใช้ความสามารถที่มีให้เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง แม้ว่าอาจจะยากเย็น
แต่เส้นทางของข้าก็มีอุปสรรคอยู่แล้ว ความคิดของข้าแบบนี้ ท่านน่าจะรู้ดีไม่ใช่หรือ
เพราะฉะนั้นจงอย่าพูดมาก ทำตามที่ข้าสั่งก็พอแล้ว"
จังหวะนั้นพระพันปีเฮคยองจะมาขอพบพระเจ้าจอง โจ แต่ซังกุงทูลว่าอยู่ที่ท้องพระโรง
พระพันปีเฮคยองทรงเห็นว่าที่ห้องทำงานยังจุดไฟอยู่ก็ถามว่าทำไมห้องทำงานไม่ ดับไฟ
ซังกุงอึกอักไม่กล้าทูล พระพันปีเฮคยองเข้าไปดูแล้วก็พบกับซองซงยอน
"เจ้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่" "เอ่อ คือ พระพันปี" "นี่เป็นห้องทำงานของฝ่าบาท และที่ๆ
เจ้านั่งก็เป็นเก้าอี้ของพระราชา เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาวางมาดอยู่ในห้องนี้น่ะ" "เอ่อ
พระพันปี ทรงอภัยด้วยเพคะ หม่อมฉันผิดไปแล้ว หม่อมฉันไม่รู้ว่านั่งไม่ได้" "หุบปาก"
"พระพันปี" "ลากตัวผู้หญิงคนนี้ออกไปข้างนอก" "พระพันปีๆ" "ไม่ได้ยินหรือไง
ข้าบอกให้ลากตัวออกไป" ซังกุงรีบรับคำทันที " พระพันปี อภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ
พระพันปี ทรงฟังหม่อมฉันก่อน หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว อย่าทรงทำอะไรหม่อมฉันเลยเพคะ
พระพันปี ทรงอภัยด้วย หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ พระพันปี" "เฮ่ย
ช่างไม่รู้กาลเทศะจริงๆ เจ้ากล้าตีตนเสมอเบื้องสูง
อยู่ในห้องทำงานของฝ่าบาทโดยพละการ ช่างไม่มีใครอบรมซะบ้าง มันน่าโมโหจริงๆ
มิน่าล่ะ ถึงได้เสนอหน้ากับพระมเหสีและฝ่าบาทเพื่อหวังจะเข้าวังใช่ไหม" ซองซงยอน
เอาแต่ร้องไห้ "มิน่าพระมเหสีถึงได้ขัดคำสั่งข้าอยู่เรื่อย
ทั้งที่นางว่านอนสอนง่ายมาตลอด กลับเห็นแก่ผู้หญิงอย่างเจ้า
แม้จะขัดใจข้าก็ยังกล้าดึงดัน ข้าไม่สนว่าเจ้าจะใช้วิธีไหนประจบพระมเหสี
แต่ยังไงจะไม่ให้เจ้าเข้าวังแน่นอน ฉะนั้นสิ่งที่ข้าจะพูดต่อไปนี้จงฟังให้ดีด้วย"
หลังจากซองซงยอนกลับไปแล้ว พระเจ้าจองโจก็เสด็จมา
ทรงทราบว่าพระพันปีเฮคยองรออยู่ข้างในก็แปลกพระทัย "เสด็จแม่" " มานั่งทางนี้สิจ๊ะ
ถ้าจะมองหาเด็กคนนั้นละก้อ แม่ให้นางกลับไปนานแล้ว
ดึกป่านนี้มีคนงานหญิงมารอเจ้าอยู่ในห้องทำงาน ถ้าใครรู้เข้าคงไม่งามแน่
แม่จึงให้นางกลับไปซะ มีธุระอะไรก็ให้นางในไปติดต่อละกัน นั่งก่อนสิฝ่าบาท
ที่แม่มานี่เพราะมีเรื่องจะคุยกับเจ้า" "พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่"
"รู้แล้วใช่ไหมว่ามีประกาศคัดเลือกพระสนมติดอยู่ทั่วเมืองน่ะ" "พ่ะย่ะค่ะ" "
หลายวันนี้จึงมีชนชั้นสูงส่งประวัติลูกสาวเข้ามามากมาย แต่ใจจริงแล้ว
แม่มีคนที่หมายตาไว้แต่แรก คราวนี้แม่คิดว่า จะให้น้องสาวฮงกุกยองมาเป็นสนมของเจ้า
ฉะนั้น จึงอยากให้รับรู้ไว้ก่อน" "น้องสาวใต้เท้าฮงหรือ เสด็จแม่ทรงหมายถึง"
"แม่รู้ว่าเจ้ากำลังเป็นห่วงเรื่องอะไร แต่แม่เชื่อว่าคนๆ นี้
แม้จะกลายเป็นญาติของเรา ก็คงไม่ใช้อำนาจไปในทางที่ผิด" "แต่ว่าเสด็จแม่
เขาเป็นคนสนิทของหม่อมฉัน ซึ่งใครๆ ก็รู้ แล้วให้มาเกี่ยวดองกับเรา
หม่อมฉันเห็นว่าไม่เหมาะนะพ่ะย่ะค่ะ" " ไม่เป็นไร อย่าคิดอย่างงั้นสิ
เขามีความดีความชอบที่ช่วยให้เจ้าได้ครองบัลลังก์ ข้อนี้เจ้าคงไม่ปฏิเสธหรอกนะ
แม้ว่าปัญหาที่เกิด ถือว่าโชคดีที่จบลงได้
แต่ความศรัทธาของราษฎรเป็นสิ่งที่เราต้องคำนึง เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายซ้ำอีก
เราต้องแสดงให้เห็นถึงความมีอำนาจของเจ้า และความเป็นหนึ่งเดียวของคนในราชสำนัก
เพราะฉะนั้น เพื่อเห็นแก่บ้านเมืองและราชวงศ์ของเรา ขอให้เจ้าอย่าคิดเรื่องอื่น
และงานนี้ ปล่อยให้แม่จัดการตามที่เห็นชอบเถอะนะ" วันต่อมา ก่อนเข้าท้องพระโรง
ฮงกุกยองก็จัดให้มีการตรวจค้นอย่างละเอียด รวมทั้งชางแทวูด้วย
สร้างความไม่พอใจให้กับชางแทวูและคนสนิท จนเกือบมีเรื่อง ชางแทวูตัดบทก่อนว่า
"ไม่ต้องเถียงกับพวกเขา เจ้าก็คือคนที่ก่อตั้งหน่วยทหารพิเศษ ชื่อว่าฮงกุกยองใช่ไหม
ภาษิตว่าสุนัขที่เลี้ยงนานๆ จะเดินกร่างเหมือนเจ้าของ น่าจะตรงกับเจ้านี่แหละ"
ฮงกุกยองอึ้ง "ใต้เท้า" "ผ่านการเลือกสนมเมื่อไหร่
เจ้ายังได้ตีสนิทถึงฝ่ายในด้วยซ้ำ เห็นทีว่าอนาคตจะเป็นทรราชย์ซะกระมัง"
เหตุการณ์นี้ทำให้ฮงกุกยองนึกถึงวันที่พระมเหสีจองซุนมาพบเขา
บอกว่ามีวิธีทำให้ชางแทวูกลับไปอยู่เมืองชางยอง " สิบปีก่อน
คนที่ทำให้เขาต้องระเห็จออกไปก็คือข้า เรื่องนี้เจ้าคงได้ยินมานานแล้วใช่ไหม
ชางแทวูคนนี้ ไม่ใช่คนที่จะเล่นงานง่ายๆ
ข้าให้เขาไปอยู่บ้านเดิมก็เพราะสาเหตุนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น
ถ้าเจ้าเห็นแก่อนาคตของฝ่าบาทจริง ก็ต้องรีบหาวิธี กำจัดคนๆ นี้ให้พ้นทางซะ"
"พระหมื่นปีน่าจะยังไม่หายกริ้วหม่อมฉัน แล้วทำไมต้องมาช่วยหม่อมฉันอีก"
"ข้าทำเพื่ออะไร เจ้าน่าจะรู้ดี แต่ว่าข้าก็ไม่อยากให้ใครเข้าใจผิด
ถือว่าเป็นความภักดี ที่จะตอบแทนพระเมตตาของฝ่าบาทละกัน" " งั้นหม่อมฉันก็จะทูลว่า
ขอปฏิเสธความหวังดี ถ้าใต้เท้าชาง อีกหน่อยจะเป็นขวากหนามของฝ่าบาทจริง
หม่อมฉันย่อมมีวิธีกำจัดเขา โดยไม่ต้องรบกวนถึงพระหมื่นปี เพราะฉะนั้น
โปรดอย่าเสนอเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับพระหมื่นปีอีก" "งั้นหรือ" "พ่ะย่ะค่ะ"
"งั้นก็ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้าต้องการแบบนี้ ข้าก็ไม่ฝืนใจ แต่ว่า
เปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็มาหาได้ทุกเมื่อ ข้ายินดีต้อนรับเสมอ" วัน ต่อมา
พระเจ้าจองโจเสร็จจากประชุมก็พบว่าซองซงยอนคือช่างเขียนพระองค์ ทรงอึ้งไป
และการเข้าวังครั้งนี้ซองซงยอนได้พบกับพระมเหสีโยอึยด้วย "นี่แปลว่า
เจ้ามาวันนี้เพื่อจะเขียนพระรูปหรอกหรือ" "ใช่แล้วเพคะ" "แต่ว่า
ถ้าเจ้าได้เป็นพระสนมจริง" " หม่อมฉันขอบังอาจทูลว่า นี่ก็คือ
คำตอบที่หม่อมฉันจะมีให้พระมเหสีที่หลายวันก่อน เสด็จไปที่ศูนย์ฯ น่ะเพคะ
พระมเหสีเคยถามหม่อมฉันว่า ถ้าได้เข้าวังจริง ก็ต้องออกจากศูนย์ศิลปะ
แล้วหม่อมฉันจะยอมเช่นนั้นหรือเปล่า หลังจากที่ หม่อมฉันได้ฟังรับสั่งนี้แล้ว
ก็กลับไปคิด ทบทวนอยู่หลายตลบ จนในที่สุด ถึงรู้ว่าที่ๆ เหมาะกับหม่อมฉัน
คือศูนย์ศิลปะ และสิ่งที่หม่อมฉันต้องการ คือเป็นช่างเขียนรูป แค่นี้ก็พอแล้วเพคะ"
"ไม่จริง ข้าไม่เชื่อที่เจ้าพูด ความคิดของเจ้า ข้ารู้แก่ใจดี" "เอ่อ พระมเหสี"
"เพราะอะไรกัน อะไรทำให้เจ้าตัดสินใจแบบนี้ บอกมาเร็วเข้า" "เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกเพคะ
ที่ทูลไปทั้งหมด หม่อมฉันได้ผ่านการไตร่ตรองแล้ว" "ซงยอน" " ขอทรงอภัยด้วยเพคะ
พระมเหสี เคยรับสั่งว่าถ้าหม่อมฉันเลือกทางนี้ ก็จะไม่ทรงฝืนใจเด็ดขาด เพราะฉะนั้น
โปรดเห็นแก่ความชอบของหม่อมฉัน อย่าทรงรับสั่งถึงเรื่องนี้อีกเลยเพคะ"
ด้านเทซูรู้ว่าซองซงยอนจะเป็นช่างเขียนก็ถามว่าเพราะอะไรถึงได้ทำแบบนี้ " ทำแบบนี้
เจ้าจะไม่ได้ถูกเลือกเป็นสนมอีกรู้มั้ย ถ้าเลือกจะเป็นช่างเขียนจริง
ฝ่าบาทก็ต้องทรงคิดว่า เจ้าอยากอยู่ศูนย์ศิลปะมากกว่าการเข้าวัง"
"เป็นอย่างงั้นจริงๆ" "อะไรนะ" "ข้าคงไม่เข้าวัง จะเขียนรูปต่อไป" "ซงยอน"
"ไม่ผิดหรอก ข้าบอกแล้วว่า จะอยู่ศูนย์ศิลปะต่อไป" " เพราะอะไร มีเหตุผลมั้ย
เจ้ารอฝ่าบาทมานานไม่ใช่หรือ ขอเพียงได้อยู่เคียงข้างพระองค์
เจ้าเคยบอกว่าเรื่องอื่นไม่สนใจทั้งนั้น ทำไมเจ้าถึงทำงานในศูนย์ศิลปะ
ก็เพื่อหวังจะพบฝ่าบาท แม้แค่มองเห็นไกลๆ เจ้าก็ดีใจแล้วไม่ใช่หรือ
แล้วทำไมกลายเป็นแบบนี้ล่ะ ฝ่าบาททรงรออยู่ แม้แต่พระมเหสีก็ช่วยเจ้า
แล้วยังลังเลอะไร" "แต่ข้าทำไม่ได้ เข้าใจหรือเปล่า ข้าไม่ควรเห็นแก่ตัว ข้า
มีสิทธิ์อะไรไปถวายการรับใช้ ในเมื่อเป็นแค่คนงานต่ำต้อย จะเข้าวังได้ยังไง
เพราะข้าคนเดียว อาจทำให้พระพันปี ทรงบาดหมางกับพระมเหสี แล้วหลังจากนั้น
แม้แต่ฝ่าบาท ก็จะทรงมีปัญหาเพราะข้า ฮือ" "ซงยอน ถ้าอย่างงั้น แล้วตัวเจ้าเองล่ะ
คนอื่นจะเป็นไงก็ช่างเถอะ แล้วเจ้าล่ะ ต่อไปเจ้าจะอยู่ยังไง
ในเมื่อออกมาก็ร้องไห้แล้ว ไม่ทันไรเจ้าก็เจ็บถึงขนาดนี้ ยังคิดว่าสามารถ
จะเฝ้ามองฝ่าบาทจนชั่วชีวิตได้หรือ" ซองซงยอนตอบไม่ถูกเอาแต่ร้องไห้
ทางด้านนัมซาโชก็ทูลถามพระเจ้าจองโจว่า " ฝ่าบาท หม่อมฉันขอบังอาจซักนิด
ไม่ทราบว่าควรจะถามหรือไม่ หม่อมฉัน ได้ยินว่าพระมเหสี
ทรงเห็นชอบที่จะให้ซงยอนมาเป็นพระสนมใหม่ ไม่ทราบว่าเรื่องนี้
จริงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ" "เรื่องนี้เป็นความจริง แต่ว่า สุดท้ายคงไม่ได้สมหวังแล้ว"
"เอ่อ สุดท้ายไม่ได้สมหวัง หม่อมฉันไม่เข้าใจที่ฝ่าบาทรับสั่ง" "
เมื่อกี้ที่นางมารายงานตัว ท่านก็เห็นแล้วนี่ นี่ก็คือ คำตอบที่แน่ชัดจากนาง
การที่นางทำแบบนี้ เพื่อจะบอกข้าว่าชาตินี้ นางจะไม่เข้าวัง ท่านรู้มั้ย
บางครั้งข้าเคยคิด ว่าถ้าเลือกเกิดได้ ขอเป็นคนธรรมดาซักคนดีกว่า
น่าจะมีความสุขมากกว่านี้ วันๆ ก็แค่ทำไร่ไถนา เลี้ยงครอบครัว อยู่ในบ้านหลังเล็กๆ
กับคนที่ตัวเองรัก มีลูกมีหลาน วิ่งเล่นอย่างสนุก ดูแลกันและกันจนตาย
เป็นสิ่งที่มนุษย์เรา แทบไม่หวังอะไรมากกว่านี้อีก ขอแค่นี้ก็พอ
เป็นพระราชาจะมีความหมายอะไร นอกจากเป็น ผู้ชายที่ไม่เอาไหน ต้องอยู่อ้างว้างจนตาย"
"ฝ่าบาท" งาน แต่งงานของดัลโฮกับมักซู มีชาวบ้านต่างมาแสดงความยินดี
ขณะที่พระเจ้าจองโจก็ต้องทรงรับพระสนมวันนี้
แต่พระเจ้าจองโจกลับคิดถึงแต่ซองซงยอน

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน จบ 51

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน 52

และคืนวันส่งตัว พระเจ้าจองโจทรงเสด็จไปพบซองซงยอนที่ศูนย์ศิลปะ
ซองซงยอนร้องไห้พูดไม่ออก พระเจ้าจองโจทรงถามว่าเกิดอะไรขึ้น "เกิดอะไรขึ้นนี่
บอกข้ามาเร็ว ใครทำให้เจ้าร้องไห้ถึงขนาดนี้" "ฮือ ฝ่าบาท ปล่อยหม่อมฉันเถอะเพคะ"
"ซงยอน" "ฮือ หม่อมฉันไม่ได้เป็นไรหรอกเพคะ หม่อมฉันเพียงแต่ เครียดกับเรื่องงาน
ไม่รู้จะเสร็จทันหรือเปล่า ฮือ ไม่ต้องทรงเป็นห่วงหรอกเพคะ"
"นึกหรือว่าพูดแบบนี้ข้าจะเชื่อน่ะ" "ฮือ ฝ่าบาท" " เพราะอะไร
หรือว่าเพราะข้าใช่ไหม มีเรื่องหนึ่ง ข้าอยากถามเจ้าให้รู้ จงตอบมาดีๆ
ที่เจ้าอยากเป็นช่างเขียนต่อ เป็นความสมัครใจจริงหรือ ที่ข้าอยากรู้ก็คือ
คำตอบจากใจจริงของเจ้า สิ่งที่เจ้าต้องการ คือเป็นช่างเขียนรูปจริงหรือ" "ฮือ
ฝ่าบาท ฮือ รับสั่งถูกแล้วเพคะ" "ข้าพูดถูกหรือ แสดงว่าทุกอย่างนี้
เป็นสิ่งที่เจ้าต้องการให้เกิดขึ้นหรือ ซงยอน" " ฮือ ใช่แล้วเพคะ
ความตั้งใจของหม่อมฉันคืออยู่ศูนย์ศิลปะต่อไป ฮือ
กว่าจะได้เป็นช่างเขียนต้องฟันฝ่าตั้งเท่าไหร่
หม่อมฉันจะยอมทิ้งทุกอย่างนี้ไปได้ยังไง หึ หม่อมฉันตัดสินใจแน่แล้ว
ฉะนั้นขอได้โปรด อย่าทรงถามเรื่องแบบนี้กับหม่อมฉันอีก หึ
หลายคนกำลังมองเราอยู่นะเพคะ ได้โปรดทรงปล่อยหม่อมฉันเดี๋ยวนี้" "นั่น สิ
คงจะเป็นอย่างงั้น บอกตามตรง ข้าเคยนึกว่า เราสองคนจะคิดตรงกัน
เชื่อมั่นอย่างงั้นมาตลอด แต่ไม่เคยรู้ว่า
การเป็นช่างเขียนจะมีความหมายต่อเจ้าขนาดนี้ ข้ามันโง่นัก ยังนึกว่า
ไม่แน่เราอาจใจตรงกันก็ได้ ข้ามักจะคิดอย่างงั้นเสมอ งั้นก็ขอโทษ ที่ข้า
ถามในสิ่งที่ไม่ควรถาม บอกตามตรง ข้าเคยนึกว่า เราสองคนจะคิดตรงกัน
เชื่อมั่นอย่างงั้นมาตลอด" เวลาเดียวกันทางด้าน สนมวอนพินน้องสาวของฮงกุกยอง
เห็นว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้วจึงบอกแชซังกุงว่า " บอกคนที่อยู่ข้างนอกให้ถอยไป
อีกครึ่งชั่วยาม ดับไฟแล้วนอนได้ พอพรุ่งนี้เช้า บอกว่าฝ่าบาทเสด็จมาหาข้า
หลังจากทุกคนถอยไปแล้ว ถ้ามีใครถาม ท่านก็ช่วยบอกไปตามนี้ เข้าใจหรือเปล่า"
"แต่ว่าพระสนม ทำไมต้องบอกคนอื่นว่า" " สิ่งที่ข้าสั่ง ยังไม่เข้าใจความหมายอีกหรือ
คืนส่งตัวคืนแรก ถ้าฝ่าบาทไม่เสด็จมาหาข้า แล้ววันหลังข้าจะมองหน้าคนอื่นได้ยังไง
มีหวังพวกนางใน พากันหัวเราะข้าลับหลังล่ะไม่ว่า" "ทราบแล้วเพคะ
หม่อมฉันจะทำตามรับสั่ง" ดัลโฮกับมักซูพากันมาพบฮงกุกยอง "เฮ่อๆๆ ไม่เจอตั้งนานนะ
ได้ยินว่าท่านแต่งงานเมื่อวันก่อน ขอโทษที่ไม่ได้ไปงาน" ฮงกุกยองกล่าว
"ไม่เป็นไรหรอกครับ ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่มีงานยุ่ง จะกล้ารบกวนได้ยังไง แหะๆ"
"เฮ่อๆๆ อย่าพูดอย่างงั้น เราไม่ได้เพิ่งรู้จักซักหน่อย จริงๆ
ข้าก็ตั้งใจจะไปหาท่าน เมื่อเจอก็ดีแล้ว" "หา อะไรน่ะครับ หาข้าหรือ" "อึม ใช่
ตอนนี้มีครอบครัวแล้ว จะไม่ทำงานเป็นหลักแหล่งหน่อยหรือ เพราะฉะนั้น
ข้าอยากให้ท่านไปทำงานในวังหน่อย" "อุ๊ย ก็ดีน่ะสิ นี่" มักซูตื่นเต้น "อะไรนะ
เดี๋ยว ทำงานในวังหรือ" "ขอบคุณมากค่ะ" "เฮ่อๆๆ แค่นี้ต้องตกใจด้วย
ถือว่าตอบแทนที่เคยช่วยข้าทำงานไงล่ะ ถ้าไงเร็วๆ นี้ จะให้เทซูไปบอก ท่านก็รอละกัน"
"ดีจังเลย หึๆๆ" "ครับ ดีครับ ขอบคุณใต้เท้ามาก ขอบคุณ ฮือ" "เฮ่อๆๆ เอาล่ะ
ไปได้แล้ว" คีชอนอิกกล่าวต้อนรับมินจูซี ที่มาหอตำราหลวง "ยินดีที่ได้พบ ข้าชื่อ
"คีชอนอิก" เป็นผู้ดูแลหอตำราหลวงแห่งนี้ ได้ยินว่าวันนี้จะมีผู้ช่วยคนใหม่
จึงมารอต้อนรับ" "ยินดีเช่นกัน ข้าชื่อ มินจูซี" มินจูซีเข้าไปข้างใน เชกาเข้ามาบอก
"ต้องขออภัย เชิญท่านลุกจากที่นั่งก่อน" ลูกน้องมินจูซีดุ
"กล้าเสียมรรยาทกับใต้เท้าเชียวหรือ" เชกาบอกดีๆ "ที่นั่งตรงนั้นเป็นของใต้เท้าเรา
ผู้ช่วยต้องนั่งฝั่งขวามือ กรุณาสับเปลี่ยนด้วย" "ยังจะพูดอีก
ช่างไม่รู้กาลเทศะซะบ้าง จะให้ไต้เท้าของเรานั่งที่ต่ำกว่าลูกอนุฯ ได้ยังไง
มีหัวคิดหรือเปล่า" " พวกเจ้าต่างหากไม่มีหัวคิด ใครเป็นลูกอนุฯ ก็ช่าง
แต่นี่คือการทำงาน เพราะฉะนั้น นอกจากต้องนั่งถัดมาแล้ว
ยังต้องให้เกียรติใต้เท้าของเรา เพราะนี่คือ ธรรมเนียมในราชสำนักไม่ใช่หรือ"
"ธรรมเนียมอะไรกัน เป็นแค่ลูกอนุฯ บังอาจมาสอนข้าเชียวหรือ" คีชอนอิกเข้ามาตอบแทน
"ใช่ เจ้าหน้าที่คนนี้กำลังสอนท่านอยู่จริงๆ" มินจูซีอึ้ง "อะไรนะ"
"ในเมื่อไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติก็อย่าทำอวดดีนัก
ยอมรับฟังคำเตือนจากคนอื่นน่าจะดีที่สุด" "ท่านว่าไงนะ" " พูดจาระวังปากหน่อย
ถึงข้าจะเป็นลูกอนุฯ แต่ก็เป็นผู้ดูแลหอตำราหลวง เมื่อเจ้าเป็นรองก็ต้องเชื่อฟัง
เพราะสิ่งที่เราทำ เป็นไปตามพระบัญชาของฝ่าบาทหรือจะเถียงว่าไม่จริง"
มินจูซีโมโหจะไปเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจให้ได้ แต่ทหารปรามไว้
พอดีฮงกุกยองเข้ามาเห็นจึงถาม "ใต้เท้ามิน เกิดอะไรขึ้นที่หน้าตำหนักใหญ่"
ทหารรายงาน "ขออภัยด้วยครับ ใต้เท้าท่านนี้ ไม่ยอมให้ตรวจค้นก็จะขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท"
ทหารถูกตบหน้า "ทำงานมีหัวคิดหรือเปล่า คนที่ไม่ผ่านการตรวจค้น
ต่อให้ใช้กำลังก็ต้องค้นให้ได้ เจ้าไม่รู้หรือไง" "ขอโทษด้วยครับใต้เท้า"
"คนที่คิดปองร้ายฝ่าบาท อาจแฝงกายอยู่ทุกที่
ไม่มีใครรู้ว่าคนพวกนี้จะซ่อนอาวุธอะไรไว้ในตัว สำหรับก่อการร้าย" มิ นจูซียิ่งโกรธ
"พูดแบบนี้เกินไปหรือเปล่า ใต้เท้าฮง ปองร้ายอะไรกัน เพ้อเจ้อไปใหญ่แล้ว
ท่านคิดว่าขุนนางอย่างเราจะกล้าคิดไม่ซื่อต่อฝ่าบาทเชียวหรือ" "หึ
ข้าไม่ได้หมายถึงท่านซักหน่อย ทำไมต้องร้อนตัวด้วย
หรือว่าในตัวท่านมีอาวุธซ่อนอยู่จริง" "พูดให้ดีนะใต้เท้าฮง" "คนเราถ้าบริสุทธิ์ใจ
ทำไมไม่ให้ตรวจค้นล่ะ" "ข้าไม่ชอบอย่างงั้น ข้าเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา
ไม่ชอบพิธีรีตองที่น่ารำคาญ" " รำคาญอะไรกัน พูดให้ดีหน่อยนะ
นี่เป็นรับสั่งของฝ่าบาท ก็ได้ เมื่อท่านยืนกรานไม่ยอมให้ตรวจ งั้นข้า
ก็จำเป็นต้องทำตามกฎระเบียบ ไม่มีการเลือกที่รักมักที่ชัง จับตัวไปให้หมด" "อะไรนะ"
"ไม่ได้ยินหรือไง จับพวกเขาไปค้นตัวแล้วค่อยปล่อยออกมา" พวกทหารรับคำ
เหล่าขุนนางรีบห้าม "เดี๋ยว นี่ ปล่อยนะ จะทำอะไร บังอาจ" จากเหตุการณ์นี้
ชางแทวูนำความขึ้นทูลฟ้องพระเจ้าจองโจ "ท่านเสนาบอกว่าไงนะ
ใต้เท้าฮงใช้อำนาจบาตรใหญ่หรือ" " ใช่แล้วพ่ะยะค่ะฝ่าบาท
นอกจากใช้กำลังบังคับขุนนางให้ไปรับการตรวจค้นแล้ว ยังพูดจาข่มขู่สารพัด
ทำให้รู้สึกว่าคนๆ นี้ ช่างมีอิทธิพลและก้าวก่ายไปซะทุกหน่วยงาน ยังไม่พอ
แม้แต่บ้านเขาก็มีคนเข้าออกแทบไม่ว่างเว้น
ได้รับของกำนัลเพื่อขอให้วิ่งเต้นในเรื่องต่างๆ ฝ่าบาทไม่ทรงทราบบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ
ฝ่าบาท ทุกวันนี้ฮงกุกยอง ถือว่าเป็นคนโปรด อีกทั้งเป็นพระญาติของฝ่าบาท
เริ่มใช้อำนาจบาตรใหญ่มากขึ้นทุกที" "ข้าว่าท่านพูดเกินไป
บางครั้งเขาอาจเจ้ากี้เจ้าการไปบ้าง แต่ไม่ใช่คนที่ลุแก่อำนาจ
เที่ยวข่มชาวบ้านโดยไม่มีเหตุผล" "เพราะฝ่าบาททรงเชื่อเขาขนาดนี้
ถึงไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเลย" "ท่านเสนา" " ทุกวันนี้
มีขุนนางหลายคนไม่พอใจการทำงานของใต้เท้าฮงมาก เพราะมีเขาอยู่ด้วย
ฝ่าบาทจึงให้พวกเรากลับมาอีกครั้งใช่ไหม นี่คือสิ่งที่ฝ่าบาท
ทรงรับรองแข็งขันว่าจะปกครองอย่างเป็นธรรม
มีความเสมอภาคทุกฝ่ายหรือพ่ะย่ะค่ะ"พระเจ้าจองโจทรงเรียกนัมซาโชมาเฝ้า
"ท่านรู้ข่าวของไต้เท้าฮงบ้างมั้ย ได้ยินว่ามีคนไปติดต่อเขา
เพื่อให้ช่วยเหลือเรื่องงานจริงหรือเปล่า" " เอ่อ มีฝากฝังคนรู้จัก เข้ามาทำงานซัก
3-4 คนได้ แต่ถ้าถึงขั้นรับสินบนละก้อ คงไม่มีหรอกพ่ะย่ะค่ะ เขาคงมีหัวคิด
ไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้แน่" "ไม่อย่างงั้น แปลว่าเสนาซ้ายใส่ร้ายเขาหรือไง"
"ตามความคิดหม่อมฉัน อาจเพราะมีคนไปหาเขามากกว่าแต่ก่อน
เลยทำให้เป็นที่ครหาพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท" "ช่วยไปตามใต้เท้าแชมาพบข้าหน่อย"
เวลาเดียวกันแชซกจูก็ถามชางแทวูว่าเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจมาหรือ "
ที่แล้วมานอกจากอยู่ใต้อำนาจผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว
ในวังยังเลี้ยงเสือน้อยที่เต็มไปด้วยเขี้ยวเล็บอีกคน
ข้าไม่เข้าใจเลยว่าพวกท่านอยู่ได้ยังไง ตอนนี้คนแรกที่เราต้องกำจัดให้ได้
ก็คือหนุ่มที่ชื่อฮงกุกยอง เข้าใจมั้ย" "เข้าใจครับ ข้าจะเรียกประชุมคนของเรา
เพื่อหาทางรับมือกับฮงกุกยอง ถ้าไง เชิญท่านไปอีกคนก็ได้" "ไม่
ข้ามีธุระต้องไปอีกที่หนึ่ง มีคนๆ หนึ่งซึ่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดในวัง
รับสั่งว่าอยากพบข้า" "นี่แปลว่า ท่านจะไปเข้าเฝ้าพระหมื่นปีจริงหรือครับ"
"ไม่งั้นจะทำไงได้ ฮึ่ม" ชางแทวูเข้าเฝ้าพระหมื่นปีจองซุน "จริงสิ
ตอนนี้ท่านเป็นไงบ้าง กว่าจะได้กลับมาอีกครั้ง คงทำให้ท่านเห็นความเปลี่ยนแปลงสินะ
มีอะไรก็เชิญพูดได้" "นึกว่าไม่ใช่วังหลวงของเราซะแล้ว" "หมายความว่าไง" "
กว่าจะมาถึงนี่ เดินหลงอยู่ตั้งนาน เสียทีเป็นถึงพระหมื่นปีแท้ๆ
กลับมาอยู่ตำหนักซอมซ่อ ห่างไกลผู้คน เห็นแล้วช่างน่าใจหายจริงๆ
ได้ยินว่าพระหมื่นปีให้องค์หญิงวาวานและอีกหลายคนเป็นแพะรับบาป ถึงเอาตัวรอดได้
แต่ไม่นึกว่าสุดท้าย ก็คืออยู่ที่แบบนี้หรอกหรือ" "เห็นทีท่านคงชราภาพไปไม่น้อย
หากไม่ใช่ความจำเลอะเลือนละก้อ คงไม่ลืมว่าข้ายังมีอะไรอยู่ในมือสินะ" "จริงอยู่
หม่อมฉันยังจำได้ แต่ไม่แน่ว่าของสิ่งนั้น
อาจไม่มีประโยชน์สำหรับหม่อมฉันอีกก็เป็นได้" "หึ จริงหรือ แน่ใจหรือเปล่า"
"ไม่อย่างงั้น ทำไมพระหมื่นปีต้องมีรับสั่ง ให้หม่อมฉันมาเฝ้าอีก" "
ข้าจะไม่ว่าท่านแก่ก็ได้ แต่ว่า ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป
ใจคนก็ย่อมเปลี่ยนตามกาลเวลาด้วย ท่านก็อย่ามั่นใจตัวเองนัก
เพราะความเชื่อมั่นนี่แหละ สมัยก่อนถึงได้แพ้ข้ายับเยินไม่ใช่หรือ"0000000000000
พระพันปีเฮคยองกล่าวกับพระมเหสีโยอึยว่า
"ได้ยินว่าเจ้ายังมาที่ตำหนักเพื่อขอพบข้าทุกวัน บอกแล้วว่าถ้าไม่อนุญาต
ไม่ต้องมาที่นี่อีกไง แล้วจะเสียเวลาทำไมอีก" "เสด็จแม่ทรงอภัยด้วยเพคะ" "
เจ้าจะคิดยังไงก็ช่าง ตอนนี้คนที่มาอยู่กับฝ่าบาทคือสนมวอนพิน
ข้าจึงอยากให้เจ้าทำใจ ยอมรับนางซักนิด ที่ข้าให้เจ้ามาพบ
ก็เพื่อจะคุยเรื่องนี้นี่แหละ" "ทราบแล้วเพคะ หม่อมฉันจะทำตามรับสั่ง"
"เดี๋ยวซักพักนางจะมาพบข้า เจ้าจะได้ทำความรู้จักและพูดคุยกับนางหน่อย หรือไม่ก็
ให้โอวาทแก่นางเพื่อจะได้อุ่นใจขึ้น" "ทราบแล้วเพคะ"
สักพักสนมวอนพินก็มาเข้าเฝ้าพระพันปีเฮคยอง ทรงถามว่า "ชาวบ้านดูจากปริมาณน้ำฝน
กะเกณฑ์การเก็บเกี่ยวในแต่ละปีจริงหรือจ๊ะ" " จริงเพคะ
ช่วงฤดูใบไม้ผลิจะวางตุ่มไว้ใต้ดิน
ดูว่ารับน้ำฝนแค่ไหนเป็นสิ่งบอกการเก็บเกี่ยวในปีนั้น ด้วยเหตุนี้
หม่อมฉันจึงให้ฝังตุ่มที่ท้ายตำหนักบ้าง คาดการณ์ว่าปีนี้
น่าจะเก็บเกี่ยวได้มากเพคะ" "จริงหรือ งั้นก็ช่างเป็นข่าวดีแท้ เพราะมีเจ้าเข้ามา
ทำให้ข้าได้รู้ความเป็นอยู่ของชาวบ้าน จะได้วางใจหน่อย" พระมเหสีโยอึยรับสั่งว่า
"หม่อมฉันก็คิดเหมือนเสด็จแม่เพคะ" "ขอบพระทัยเพคะ" " เห็นพวกเจ้าคุยกันถูกคอ
ข้าค่อยรู้สึกเบาใจหน่อย วอนพินเป็นสนมใหม่ ยังไม่ค่อยรู้อะไรในวัง
ชุนจอนต้องคอยชี้แนะ และสองคนก็ต้องรักใคร่ปรองดองด้วยนะ" "หม่อมฉันเป็นผู้น้อย
จะขอเชื่อฟังพระมเหสีทุกอย่างเพคะ" สนมวอนพินกล่าว พระ มเหสีโยอึยตรัสว่า
"เจ้ารู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนก็ดีแล้ว แต่ว่า
ตอนนี้คงไม่มีอะไรสำคัญยิ่งกว่าการมีทายาทให้ฝ่าบาท
หน้าที่นี้คงต้องหวังพึ่งเจ้าล่ะนะ" "วอนพิน ทำไมจู่ๆ ไม่พูดซะล่ะ" "เอ่อ
หม่อมฉันขอบังอาจทูลว่า หม่อมฉันก็หวังอย่างงั้นเพคะ แต่ว่า ในสายตาของฝ่าบาท
รู้สึกหม่อมฉันยังมีข้อบกพร่องหลายอย่าง" "พูดแบบนี้หมายความว่าไงน่ะ"
สนมวอนพินอึ้งไป
ก่อนจะทูลความจริงเรื่องที่พระเจ้าจองโจไม่ได้เสด็จมาในคืนวันส่งตัว
พระมเหสีโยอึยทรงเรียกสนมวอนพินมาคุยตามลำพัง "ฝ่าบาทไม่ได้เสด็จไปหาเจ้า
ทำไมไปทูลฟ้องเสด็จแม่อย่างงั้น ทำแบบนี้
จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้รู้หรือเปล่า" "ทรงอภัยเพคะ หม่อมฉันเพียงแต่
เห็นเสด็จแม่รับสั่งถามถึง ก็เลยทูลไปตามความจริงเท่านั้นเพคะ" "การมาอยู่ในวัง
อันดับแรกคือระวังคำพูด อย่าได้หลุดปากง่ายๆ ตอนนี้เจ้าก็เป็นสนมแล้ว
แค่นี้ยังไม่รู้จักคิดอีกหรือ" "หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ" " เรื่องวันนี้
ข้าจะถือว่าเจ้าไม่รู้ธรรมเนียมและเป็นความผิดครั้งแรก จะยกโทษให้ก่อน แต่ว่า
เพื่อไม่ให้ทำผิดซ้ำอีก ต่อไปให้ระวังการพูดจาหน่อยนะ" "หม่อมฉันจะจำไว้เพคะ"
ลีชองฉีกกระดาษทิ้งพลางบ่นไม่หยุด ช่างเขียนตั๊กถามก็ไม่ตอบ
ช่างเขียนตั๊กจึงไปถามซองซงยอนว่าลีชองเป็นอะไร "ไม่รู้สิคะ" " สงสัยว่า
จะเสียใจเพราะไม่ได้เป็นจิตรกรเอก เลยคิดมากจนเพี้ยน โบราณถึงว่า
คนที่ปล่อยให้กิเลสครอบงำความคิด สุดท้ายก็จะเป็นแบบนี้ เฮ่ย" หลังจากไม่มีใครแล้ว
ซองซงยอนก็เข้าไปหาลีชอง "ช่างเขียนลี ขอโทษด้วยนะคะ" "หา ขอโทษเรื่องอะไรน่ะ"
"เพราะข้าทำให้ท่าน พลาดจากการเป็นช่างเขียนประจำพระองค์ในปีนี้" " ไม่หรอก ไม่ใช่
ไม่เกี่ยวเลย ซงยอน ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ หึ ข้ามันไม่เอาไหน เสียชาติเกิดแท้ๆ
รูปที่เคยเขียนก็เหมือนเป็นเศษขยะ หาความภูมิใจไม่ได้ซักนิด
มีแต่เสียเวลาและเปลืองพลังงาน แล้วจะอยู่เพื่ออะไรอีก ชีวิตข้ายังมีความหมายอะไร
เจ้าช่วยบอกหน่อยซิ หึ ซงยอน" "เอ่อ ว่าไงคะ" "ฮือๆๆ ซงยอน ซงยอน" "เอ่อ
ช่างเขียนลี" ลีชองเอาแต่ร้องไห้ หลังจากเวลานั้น ลีชองก็ไปพบกับช่างเขียนชางฮงพุก
เพื่อขอให้เขารับเป็นลูกศิษย์ "ลูกศิษย์หรือ" "ใช่ครับ ฮือ"
"ทำไมข้าต้องรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ ข้าไม่มีอะไรจะสอนเจ้า รีบกลับไปซะ" "ฮือ อาจารย์
ถ้าท่านไม่ยอมรับข้าเป็นศิษย์ ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น จะอยู่นี่จนวันตาย"
"เอางั้นเลยเรอะ ตามใจเจ้าสิ" "หา ฮือ อาจารย์ๆ" "ปล่อยข้าเร็วๆ กางเกงจะหลุดแล้ว"
"ไม่ปล่อย ยังไงก็ไม่ปล่อย" "ไม่ปล่อยหรือ" ช่างเขียนชางฮงพุกผลักลีชอง
แต่ลีชองก็ยังคงเฝ้าติดตามเขาไม่ห่างจนเช้า "ตอนเช้าไก่ยังไม่ทันขัน
ก็ได้ยินเสียงโขกของเจ้า ทำให้ข้านอนต่อไม่ได้อีก ไหนลองบอกซิ อยากเรียนอะไรจากข้า"
"หึ ข้าเห็นงานของท่าน เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งเสรีภาพ ได้โปรด ช่วยข้าปลดปล่อย
ความอัดอั้นที่อยู่ในใจด้วยเถอะ" "ลุกขึ้นก่อน" "หา เอ่อ โอย หึ"
"ถ้าอยากเป็นศิษย์ข้าต้องเสียสละหลายอย่าง เจ้าจะทำได้ไหม" "อาจารย์
เชิญสั่งมาเถอะครับ ไม่ว่าให้เสียสละอะไร ข้าเสียได้หมด หึ" "งั้นตามข้ามา" "เดี๋ยว
ท่าน จะไปไหนหรือครับ" "ไปชะล้างคราบกิเลสที่เกาะตามเนื้อตัวเจ้าให้หมดก่อน" "หา
ชะล้าง คราบกิเลสติดตัว ข้ามีด้วยหรือ" "คิดอะไรอยู่ ตามมาสิ" "เอ่อ ครับ อาจารย์
หึ"0000000000000000000 การ ประชุมวันนื้
นัมซาโชเฝ้าดักรอบอกฮงกุกยองว่าไม่ต้องเข้า เป็นคำสั่งจากพระเจ้าจองโจ
สร้างความแปลกใจให้เขามาก รวมทั้งแชจีคยอมเองก็ไม่เข้าใจ
ทางด้านปาร์คยองมุนก็ติดต่อลีชองไม่ได้ "นี่มันหมายความว่าไง
ติดต่อช่างเขียนลีไม่ได้หรือ" ช่างเขียนตั๊กตอบว่า "ที่บ้านก็ไม่มีใครรู้ข่าว
หายเงียบไปหลายวันนครับ" ปาร์คยองมุนตกใจ ใต้เท้าคังกล่าวว่า
"จะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ" "อย่าคิดมากเลย รออีกซักพักเถอะ" "อ้อ
ถ้าอย่างงั้นงานที่ช่างเขียนลีทำค้างไว้ ก็ให้ช่างเขียนตั๊กรับผิดชอบแทน
จะให้คนงานช่วยกี่คนก็ได้นะ" "เอ่อ ครับใต้เท้า" ช่างเขียนตั๊กรับมา
"เข้าไปเถอะครับ" สนมวอนพินให้แชซังกุงมาตามซองซงยอนที่ศูนย์ศิลปะไปเข้าพบ
"เชิญนั่งลง" "เพคะพระสนม" " เหมือนที่เขาว่า หน้าตาดีจริงๆ เจ้าอาจไม่เคยรู้จักข้า
แต่ข้าได้ยินเรื่องราวของเจ้ามานาน และรวมถึง เรื่องน่าตลกบางอย่างด้วย
ได้ยินว่าพระมเหสี อยากให้เจ้าเป็นพระสนม เป็นความจริงหรือเปล่า" "เอ่อ พระสนม
นั่นเป็นเพราะ" "ทำไม ไม่สะดวกจะพูดกับข้าหรือไง" "เอ่อ พระสนม" " ที่สำคัญ
ยังได้ยินอีกว่าวันแรกที่ข้าเข้าวัง ฝ่าบาทเสด็จไปหาเจ้า ไหนบอกซิว่า
เป็นความจริงหรือเปล่า ที่ข้าเข้าวังมา
ไม่ใช่เพื่อเป็นตัวตลกให้ใครต่อใครพากันนินทาหรอกนะ แต่แล้ว ข้ายังไม่ทันทำอะไร
ก็ต้องเสื่อมเสียเพราะผู้หญิงอย่างเจ้า ไม่ว่าจะไปไหน
ก็เห็นคนนินทาและมองข้าด้วยสายตาแปลกๆ เพราะฉะนั้น
ข้าเลยต้องสืบว่าเจ้าเป็นใครกันแน่ ถ้าเจ้าไม่คิดลบหลู่ข้าจริง
ก็ขอให้พูดความจริงกับข้ามา เข้าใจหรือเปล่า" "เอ่อ" ซองซงยอนอึกอัก
พระมเหสีโยอึยเข้ามา "เจ้ากำลังทำอะไรอยู่น่ะ" "พระมเหสี หึ" ซองซงยอนคำนับ
"พระมเหสี" "ซงยอน เจ้ากลับไปก่อน" "พระมเหสี" "ข้าบอกให้กลับไปก่อนไง"
"ทราบแล้วเพคะ" ซองซงยอนออกไป พระมเหสีโยอึยรับสั่งกับสนมวอนพินว่า "ผู้หญิงคนนี้
ทำไมมาอยู่ตำหนักของเจ้าได้" "พระมเหสี" "ข้าถามว่าทำไมนางมาอยู่ตำหนักของเจ้า"
"ทรงอภัยเพคะ หม่อมฉันไม่เข้าใจว่า ทำไมพระมเหสีต้องทรงกริ้วขนาดนี้" "อะไรนะ" "
พระมเหสีก็ทรงทราบ เกี่ยวกับข่าวลือของนางและฝ่าบาทไม่ใช่หรือเพคะ
หม่อมฉันแค่อยากรู้ว่าเป็นความจริงหรือเปล่า เมื่อมาเป็นสนม
หม่อมฉันก็มีสิทธิ์จะรู้ว่า" "ข้าไม่อยากฟัง เจ้ากำลังแก้ตัวน้ำขุ่นๆ อยู่"
"พระมเหสี" "ไม่ว่าจะคิดยังไง สิ่งที่เจ้าทำก็เพราะความริษยา" "ไม่จริงเพคะ
หม่อมฉันไม่เคยคิด ทรงเข้าพระทัยผิดแล้ว" "ไม่นึกว่าเจ้าจะเป็นคนแบบนี้
ข้าอุตส่าห์เอายาบำรุงมาให้ เห็นทีจะไม่ได้การ วันนี้ ข้าต้องลงโทษเจ้าหน่อยแล้ว"
"ฮือ พระมเหสี" "ตั้งแต่พรุ่งนี้ ให้เอาหนังสือ "บัญญัติฝ่ายใน" ไปพบข้า
ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้รับการอบรมที่ดี ข้าจึงต้องสอนด้วยตัวเอง เข้าใจมั้ย"
พระมเหสีโยอึยเสด็จออกมาพบกับฮงกุกยอง "พระมเหสี"
"ท่านขัดคำสั่งข้ายอมให้น้องสาวมาเป็นสนม ข้ายังนึกว่านางจะเป็นกุลสตรี ที่ไหนได้
สงสัยข้าจะคิดผิดซะแล้ว" ฮงกุกยองเข้ามาพบสนมวอนพิน "พระสนม" "
ข้าไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดกันแน่ พี่ใหญ่ ฮือ
เพราะเห็นว่ามีข่าวลือเลยอยากถามให้รู้ความจริง
แค่นี้ก็เป็นความผิดที่ไม่อาจให้อภัยเชียวหรือ ฮือ
ถึงขนาดให้เอาบัญญัติฝ่ายในไปเข้าเฝ้า ทำไมนางทำกับข้าแบบนี้คะ
เพียงแค่ให้คนงานมาพบ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรซักหน่อย
แค่นี้ก็ต้องให้ข้าอับอายด้วยหรือ" "พระสนม" "ฮือ คนที่หึงหวงไม่ใช่ข้า
แต่เป็นพระมเหสี นางไม่ชอบให้ข้าเป็นสนมของฝ่าบาทถึงได้คอยหาเรื่องอยู่เรื่อย ฮือ
ฮือๆๆ ฮือๆๆ"
ฮงกุกยองพยายามขอเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจจนในที่สุดแชจีคยอมก็ช่วยพูดจนทำให้เขาได้เข้าเฝ้า
"นั่งสิ ว่าไง มีอะไรจะมาพูดกับข้าใช่ไหม" "หม่อมฉันขอบังอาจทูลถาม
ทำไมถึงให้หม่อมฉัน ออกจากท้องพระโรงพ่ะย่ะค่ะ ทำไมไม่ให้หม่อมฉัน
เข้าร่วมการประชุมด้วย" "ท่านไม่รู้หรือว่าทำไมข้าถึงทำแบบนี้" "พ่ะย่ะค่ะ
หม่อมฉันไม่เข้าใจจริงๆ" "ที่หลายวันนี้ ข้าสั่งห้ามไม่ให้ท่านเข้าประชุม
ไม่ใช่เป็นการลงโทษ แต่ทำเพื่อปกป้องท่านต่างหาก ยังไม่เข้าใจอีกหรือ" "ฝ่าบาท" "
เพราะก่อนหน้านี้ ไปค้นตัวพวกขุนนางหัวเก่า ทำให้พวกเขาเกิดความไม่พอใจ
ที่จริงเรื่องแบบนี้ จะว่าถูกก็ถูก ว่าผิดก็ผิดได้เหมือนกัน แต่หลังจากนั้น
กลับกลายเป็นว่า พอค้นตัวเสร็จ ท่านก็ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านี้อีก
ซึ่งถ้าให้ท่านเข้าประชุม พวกขุนนางเก่าที่ไม่พอใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ต้องพากันประท้วงแน่ ข้าเพียงแต่ ไม่อยากให้ท่านเป็นเป้าโจมตีสำหรับพวกเขา
เลยให้หลบไปก่อน" "อ้อ" ฮงกุกยองเข้าใจ "เป็นไงล่ะ หลังจากฟังแล้ว
เหตุผลที่ข้าไม่ให้เข้าประชุม พอจะรับได้ไหม" " หึ ฮือ ทรงอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฮือ
หม่อมฉัน ไม่เข้าใจถึงความหวังดีของฝ่าบาท ยังแสดงกิริยาลบหลู่เบื้องสูง
ช่างเป็นความโง่สิ้นดี ขอฝ่าบาททรงอภัย ให้กับความโง่เขลาของหม่อมฉันด้วยเถอะ"
"ไม่เป็นไร ที่จริงข้าน่าจะบอกก่อน ท่านจะได้ไม่เกิดความน้อยใจ
แต่คิดว่าคนฉลาดอย่างท่าน น่าจะรู้เจตนาที่แท้จริงของข้า เพราะข้าไม่ทันคิดรอบคอบ
เชิญลุกขึ้นเถอะ" "ฝ่าบาท" "เร็วสิ ไหนๆ พูดถึงขนาดนี้แล้ว ขอเพิ่มอีกหน่อยเถอะ
ท่านน่ะ เป็นคนสนิทที่ข้าไว้ใจที่สุด ถึงบางครั้งไม่พูดอะไร
ก็หวังว่าท่านจะรู้ใจข้าดี เพราะความที่เป็นห่วง
เลยไม่อยากให้ท่านตกเป็นข้อครหาของคนอื่น ไม่ว่าทำอะไรก็ขอให้ซื่อสัตย์และเปิดเผย
เป็นที่ยกย่องของราษฎรมากกว่าข้าซะอีก" "ฝ่าบาท" "ตอนนี้ไม่เพียง เหล่าขุนนาง
แม้แต่ชาวบ้านข้างนอกก็จับตาดูท่านอยู่ ถ้าจะให้เป็นที่นับถือ ก็ต้องวางตัวให้ดี
ทำอะไรรอบคอบเข้าไว้ เข้าใจหรือเปล่า" "พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉัน
จะไม่ลืมรับสั่งของฝ่าบาทเลย" " งั้นก็ดีแล้ว แต่พูดก็พูด
หลายวันนี้ข้าตั้งใจจะให้ท่านพักผ่อน ท่านก็ยังดึงดันจะมาอีก ไหนๆ มาแล้ว
ข้าก็อดไม่ไหวจะให้ทำงานต่อ หึๆๆ อ้า เอานี่ไปดู" "นี่คืออะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ"
"เรื่องสำคัญที่จะให้ประกาศในเดือนหน้า" "เอ่อ ฝ่า ฝ่าบาท นี่คือ
ราชโองการให้เลิกระบบทาสในโชซอนหรือพ่ะย่ะค่ะ" " ใช่ หลังจากบ้านเมืองสงบแล้ว
ข้าคิดว่า จะให้มีการเลิกทาสอย่างจริงจังซะที ทุกวันนี้ข้างนอก
มีทาสมากมายที่ทนกดขี่ไม่ไหว ยอมหนีไปตายดาบหน้า ที่สำคัญ
ชนชั้นสูงนอกจากจะกดขี่พวกเขาแล้ว ยังไปรีดไถถึงญาติพี่น้องของทาสอีก
แล้วข้าจะอยู่เฉยได้ยังไง" "เอ่อ ฝ่าบาท" " ด้วยเหตุนี้
ไม่เพียงจะให้เลิกระบบค้าทาส ยังจะให้มีการปลดแอก เลื่อนฐานะให้เป็นพลเมืองทั่วไป
เมื่อเราออกเป็นกฎ ฐานะก็จะมีการเปลี่ยนแปลง พวกเขาจะไม่ถูกกดขี่ราวกับไม่ใช่คนอีก
จากนั้น บ้านเมืองถึงจะเจริญได้" "เอ่อ แต่ว่า ทาสเป็นสมบัติของชนชั้นสูง
พวกเขาคงไม่ยอมรับเรื่องแบบนี้ง่ายๆ" " สิ่งที่เราทำ เคยมีอะไรที่ง่ายหรือเปล่า
ถ้ามัวแต่กลัวโน่นกลัวนี่ ชาตินี้คงไม่ต้องริเริ่มอะไรซักอย่างแล้วมั้ง
ชาวบ้านที่น่าสงสาร เกิดมาพร้อมกับพันธนาการของระบบชนชั้น
พวกเขาก็มีสิทธิ์ได้รับการดูแลจากทางการ" ทางด้านมินจูซีก็เปล่าหูพวกขุนนางว่า
"ได้ข่าวว่ามีงานหลายอย่างที่พวกลูกอนุฯ ไม่อาจสะสางได้ เป็นความจริงหรือเปล่า" "
พูดแล้วก็น่าโมโห พวกเขาพยายามจะก้าวก่ายทุกเรื่อง
เพราะถือว่ามีฝ่าบาทให้ท้ายเลยยิ่งฮึกเหิมได้ใจ เห็นแล้วก็รู้สึกขัดหูขัดตาไปหมด"
"นั่นยังไม่เท่าไหร่ เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น พวกท่านก็เห็นอยู่ไม่ใช่หรือ
ไม่เพียงแต่ให้ลูกอนุฯ เข้ามา ฝ่าบาทยังจะใช้วิธีอื่นมาจำกัดอำนาจของพวกเราด้วย"
"ถ้าอย่างงั้น เราจะทำไงดีล่ะ" " พวกที่ไม่เจียมตัว เราต้องสั่งสอนให้รู้ซะบ้าง
ว่านี่เป็นรากฐานที่พวกเราสร้างมาอย่างยากเย็น ก่อนที่พวกมันจะปีกกล้าขาแข็งกว่านี้
เราต้องถอนรากถอนโคนให้หมด หึ" ซอง ซงยอนพาโชบีมาเก็บงานสีในวัง
แต่โชบีลืมเอาผงทองมาจึงต้องออกไปขอที่หอศิลปะในวัง
พระเจ้าจองโจทรงเสด็จมาทอดพระเนตร ซึ่งมีเพียงซองซงยอนอยู่ลำพัง "ไม่กี่วัน
เจ้าก็ลงสีเสร็จแล้วหรือ" พระเจ้าจองโจตรัส "เอ่อ เพคะ ถ้าไม่มีอะไรขัดข้อง
คิดว่าน่าจะเสร็จวันนี้ แล้วเดือนหน้า ก็จะถวายพระรูปให้ทอดพระเนตรได้" " งั้นหรือ
ไม่รู้เพราะข้าหรือเปล่า ทำให้เจ้าอยากทำงานให้เสร็จเร็วๆ ไม่มีอะไรหรอก
เห็นเสร็จเร็วกว่าที่คิดเลยถามไปอย่างงั้น เพราะต้องมาเข้าวังบ่อยๆ
ทำให้รู้สึกอึดอัดใช่ไหม" "เอ่อ หม่อมฉันไม่เคยคิดอย่างงั้นเพคะ" " ถ้าหาก
เป็นเพราะเรื่องวันก่อน ทำให้เจ้าเสียสมาธิละก้อ ขอบอกว่าไม่ต้องใส่ใจหรอกนะ
เมื่อข้ารู้สิ่งที่เจ้าต้องการ เราก็จะ ถือว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนเหมือนเดิม
และหวังว่า เจ้าจะคิดอย่างงั้นกับข้าด้วย" จากนั้นทรงให้ซองซงยอนเขียนภาพพระองค์
พระพันปีเฮคยองทรงมาเฝ้าพระเจ้าจองโจด้วยเรื่องของสนมวอนพิน " ฝ่าบาท
ทำไมเจ้าถึงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลายวันนี้แทบไม่ไปหา สนมวอนพินที่ตำหนักเลย
ที่เรามีสนมเพื่ออะไร เจ้ายังไม่รู้เหตุผลอีกหรือ หึ และเท่าที่ข้ารู้
ยังมีเรื่องเหลวไหลกว่านั้นอีก คืนส่งตัว เจ้าไม่ไปหาสนมวอนพิน
แต่กลับไปศูนย์ศิลปะ" "เสด็จแม่ หม่อมฉัน รู้ว่าเสด็จแม่จะรับสั่งอะไรต่อไป
แต่ขอให้หยุดก่อน หม่อมฉันให้สัญญา ต่อไปจะไม่ทำอะไรให้เสด็จแม่ทรงเป็นห่วงอีก
ขอทรงวางพระทัยได้ คืนนี้หม่อมฉัน จะไปหาสนมวอนพินที่ตำหนัก มันเป็นสิ่งที่
หม่อมฉันจำเป็นต้องทำในฐานะพระราชา หม่อมฉันก็รู้ เพราะฉะนั้น ขอทรงเห็นใจ
และอย่ารับสั่งอะไรกับหม่อมฉันอีกได้ไหม"

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน จบ 52

โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ และก็ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านค่ะ

เครดิต : www.oknation.net/blog/lakorn

Readlakorn เว็บเรื่องย่อละครรายตอนตามบทโทรทัศน์ช่อง3,5,7,นิยาย ไทยรัฐ,
ละครเกาหลี,ละครไต้หวัน (Series), ลิ้งค์(Links) ดูละคร Youtube
เรื่องย่อละคร ลีซานจอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน สุสานภูเตศวร สาปภูษา มนต์รักข้าวต้มมัด เมียหลวง
เพลงรักข้ามภพ มือนาง เทพบุตรนักบาส

Readlakorn

Related Posts



5 comments:

คนชอบอ่าน on 4/08/2009 said...

ขอบคุณค่ะ คนแรกป่าวเนี่ย

Tun said...

ดีใจจังค่ะ กำลังรอว่าเมื่อไหร่จะได้อ่านตอนต่อไป สนุกมาก ขอบคุณน่ะค่ะที่มาลงเรื่องย่อให้ได้ติดตามอ่าน

Anonymous said...

สนุกมากๆเลย

ขอบคุณนะคะ

ปล.เมื่อไหร่ ซงยอน จะได้เป็นสนมสักที ??

คนติดละคร said...

ขอบคุณมากๆค่ะ สนุกมาก อ่านไปลุ้นไปเมื่อไรซงยอนจะได้เป็นสนมสักที

ปล.อยากรู้จังตอนไหนซงยอนจะได้เป็นสนม

Anonymous said...

ขอบคุณนะครับ อ่านแล้วสนุกมาก ทั้งหมดมีกี่นอนละครับ

 

Recommended Product

  • ads
  • ads
  • ads
  • ads
  • ads
  • ads
  • ads
  • ads

My Blog List

Read Lakorn Copyright © 2009 Shopping Bag is Designed by Ipietoon Sponsored by Online Business Journal