ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน 41
พระมเหสีจองซุนเสด็จกลับมาคิมคีจูถามทันที
"พระมเหสี ได้ยินว่าตอนประชุม องค์ชายมีท่าทีแข็งกร้าวหรือพ่ะย่ะค่ะ"
" ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน ไม่งั้นท่านคิดว่า เขาจะยอมมอบชีวิตให้เราจัดการง่ายๆ หรือไง เขาจะต้องดึงดันต่อไป ยื้อให้นานสุดเท่าที่จะนานได้ แต่มันก็ไม่ช่วยอะไรมากนักหรอก เพราะฝ่าบาทจะไม่มีวันฟื้นมาได้อีก และกำลังที่เขามีอยู่ในมือ ก็แทบไม่อยู่ในสายตาข้าด้วยซ้ำ ไปเรียกประชุมเดี๋ยวนี้ ข้าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนเขาจะตั้งตัวทัน"
"พ่ะย่ะค่ะ"
องค์ชายลีซานทรงคิดถึงคำพูดของพระมเหสีจองซุน แชจีคยอมรู้สึกเป็นห่วงมาก
"องค์ชาย"
" มันเป็นศึกที่หนักหน่วงจริงๆ พวกเขาเหมือนมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือ ในขณะที่เราแทบไม่มีอะไรเลย เราจะถูกไล่ต้อนทีละนิด แต่ว่าข้าจะไม่ยอมอยู่เฉยให้ใครมาเล่นงาน ข้าจะไม่ยอม ตายด้วยน้ำมือของศัตรูที่เคยฆ่าเสด็จพ่ออย่างเด็ดขาด ไม่ยอมยกบ้านเมือง ให้คนพวกนี้ไปปู้ยี่ปู้ยำ"
พระเจ้ายองโจทรงบรรทมกรน องค์ชายลีซานเฝ้าแล้วรับสั่งว่า
"หม่อมฉันจะไม่หวั่นไหวง่ายๆ และไม่ยอมแพ้พวกเขาด้วย เพราะหม่อมฉันยังเป็นรัชทายาทอยู่ ใครก็มาทำอะไรไม่ได้"
ในที่ประชุม พระมเหสีจองซุนทรงกล่าวกับทุกคนว่า
" เป็นที่รู้กันแล้วว่า นี่คือราชโองการฉบับสุดท้ายที่ฝ่าบาททรงมีประสงค์จะปลดองค์ชายซะ และพรุ่งนี้เช้า ข้าจะดำเนินการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้น"
"หา พระมเหสี รับสั่งว่า พรุ่งนี้เช้าหรือเพคะ"
"แต่ว่าพระมเหสี แล้วองค์ชาย จะยอมรับราชโองการง่ายๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ เขาต้องอ้างเหตุผลสารพัดเพื่อจะอยู่ในตำแหน่งต่ออีก"
" เพราะฉะนั้น ก่อนที่เขาจะมีแรงตอบโต้ เราต้องสามัคคีเข้าไว้อย่าเพิ่งแตกแถว ไม่มีเวลาให้รีรออีกแล้ว ถ้าไม่ยอมรับฟังดีๆ แม้จะใช้กำลัง เราก็ต้องถอดถอนเขาให้ได้"
แชซกจูถามว่า "แม้จะใช้กำลังก็ต้องถอดถอน ทรงหมายถึง จะใช้ทหารหรือพ่ะย่ะค่ะ"
"ใช่แล้ว"
แชซกจูตกใจ "หา"
" ตอนนี้แม้แต่หัวหน้าหน่วยคุ้มกันพิเศษก็เป็นคนของเราแล้ว คนที่มีหน้าที่ถวายอารักขาองค์ชายโดยเฉพาะ ก็เป็นพวกเราเรียบร้อย ในเมื่อเรามีกำลังทหารทุกหน่วยอยู่ในมือ งั้นคืนนี้ ก็จะควบคุมตำหนักตงกุงไว้ และพอพรุ่งนี้เช้า หลังจากองค์ชายอยู่ในกำมือพวกเราเรียบร้อยแล้ว ทุกท่านก็ไปรวมตัวที่ท้องพระโรง เพื่อประกาศราชโองการฉบับสุดท้ายของฝ่าบาท เข้าใจหรือเปล่า"
ทุกคนรับคำ "พ่ะย่ะค่ะพระมเหสี"
พอออกมาแชซกจูกล่าวกับชองโฮคยอมว่า
"เฮ่อ ข้ารู้พระประสงค์แท้จริงของฝ่าบาท เราทำแบบนี้ก็คือกบฎ"
"ทุกคน ต่างก็รู้เหตุผลข้อนี้ดี แต่เพราะเราไม่มีทางให้เลือกต่างหาก" ชองโฮคยอมว่า
"แต่ว่า สิ่งที่ข้าทำได้คงมีเพียงเท่านี้"
"ใต้เท้า ความหมายของท่านคือ"
"ข้าจะไม่บอกองค์ชายให้รู้ แต่ว่า ถ้าไม่เชื่อ ข้าก็จนปัญญาเหมือนกัน ส่งคนมาจับข้าก็ได้ ข้าจะรอ"
องค์ชายลีซานเสด็จมาประชุมกับเหล่าทหารและเรียกนายกองซินกวางโฮ แต่ผู้ช่วยกลับมาแทนและบอกว่านายกองซินกวางโฮยังไม่มาเลย
"เขาเป็นถึงนายกองยังไม่มาเข้าเวรหรือ"
"พ่ะย่ะค่ะ จู่ๆ ก็หายไป หม่อมฉันให้คนไปตามแล้ว แต่ จนป่านนี้ยังไม่ได้รับรายงานมา"
" หุบปาก พูดแบบนี้หมายความว่าไง เป็นทหารที่ดูแลวังหลวง นึกจะหายก็หายไป ส่วนท่านเป็นผู้ช่วยกลับไม่รู้อะไรเลย แบบนี้ไม่สะเพร่าไปหน่อยหรือ"
องค์ชายลีซานเรียกทุกคนมาประชุม และบอกเรื่องนายกองซินกวางโฮหายตัวไป
"หัวหน้าหน่วยคุ้มกันพิเศษจู่ๆ หายไป เป็นไปได้ไงพ่ะย่ะค่ะ"
"องค์ชาย หรือว่า นายกองซินกวางโฮ ไปเข้ากับฝ่ายโน้นหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ"
"ไม่หรอก ข้าเชื่อว่าไม่มีทาง เขาเป็นคนหนักแน่น ไม่เคยเข้ากับฝ่ายไหน ถ้าจู่ๆ หายไปน่าจะเกิดเหตุร้ายมากกว่า"
"องค์ชาย หม่อมฉันว่า ย้ายหน่วยคุ้มกันพิเศษออกไปดีกว่า อิทธิพลของพวกนั้น ไม่แน่อาจมาถึงหน่วยนี้แล้วก็ได้"
"แต่ว่า ถ้าจะย้ายก็ต้องคิดให้รอบคอบ เพราะถ้าไม่มีหน่วยนี้ ในวังก็จะเหลือแต่องครักษ์ซึ่งมี “โชจองซู” เป็น หัวหน้า และคนๆ นี้ ก็แสดงตัวชัดเจนว่าเป็นพวกขั้วอำนาจเก่า เหลือทหารที่ใกล้ชิดองค์ชายจริงๆ อย่างมากก็ไม่ถึงสิบคน ถ้าเกิดองครักษ์แปรพักตร์ คนของเราก็รับมือไม่อยู่ เคยคิดบ้างมั้ย หึ"
" องครักษ์ 700 คน หน่วยคุ้มกันพิเศษอีก 400 รวมเป็นทหารกว่าพันคน ภายในคืนนี้ไม่แน่ว่า อาจรวมหัวมาฆ่าข้าก็ได้" องค์ชายลีซานว่า ทุกคนฟังแล้วพลอยตกใจ
คิมคี จูสั่งนายกองให้ส่งคนไปตำหนักตงกุง และสั่งว่าคืนนี้ให้คุมตำหนักใหญ่และตำหนักตงกุง พรุ่งนี้เช้าพระมเหสีก็จะประกาศราชโองการของพระเจ้ายองโจทันที
"หมายความว่า จะมีการปลดองค์ชายจริงหรือครับ"
"ใช่"
" แต่เราเป็นองครักษ์ ถ้าไม่มีรับสั่งจากฝ่าบาทจะห้ามเคลื่อนไหวใดๆ และองค์ชายก็ทรงยืนยัน ว่าเป็นรับสั่งของฝ่าบาท ที่จะมีการสละบัลลังก์"
" สละบัลลังก์หรือ แม้แต่ท่านก็เชื่อรับสั่งเหลวไหลขององค์ชายด้วยหรือไง องค์ชายฉวยตอนฝ่าบาทประชวร ไม่รู้สึกพระองค์ คิดจะกุมอำนาจไว้ซะเอง แล้วท่านเป็นหัวหน้าองครักษ์แท้ๆ จะนิ่งดูดายต่อเรื่องนี้ได้หรือ นี่เป็นเวลาที่เราต้องร่วมแรงร่วมใจช่วยฝ่าบาทปกป้องราชสำนักไว้ แม้แต่พระมเหสีก็ทรงเชื่อว่าท่านจะรู้จักแยกแยะดีชั่ว ยอมช่วยเราอีกแรงนะ"
"ท่านบอกว่า ตำหนักตงกุง และตำหนักใหญ่ใช่ไหม"
"ใช่ ท่านนายกอง"
ชองโฮคยอมรู้ก็รีบรายงานองค์หญิงวาวาน บอกว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่พระมเหสีจองซุนวางไว้
คังซกกีสั่งให้เทซูจับตาดูองครักษ์และหน่วยคุ้มกันพิเศษ เทซูว่านายกองซินกวางโฮอยู่ไม่น่ามีอะไร คังซกกีจึงบอกว่า
"เมื่อคืนหัวหน้าซิน จู่ๆ ก็หายสาบสูญไป"
"อะไรนะ"
"ใต้เท้าฮงเตือนมาว่า แม้แต่หน่วยของเรา ก็ไม่รู้มีใครแปรพักตร์หรือเปล่า"
" เอ่อ ถ้าอย่างงั้น เราจะทำไงดีล่ะครับ ทุกวันนี้ เรามีลูกน้องในสังกัดไม่ถึง 70 คน เกิดองครักษ์บุกมาจริง เราจะเอาอะไรไปสู้พวกเขาได้ หึ"
ณ เวลานี้ การงานของหน่วยงานต่างๆ แม้แต่ร้านค้าก็หยุดกันหมด ซองซงยอนจึงไปหาเทซูในวัง
"หึ มาทำไมหรือ ทำไมต้องมาพบข้าในวัง"
"ข้าเอานี่มาให้เจ้า"
"เอ่อ นี่ จะบ้าหรือไง กลับไปเดี๋ยวนี้เลยนะ เกิดอะไรขึ้น ใครจะช่วยเจ้าได้"
"เทซู"
"เอ่อ คือ ข้าหมายถึงว่า ข้ากำลังยุ่งอยู่ เจ้ากลับไปเถอะนะ"
"เอ่อ ในวังจะเกิดเรื่องไม่ดีจริงหรือเปล่า ใครๆ ก็หยุดงานหมด แม้แต่ศูนย์ศิลปะก็โดนด้วย ข้ากลัวว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับองค์ชายน่ะ"
"เฮ่ย ไม่มีอะไรหรอก ทรงปลอดภัยดี"
"หึ เทซู"
"คือ ไม่มีอะไรจริงๆ ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าด้วย รีบกลับไปเถอะนะ และอย่าออกมาข้างนอกอีก รู้มั้ย"
องค์ ชายลีซานยังคงเฝ้าดูแลพระเจ้ายองโจกับหมอหลวง แต่พระอาการของพระเจ้ายองโจก็ยังไม่ดีขึ้น องค์ชายลีซานพบหัวหน้าองครักษ์จึงเข้ามาทัก
"ท่าทางเหมือนจะงานยุ่งนะ"
" อ้อ องค์ชาย ทรงหมายความว่าไงหรือพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายเสด็จมาเพื่อจะเกลี้ยกล่อมหม่อมฉันหรือ เอ่อ หม่อมฉันขอบังอาจทูลถาม คือ หม่อมฉัน ไม่เข้าใจสิ่งที่องค์ชายรับสั่ง"
"อย่าบอกว่าไม่เข้าใจเลย ข้ากำลังพูดอะไรกับท่าน คิดว่าท่านน่าจะรู้ ไม่ เพียงเท่านี้ แม้แต่พระประสงค์แท้จริงของฝ่าบาทคืออะไร ท่านก็รู้แก่ใจดี ตอนนี้ทั้งขุนนางและคนอื่นๆ ต่างคิดว่าข้าแอบอ้างราชโองการเพื่อหวังจะครองบัลลังก์ซะเอง ด้วยเหตุนี้ พวกเขาเลยพยายามจะประกาศราชโองการของฝ่าบาท เพื่อจะถอดข้าออกจากตำแหน่งรัชทายาทซะ แต่ว่าท่านนายกอง คงรู้ว่านั่นเป็นแค่ข้ออ้าง ที่พวกเขายกมาบังหน้า และท่านก็รู้ว่าพระประสงค์ที่แท้จริงของฝ่าบาท คืออะไรกันแน่ เพราะเช้าวันก่อน คนที่ตามเสด็จไปอุทยานยองโว ก็คือท่านไม่ใช่หรือ"
"หึ เอ่อ องค์ชาย หึ"
" ฝ่ายที่ท่านเอนเอียงเข้าหานั้น อาจเป็นศัตรูกับข้าก็จริง แต่ถ้าท่าน ลืมหน้าที่ความเป็นองครักษ์เมื่อไหร่ นั่นคือ อาจถูกตราหน้าว่าเป็นกบฎคิดคดต่อราชบัลลังก์ ท่านเอง เป็นคนที่ ถวายอารักขาฝ่าบาทมาสิบกว่าปี และยังเป็นหัวหน้าด้วย เพราะฉะนั้นข้าจึงอยากขอร้อง อย่าเห็นแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ให้ถือหน้าที่เป็นหลัก คุ้มครองฝ่าบาท อย่าให้พระองค์ไม่ทรงสบายพระทัยเลยนะ"
ทางด้านฮงกุกยองก็สั่งทหารว่า
" ที่เคยแบ่งไว้กลุ่มละ 6 คน ให้แยกย่อยเป็นอีกครึ่ง กลุ่มละ 3 คนไปเฝ้าตำหนักใหญ่และตำหนักตงกุงไว้ ที่สำคัญ ทางเข้าออกพระตำหนัก ทั้งประตู ซงจอน ซอนยิน และแทนึง ก็ต้องเฝ้าอย่างเข้มงวด"
ทหารหลายคนไม่เห็นด้วย อ้างว่าไม่เกี่ยวกับพวกเขา เทซูจึงบอกว่า
"หึ ไม่งั้นจะอยู่เฉยๆ มั้ยล่ะ หรือไม่งั้น คิดว่าเราต้องทำไงบ้าง วางอาวุธลงซะ แล้วยอมแพ้พวกเขาหรือไง"
"เอ่อ เทซู"
"ชั่วดียังไงก็ต้องลองดูก่อน ตอนนี้คนที่จะปกป้ององค์ชายได้ก็มีแต่พวกเรา แล้วเรายังจะกลัวตายอีกหรือ หึ เฮ่ย"
"เดี๋ยว เอ่อ นี่ เทซูๆ" พวกทหารยอมแยกย้ายกันไปทำงาน
พวก กบฏก็พากันเคลื่อนไหว องค์ชายลีซานทำได้เพียงให้ทหารองครักษ์จำนวนหนึ่งอารักขาตำหนักตงกุง แต่ไม่สามารถต้านทานกำลังกบฏได้ เมื่อพวกกบฏบุกเข้ามาถึงห้องพักขององค์ชายลีซาน
ทัน ใดนั้นหัวหน้าทหารองครักษ์ก็นำกองกำลังเข้ากวาดล้างพวกกบฏ เมื่อองค์ชายลีซานออกจากห้องพักมาก็ดีใจมากเมื่อเห็นทหารองครักษ์พากันมา ถวายอารักขา
เนื่อง จากพระมเหสีจองซุนทรงได้รับรายงานจากคิมคีจูว่าหัวหน้าองครักษ์เข้ากับองค์ ชายลีซาน ด้วยเหตุนี้พระมเหสีจองซุนจึงเสด็จออกจากวังหลวงไปก่อนหน้านี้แล้ว
ฮงกุกยองสั่งให้ทหารองครักษ์ตามจับกุมตัวพระมเหสีจองซุนกลับมาให้ได้ แต่ท้ายที่สุดพระมเหสีจองซุนกลับหนีรอดไปได้
"อะไรนะ นี่มัน นี่มันหมายความว่าไง หัวหน้าองครักษ์เกิดเปลี่ยนใจไปเข้ากับองค์ชายงั้นหรือ"
"หึ ไม่มีเวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขืนอยู่ในวัง เราต้องถูกเล่นงานแน่ หาที่หลบภัยก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ"
องค์ชายลีซานถามฮงกุกยองว่าเหตุการณ์เป็นยังไงบ้าง
"ตำหนักองค์หญิงวาวานก็ไม่มีใครอยู่ อาจจะรู้ข่าวเลยหนีไปก่อน แต่ว่าคงหนีได้ไม่ไกลนัก ถ้าส่งทหารรีบตามไป ไม่แน่อาจได้ตัวพ่ะย่ะค่ะ"
ขณะ ที่พระมเหสีจองซุนเสด็จหนี คิมคีจูก็เข้ามาบอกให้ทิ้งเกี้ยว เพราะข้างหน้ามีแต่ทหาร ฮงกุกยองสั่งให้ทหารองครักษ์ตามจับกุมตัวพระมเหสีจองซุนกลับมาให้ได้ แต่ท้ายที่สุดพระมเหสีจองซุนกลับหนีรอดไปได้
หลัง จากที่ทหารองครักษ์กวาดล้างกบฏ หัวหน้าทหารองครักษ์ก็บอกองค์ชายลีซานว่าพระมเหสีจองซุนมีกองกำลังเป็นของ พระนางเอง กองกำลังที่มีมีจำนวนไม่น้อย
"องค์ชาย มีแกนนำ 5 คนของหน่วยคุ้มกันพิเศษ ตอนนี้อยู่ในเรือนจำ ด้วยข้อหาก่อความไม่สงบพ่ะย่ะค่ะ"
"ข้ารู้แล้ว ขอบคุณมาก นี่คงเป็นการเลือกที่ลำบากใจ"
" มิได้พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันเป็นหัวหน้าองครักษ์ของฝ่าบาท สมควรปฏิบัติตามหน้าที่อยู่แล้ว แต่ว่าองค์ชาย หม่อมฉัน ยังมีเรื่องจะทูลให้ทราบพ่ะย่ะค่ะ"
"เรื่องอะไร เชิญพูดได้ นี่คืออะไร"
"เป็นสาส์นลับของพระมเหสีพ่ะย่ะค่ะ"
องค์ชายลีซานอ่านจดหมาย "หา นี่มัน"
" หม่อมฉันขอบังอาจทูลว่า ข้อความที่เขียนคือองค์ชายแอบอ้างราชโองการ หวังจะชิงบัลลังก์ ซึ่งเป็นข้อหาร้ายแรงนัก และไม่ได้มีเฉพาะหม่อมฉันคนเดียว ป่านนี้ จดหมายนี่น่าจะไปถึง 5 กองพลที่ประจำอยู่นอกเมืองด้วย"
"5 กองพลหรือ"
" พ่ะย่ะค่ะ รวมกับทหารที่ถูกย้ายไปปักหลักที่ชานเมือง ถ้าผนึกกำลัง จะมีมากถึง 2 หมื่นคนได้ ถ้าพวกเขา ได้อ่านจดหมายแล้วแล้วยกพลเข้าเมืองมา ถึงตอนนั้น เราจะไม่สามารถกำราบได้นะพ่ะย่ะค่ะ"
องค์ชายลีซานเชิญคนสนิทขององค์ชายซาโตเข้ามาพบ
"รู้จักใต้เท้า ลีซังพิล แม่ทัพมณฑลพยองอัน หรือเปล่า"
" รู้จักพ่ะย่ะค่ะ และสนิทกันมากด้วย การที่คนของอดีตรัชทายาทไม่ถูกรังควาน ได้อยู่มาจนวันนี้ ก็เพราะความช่วยเหลือและดูแลอย่างดีจากเขา ถือว่าคนๆ นี้ มีความภักดีต่ออดีตรัชทายาท หาใครเปรียบมิได้พ่ะย่ะค่ะ"
" ใช่ เขายังเคยช่วยข้าหลายครั้ง และตอนนี้ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเขาอีก จะขอกำลังทหารจากมณฑลพยองอัน มาเสริมที่นี่ ท่านจะนำจดหมายของข้าไปมอบให้เขาได้ไหม"
"ขอเพียงองค์ชายรับสั่ง ต่อให้บุกน้ำลุยไฟก็ไม่เกี่ยง หม่อมฉันยินดีรับใช้พ่ะย่ะค่ะ"
จากนั้นฮงกุกยองก็สั่งให้พวกเทซูคอยคุ้มกันท่านซอยินซู
เทซูปลอมตัวไปเอาม้าจากพวกโอจองโฮมาได้ตัวหนึ่งเพื่อให้ชายแก่คนสนิทขององค์ชายซาโต โอจองโฮรู้ก็ตามล่าเทซู
000000000000000000
หัวหน้าทหารองครักษ์รายงานองค์ชายลีซานว่า
"ประตูเมืองทุกด้าน จะมีองครักษ์หนึ่งร้อยคน ส่วนที่เหลือให้อยู่ในส่วนกลางพ่ะย่ะค่ะ"
"ข้าว่าพวกเขา น่าจะโจมตีจุดนี้ก่อน ตรงนี้ ให้ส่งคนไปเฝ้าอีก"
"ได้พ่ะย่ะค่ะ"
"องค์ชายๆ คนที่ไปส่งใต้เท้าซอ กลับมาหมดแล้วพ่ะยะค่ะ สามารถตบตาพวกทหาร ออกเดินทางไปเรียบร้อย"
"กว่าจะได้ทหารจากมณฑล “พยองอัน” มาช่วย อย่างน้อยก็ต้องรอถึง 4 วัน เพราะฉะนั้น 4 วันนี้ เราต้องเตรียมป้องกันให้ดีที่สุด"
"พ่ะย่ะค่ะ"
องค์ ชายลีซานกล่าวกับทุกคนว่า "ขอบใจพวกเจ้ามาก เชื่อว่าตอนนี้ ทุกคนคงพอรู้สถานการณ์คร่าวๆ แล้ว ศึกที่เรากำลังจะเผชิญหน้านี้ ไม่แน่อาจเป็นสงครามที่ไม่มีทางชนะได้ ถ้ารวมกำลังทั้งหมด เราจะมีทหารแค่ 800 คน แต่ต้องเผชิญกับ ทหาร 5 กองพลซึ่งมีมากกว่าหมื่นคน ถ้าเป็นคนอื่นทั่วไป คงถอดใจยอมแพ้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ว่าข้าจำเป็นต้องสู้ ที่ข้าจำต้องสู้นั้น ไม่ใช่เพื่อหวังจะเอาตัวรอดคนเดียว แต่ทำเพื่อความอยู่รอดของบ้านเมืองต่างหาก เพราะฉะนั้นเมื่อข้าเป็นรัชทายาท จึงจำต้องเข้มแข็งไว้ รับมือกับศึกหนัก ซึ่งอาจแพ้หรือชนะก็ได้ และตอนนี้แม้จะรู้ว่าความหวังริบหรี่ แต่ก็ใช่จะหมดทางซะทีเดียว ขอเพียงเรายืนหยัดปกป้องวังหลวง ไม่มากไม่น้อยแค่ 4 วันเท่านั้น ถ้าเราสามารถยืนหยัดถึง 4 วันได้ กองหนุน 3 หมื่นที่จะมาช่วย ก็จะถึงเมืองหลวงอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ ข้า ไม่อาจให้การรับรองอะไรได้ ไม่แน่ในระหว่าง 4 วันนี้ อาจมีคนล้มหายตายจากไป เพราะฉะนั้นถ้าใครที่กลัวตาย ข้าจะอนุญาตให้ไปจากที่นี่ และคนที่ไป ข้าก็ไม่เอาเรื่อง หรือโกรธเคืองใดๆ ทั้งสิ้น แต่ในช่วงนี้ ใครที่เสียสละเพื่อข้า ข้าจะไม่ลืมผลงาน และจดจำความดีของพวกเจ้าไว้"
เทซูรีบบอก "เราจะไปได้ยังไง ทำไมรับสั่งอย่างงั้นล่ะพ่ะย่ะค่ะ พวกเราขอติดตามองค์ชาย แม้ตายก็ไม่เคยกลัว"
ซอจังบูเห็นด้วย "ใช่แล้ว พวกเราทุกคน ยินดีพลีชีพเพื่อองค์ชาย"
คังซกกีกล่าวต่อว่า "เราจะขอพลีชีพเพื่อองค์ชาย"
ทุกคนกล่าวพร้อมกัน "เราจะพลีชีพเพื่อองค์ชาย เพื่อองค์ชายๆๆ เย้ วู้"
องค์ ชายลีซานทรงคิดในใจถึงพระเจ้ายองโจว่า "ฝ่าบาท หม่อมฉันรู้สึกกลัวนัก ไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะตาย แต่กลัวจะคุ้มครองฝ่าบาทไม่ได้ และไม่อาจทำตามรับสั่งของเสด็จพ่อ ตรงนี้ที่ทำให้กลัว"
ทางด้านที่ศูนย์ศิลปะ ปาร์คยองมุนกล่าวกับทุกคนว่าจะปิดศูนย์ชั่วคราว ตราบใดที่สถานการณ์ยังไม่นิ่ง ทุกคนไม่ต้องมาทำงาน แล้วปาร์ค
องค์ชายลีซานเข้าพบพระมารดา พระพันปีเฮคยองกล่าวว่า
" ในเมื่อฝ่าบาททรงเข้าพระทัยถึงความภักดีของเสด็จพ่อเจ้าในอดีต นับแต่นี้ แม่ก็ไม่นึกตำหนิพระองค์อีกแล้ว ไม่ต้องห่วงแม่หรอกนะ ต่อให้ ใครมาทำอะไรแม่ แม่ก็ไม่กลัวตายซักนิด"
"หม่อมฉัน จะดูแลเสด็จแม่และพินกุงอย่างดี ขอให้เสด็จแม่ ทรงเชื่อหม่อมฉันด้วย"
"แน่นอน แม่ต้องเชื่อเจ้าอยู่แล้ว เจ้าต้องเอาชนะอุปสรรคเพื่อเป็นพระราชา สานต่อเจตนารมณ์ของเสด็จพ่อเจ้า แม่เชื่อเสมอ"
องค์ชายลีซานตรัสกับพระชายาโยอึยว่า "ข้ารู้สึกละอายใจต่อเจ้านัก"
" หึ อย่ารับสั่งอย่างงั้นเลยเพคะ แค่ได้อยู่เคียงข้างองค์ชายมาจนวันนี้ ก็ถือเป็นวาสนาของหม่อมฉันด้วยซ้ำ หม่อมฉันก็คิดเช่นเดียวกับเสด็จแม่ ไม่เคยตำหนิองค์ชายหรือเสียใจต่อสิ่งที่เกิด"
"พินกุง"
" แต่มีเรื่องหนึ่ง ที่หม่อมฉันรู้สึกผิด ก็คือไม่มีทายาทให้องค์ชาย ไม่สมกับการเป็นพระชายาเลย ถ้าสวรรค์ยังปรานีหม่อมฉันบ้าง ก็หวังว่า จะมีโอรสที่เก่งกล้าซักคน เหมือนกับองค์ชายนะเพคะ"
ทางด้านชองโฮคยอมทูลพระมเหสีจองวุนว่าม้าโดนแย่งไป
"เจ้าบอกว่าไงนะ มีคนแย่งม้าไปได้หรือ"
" เป็นด่านสื่อสารที่เมือง ยางจู พ่ะย่ะค่ะ พวกเขาเอาม้าออกจากที่นั่น แสดงว่าองค์ชายต้องมีคำสั่งไปยังต่างเมือง ถ้าเดาไม่ผิดละก้อ ต้องเป็นเมืองเปียงยางแน่
"เปียงยางหรือ"
คิมคี จูกล่าวว่า "ถ้าไปเมืองเปียงยาง ก็ต้องติดต่อแม่ทัพ ลีซังพิล คนๆ นี้ไม่เพียงสนิทกับอดีตรัชทายาท แม้แต่องค์ชายลีซานก็ทรงคุ้นเคยดี"
"ถ้าให้แม่ทัพคนนี้ เคลื่อนพลเข้าสู่เมืองหลวงจริง ความหวังของเราก็จะพังทลายหมด"
"ไม่เห็นต้องพังเลย เราก็รีบไปยึดเมืองหลวงซะก่อน แค่ผ่านคืนนี้เท่านั้น ทหาร 5 กองพลก็เดินทางมาแล้ว" คิมคีจูว่า
ชอง โฮคยอมกล่าวว่า "ต่อให้มีทหาร 5 กองพล ก็ยากจะยึดเมืองหลวงได้ในทันที โดยเฉพาะถ้าจะเข้าวังด้วยแล้ว ข้างในมีทหาร 800 คนคงต้องสู้ตาย ถึงเรามีกำลังมากกว่า แต่การจะคุมสถานการณ์ก็ต้องใช้เวลา และถ้าทหารจาก พยองอัน มาในเวลานี้อีก" พระมเหสีจองซุนทรงหนักพระทัยมาก
ด้านฮงกุกยองก็วิ่งกระหืดกระหอบมารายงานองค์ชายลีซานว่าทหารที่เฝ้าประตูเมือง พากันหนีออกไปหมดแล้ว องค์ชายลีซานตกพระทัยมาก
"หึ เห็นว่าหัวหน้าพลธนูและพลทวนเป็นผู้นำ ขอถอนตัวจากงานนี้พ่ะยะค่ะ"
"หา อะไรกันนี่ เป็นไปได้ยังไง"
ฝ่ายคิมคีจูบอกพระมเหสีจองซุนถึงเรื่องทหารหนีออกไปก็ดีพระทัยมากรีบมารับ
"ขอบใจพวกเจ้ามาก เป็นการตัดสินใจที่ถูกแล้ว ถือว่าเห็นแก่บ้านเมืองมากกว่าคนๆ หนึ่ง ความดีความชอบของพวกเจ้า ข้าจะไม่มีวันลืม"
"ขอบพระทัยพ่ะยะค่ะ"
"เราจะพาทหารกลับเข้าวังเดี๋ยวนี้"
องค์หญิงวาวานค้านว่า "พระมเหสี รอถึงคืนนี้ ทหารจาก 5 กองพลก็มาถึงแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยไปพร้อมกันก็ยังไม่สายนะเพคะ"
" ดูจากทหารที่หนีออกมา บวกกับองครักษ์บางส่วน ตอนนี้ที่เหลือในวัง ก็แค่หน่วยคุ้มกันสิบกว่าคน และองครักษ์อีกไม่ถึง 300 คนเท่านั้น ทำไมต้องรอถึงคืนนี้อีก สั่งให้ทุกคนเตรียมตัว"
"พ่ะย่ะค่ะ พวกเจ้ายืนเฉยทำไม ไม่ได้ยินรับสั่งหรอกหรือ"
หัวหน้าองครักษ์รู้สึกผิดทูลองค์ชายลีซานว่า
" ทรงอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันด้อยการอบรมลูกน้อง จึงทำให้พวกเขาแปรพักตร์ เพราะทหารส่วนใหญ่หนีไป ทำให้คนที่เหลือ ยิ่งหมดกำลังใจที่จะทำงานต่ออีกพ่ะย่ะค่ะ"
"ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอก เพราะข้าไม่ดีมากกว่า" องค์ชายลีซานว่า
ฮงกุกยองกล่าวว่า "องค์ชาย เหตุการณ์ยังไม่ถึงทางตัน ลองหาวิธีอื่นดู เผื่อมีทางพลิกแพลงนะพ่ะย่ะค่ะ"
แช จีคยอมสงสัย "จะมีวิธีไหนอีก เดิมทีเราจะใช้กำลังแค่หยิบมือต้านทหารนับหมื่น ก็นับว่าฝืนเกินไปแล้ว ตอนนี้ยังหนีไปกว่าครึ่ง แล้วเราจะเอาอะไรไปกอบกู้สถานการณ์ได้อีก"
" ใต้เท้า ต่อให้เราเป็นฝ่ายเสียเปรียบทุกทาง ข้าก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอกนะ แม้เราจะมีกำลังเหลือแค่ 300 คน แต่การต่อสู้จะแพ้หรือชนะ ไม่ได้วัดที่จำนวนทหาร ถ้าเราวางแผนดี ใช้หนึ่งต้านร้อยก็ไม่มีปัญหา ข้าจะหาวิธีต่อสู้ให้ถึงที่สุด เพราะถ้ายอมแพ้ตอนนี้ก็เท่ากับยอมตาย เราต้องวิเคราะห์จุดประสงค์ของพวกเขาก่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆ ออกจากเมืองหลวงไปตั้งหลักใหม่ก็ทัน และรออีกซักพักทหารจากพยองอันก็มาช่วยแล้ว"
ฮงกุกยองเห็นด้วย "รับสั่งถูกแล้วพ่ะยะค่ะ เราจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ทหารของเรา จะรับมือศัตรู สู้จนกว่าชีวิตจะหาไม่"
หัวหน้าองครักษ์เห็นด้วย "ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ"
"ท่านนายกอง เราจะจัดระเบียบใหม่ โดยดูจากกำลังที่เหลือ ท่านช่วยไปเรียกประชุมเดี๋ยวนี้ ข้ามีเรื่องจะพูดกับเหล่าทหารหน่อย"
"พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะขอติดตามองค์ชาย แม้ตายก็ไม่ยอมแพ้ จะปกป้องวังหลวงให้ถึงที่สุดพ่ะย่ะค่ะ"
"ท่านนายกอง" องค์ชายลีซานซาบซึ้งใจ
แชจีคยอมกล่าวกับหัวหน้าองครักษ์ "ขอบคุณท่านมากนะ"
พระมเหสีจองซุนนำทหารบุกเข้ามา และสั่งให้คิมคีจูจับตัวองค์ชายลีซานให้ได้
จบ 41
ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน 42
พระ มเหสีจองซุนทรงดักอยู่หน้าห้องบรรทมพระเจ้ายองโจ เพื่อจับกุมตัวองค์ชายลีซาน เมื่อองค์ชายลีซานออกจากห้องบรรทมพระเจ้ายองโจแล้วก็มีคำสั่งให้พระมเหสีจอง ซุน คิมคีจูและบรรดาขุนนางใหญ่ทั้งหลายฟังราชโองการของพระเจ้ายองโจ
ไม่ นานนักพระเจ้ายองโจก็ทรงเสด็จออกมาจากห้องบรรทม พระเจ้ายองโจทรงทอดพระเนตรเห็นพระมเหสีจองซุนและบรรดาขุนนางใหญ่กำลังล่วง เกินพระราชนัดดา เมื่อพระเจ้ายองโจทรงทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงมีรับสั่งถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น คนเหล่านี้มาที่นี่ได้อย่างไร พระมเหสีจองซุนทรงเกิดความหวาดกลัวถึงกับคุกเข่ากับพื้นเมื่อเห็นพระเจ้ายอง โจทรงประทับอยู่ตรงหน้า
หัว หน้าองครักษ์ทูลพระเจ้ายองโจที่ตนบกพร่องต่อหน้าที่ ไม่สามารถยับยั้งพระมเหสีจองซุนไว้ได้ ความจริงแล้วหัวหน้าองครักษ์คิดจะกราบทูลพระเจ้ายองโจว่าการที่จองซุนและพวก มาที่นี่นั้นด้วยคิดก่อการกบฏ แต่นึกไม่ถึงว่าพระเจ้ายองโจทรงรู้ถึงเป้าหมายที่แท้จริงของพระมเหสีจองซุน และพวกมาก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่ต้องการให้พระมเหสีจองซุนและพวกเคลื่อนไหวเสียก่อน จากนั้นค่อยจับให้ได้คาหนังคาเขา
“หัวหน้าองครักษ์ตอบข้าหน่อยซิ ทำไมมีทหารแห่เข้ามามากมาย มันหมายความว่ายังไง”
“ฝ่าบาท”
“ภาพที่ข้าเห็นอยู่ตอนนี้ มันเกิดจากสาเหตุอะไรกัน แต่ละคนคิดเป็นปรปักษ์ต่อองค์ชาย จะแข็งข้อต่อเขาใช่ไหม”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันบกพร่องต่อหน้าที่การถวายอารักขา ทรงประหารหม่อมฉันด้วยเถอะ ฮือๆๆ”
“ทำไมถึงได้กล้านัก จับทุกคนไปขังให้หมด”
“พ่ะย่ะค่ะ ทหาร จับคนพวกนี้ไปขังซะ”
“องค์ หญิงวาวานให้กักบริเวณอยู่แต่ในตำหนัก นอกนั้นให้ไปอยู่เรือนจำ ไม่ว่าจะเป็นขุนนางระดับไหนก็ช่าง แล้วข้าจะเป็นคนตัดสินโทษกบฏด้วยตัวเอง”
“พ่ะย่ะค่ะ เอาตัวไปเร็ว” หัวหน้าองครักษ์น้อมรับคำสั่ง
องค์หญิงวาวานร้องเรียก “เสด็จพ่อเพคะ เสด็จพ่อๆ”
พระ เจ้ายองโจทรงรับสั่งให้ทหารองครักษ์จับกุมตัวทุกคนไปคุมขัง มีเพียงพระมเหสีจองซุนเท่านั้นที่ยังคงคุกเข่าอยู่ที่หน้าห้องบรรทมพระเจ้า ยองโจ พระเจ้ายองโจทรงมีรับสั่งให้ทหารองครักษ์นำพระมเหสีจองซุนกลับตำหนัก ที่สำคัญห้ามไม่ให้พระมเหสีจองซุนออกจากตำหนักจนกว่าจะมีพระบัญชาจากพระองค์
หลัง จากที่พระมเหสีจองซุนถูกนำตัวไปแล้ว ทันใดนั้นพระเจ้ายองโจก็ทรงวิงเวียนขึ้นมา เมื่อพระราชนัดดาเห็นเช่นนั้นก็ประคองพระเจ้ายองโจเสด็จกลับห้องบรรทม จากนั้นพระราชนัดดาก็สั่งหมอหลวงตรวจพระอาการพระเจ้ายองโจ
หลัง จากที่หมอหลวงตรวจพระอาการพระเจ้ายองโจแล้ว องค์ชายลีซานก็สอบถามพระอาการจากหมอหลวง หมอหลวงบอกว่าพระพลานามัยของพระเจ้ายองโจยังไม่สมบูรณ์แข็งแรง เมื่อองค์ชายลีซานได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกเสียใจยิ่งนัก
พระเจ้ายองโจทรงให้องค์ชายลีซานเฝ้า และบอกให้คนอื่นออกไปให้หมด
“หลายวันนี้ พวกเขาทำอะไรบ้าง ข้ารู้หมดแล้ว”
“ฝ่าบาท”
“แอบ อ้างคำสั่งข้า คัดค้านการสละบัลลังก์ แถมยังจะถอดถอนเจ้าอีก เท่านี้ยังไม่พอ ส่งทหารเข้าวังมาเพื่อหวังประทุษร้ายต่อเจ้า ทำไมถึงมีเรื่องเลวร้ายนัก พวกเขาทำได้ยังไง ข้าจะไม่มีวัน อภัยให้พวกเขาอย่างแน่นอน ใครก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้อง มันต้องถูกจับให้หมด และลงโทษในสถานหนัก เจ้าเองก็ต้องเตรียมตัว เพื่อไปให้ปากคำผูกมัดพวกเขา ถ้าพบว่าผิดจริง ข้าจะสั่งประหารโดยไม่มีการละเว้น”
“ฝ่า บาท หม่อมฉันขอบังอาจทูลว่า เรื่องนี้ให้หม่อมฉันจัดการได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ เพราะฝ่าบาทยังไม่ทรงหายดีนัก ตอนนี้สำคัญที่สุด คือรักษาพระวรกายให้แข็งแรง เพราะฉะนั้น คดีนี้ไม่ต้องทรงเป็นห่วง ให้หม่อมฉันจัดการเถอะ ฝ่าบาท”
“หึ เอาเถอะ แล้วแต่เจ้า เอางั้นก็ได้”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอโทษด้วยนะ ข้าเกือบไปโดยไม่ได้ทำตามคำสั่งเสียของพ่อเจ้าซะแล้ว”
“ฝ่าบาท”
“พ่อของเจ้าบอกให้ข้าฟื้นมา ตื่นมาเพื่อจะช่วยเจ้า เขาบังคับให้ข้าตื่นมาอีกครั้ง”
องค์ชายลีซานฟังแล้วถึงกับทรงอึ้งไป
เรื่อง ที่พระเจ้ายองโจทรงมีรับสั่งคุมขังผู้ก่อการกบฏได้แพร่สะพัดไปทั่ววังหลวง เมื่อพระชายาโยอึยและพระพันปีเฮคยองทรงรู้เรื่องนี้แล้วต่างก็ปิติยินดีต่อ องค์ชายลีซาน
พระมเหสีจองซุนถูกคุมขังอยู่ในห้องบรรทมโดยมีทหารองครักษ์ตรวจตราอย่างเข้มงวด ห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าออกเป็นอันขาด
องค์ หญิงวาวานถูกคุมขังอยู่ในห้องบรรทมเช่นเดียวกับพระมเหสีจองซุน นอกห้องบรรทมมีทหารองครักษ์ตรวจตราอย่างเข้มงวด ชองโฮคยอมและบรรดาขุนนางใหญ่ ถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวง
ฮงกุกยองเข้ามาทูลรายงานองค์ชายลีซานว่า
“ทหาร 5 กองพล ข้ามเขา “นัมแทนึง” มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ อีกประมาณ 3-4 ชั่วยามก็จะมาถึงเมืองหลวง”
“นี่ คือราชโองการของฝ่าบาท รีบส่งไปให้พวกเขา บอกให้ยุติการเดินทาง อีกอย่าง เพื่อป้องกันเหตุวุ่นวาย ให้ส่งทหารไปประจำอยู่นอกเมืองด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย”
และเมื่อพระเจ้ายองโจได้รับการรักษาสักพัก พอรู้สึกพระองค์ องค์ชายลีซานเข้าเฝ้าและถามว่า
“หา ฝ่าบาท หึ ฝ่าบาท ทรงฟื้นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ทรงจำหม่อมฉันได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ” พระเจ้ายองโจทรงนิ่งไป
องค์ชายลีซานตกพระทัย “หา เอ่อ ฝ่าบาท”
“หลานรัก” พระเจ้ายองโจตรัส
องค์ชายลีซานดีพระทัยมาก “หา ฮือ ฝ่าบาท ฮือ หึๆๆ”
ที่ศูนย์ศิลปะ ปาร์คยองมุนเรียกทุกคนมาประชุม และประกาศว่า
“อึ ม ทุกคนคงรู้ว่า ข้าเพิ่งกลับจากในวังมา ตั้งแต่วันนี้ทุกหน่วยงาน รวมถึงศูนย์ศิลปะของเรา ให้เริ่มทำงานเหมือนเดิม จะไม่มีการหยุดงานอีก”
ทุกคนดีใจ ใต้เท้าคังขัดว่า “แต่ว่าใต้เท้าครับ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ตอนนี้ชาวบ้านก็ยังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่”
ลีชองกล่าวต่อ “เห็นว่ามีขุนนางถูกจับเพียบ และจะเริ่มการไต่สวนเร็วๆ นี้”
“ใช่ เรื่องมาถึงขั้นนี้ จะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นคงไม่ได้ แต่นี่เป็นหน้าที่ของทางการ เราอย่าไปตกใจกับข่าวลือให้มากนัก ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีก็พอ เข้าใจหรือเปล่า”
“เข้าใจครับ”
องค์ชายลีซานทรงนั่งคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน จนตื่นจากภวังค์ด้วยเสียงเรียกของฮงกุกยอง
“แทบไม่รู้ว่าเมื่อคืนผ่านมาได้ยังไง มันช่างยาวนานนัก หรือท่านคิดยังไง ไม่รู้สึกเสียใจบ้างหรือ”
“เสียใจอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
“เมื่อ คืนตอนที่รอว่าไม่รู้เมื่อไหร่จะมีทหารบุกมา จู่ๆ ข้าก็นึกถึงท่าน เกิดความรู้สึกเสียดาย และร้อนใจแทนท่าน ข้ารู้ว่าท่านมีเป้าหมายในชีวิตยังไงบ้าง แต่เพราะมาอยู่กับข้า ทำให้ไม่ได้แสดงความสามารถซะที”
“ด้วย เหตุนี้ จึงถามหม่อมฉันว่าเมื่อคืนเป็นไง คงเครียดจนนอนไม่หลับ และนึกเสียใจใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ ถ้าจะให้ทูลตามตรง หลายวันนี้หม่อมฉันเครียดมาก เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่าไม่ใช่เพราะนึกเสียใจที่เลือกนายผิด แต่เป็นเพราะว่า ในใจรู้สึกตื้นตัน ที่ได้ตายอย่างสมศักดิ์ศรีแห่งความเป็นลูกผู้ชาย ขณะที่ กำลังเผชิญกับความตายนั้น หม่อมฉันเพิ่งเข้าใจว่าได้บรรลุเป้าหมาย ในการช่วยองค์ชาย และได้ทำงานเพื่อบ้านเมืองอย่างดีแล้ว อย่าว่าแต่เสียใจเลย หม่อมฉันมีแต่ความภูมิใจด้วยซ้ำ เพราะองค์ชาย ทรงเปิดโอกาส ให้หม่อมฉันได้ทำหน้าที่ เพื่อส่วนรวมอย่างดีแล้ว”
“ดูเหมือนว่าข้า ยังไม่เคยขอบคุณท่านอย่างจริงจังซักครั้ง ขอบคุณมาก ที่ข้าอดทนมาจนวันนี้ ก็เพราะกำลังใจจากท่าน”
“หึ องค์ชายๆ”
ฮงกุก ยอง แชจีคยองและองค์ชายลีซานปรึกษาหารือกันว่าจะลงโทษผู้ก่อการกบฏอย่างไรดี ฮงกุกยองบอกองค์ชายลีซานว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ เนื่องจากพรรคพวกกบฏที่เหลือของพระมเหสีจองซุนสามารถก่อการขึ้นอีกได้ทุก เมื่อ ด้วยเหตุนี้หนทางที่ดีที่สุดคือจะต้องกวาดล้างพรรคพวกกบฏที่เหลือให้สิ้นซาก
องค์ ชายเห็นด้วยกับความคิดของฮงกุกยอง ดังนั้นจึงมอบหมายให้ฮงกุกยองรับผิดชอบเรื่องนี้ ฮงกุกยองบสืบหารายชื่อพรรคพวกผู้ก่อการกบฏที่เหลือทันที และนำมาถวายองค์ชายลีซาน
“นี่คืออะไร” องค์ชายลีซานถาม
“ราย ชื่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีนี้พ่ะย่ะค่ะ นอกจากขุนนางที่ถูกกักอยู่ในเรือนจำแล้ว ยังมีบางส่วนที่สนับสนุนเบื้องหลัง หม่อมฉันก็จดมาด้วย ทรงคิดจะ ทำยังไงกับคนพวกนี้ดี เหตุการณ์คราวนี้ นอกจากพระมเหสีและองค์หญิงวาวานแล้ว ยังมีพระญาติขององค์ชายคือใต้เท้าฮงนิมฮัน รวมอยู่ด้วย หม่อมฉันจึงห่วงว่า องค์ชายจะทรงลังเล ไม่กล้าตัดสินพระทัยเฉียบขาด ในการลงโทษพวกเขา”
“ใช่ ถูกต้อง เหมือนที่ท่านพูด ข้าลังเลจริงๆ เทียบกับความดีใจที่จับพวกเขาได้ ข้ารู้สึกเจ็บปวดที่ต้องสั่งลงโทษมากกว่าด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ต้องห่วง ถึงจะลำบากใจแค่ไหน ข้าก็ไม่หนีหน้า เพราะนอกจากพวกเขาจะปองร้ายเสด็จพ่อข้าแล้ว ถ้ายังปล่อยให้ลอยนวลอีก ประวัติศาสตร์การเมืองของเราก็จะถูกบิดเบือน ข้าคงต้อง ทำหน้าที่ให้ดี เพื่อไม่ให้ทุกคนผิดหวัง”
“องค์ชาย”
อีกด้านหนึ่งนั้น ชองโฮคยอมเขียนจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมา จากนั้นก็มอบจดหมายฉบับนั้นให้ทหารนำไปมอบให้แชซกจู พร้อมบอกว่า
“ใต้เท้าชองบอกว่า ถ้าทำตามแผนของเขาก็จะมีทางออก ใต้เท้าความอยู่รอดของบ้านเมืองและชีวิตขุนนางทั้งหลาย อยู่ในกำมือท่านแล้วนะครับ”
หลังจากที่แชซกจูอ่านเนื้อความในจดหมายแล้วก็รีบรุดไปหาองค์ชายลีซานทันที
ที่ แท้เนื้อความในจดหมายระบุว่ามีขุนนางใหญ่จำนวนมากรู้ถึงพระอาการซึมเศร้าของ พระเจ้ายองโจแล้ว ถ้าหากว่าองค์ชายลีซานยังคงดึงดันที่จะประหารผู้ก่อการกบฏ พระอาการซึมเศร้าของพระเจ้ายองโจจะต้องแพร่สะพัดออกไปซึ่งจะส่งผลร้ายต่อพระ เจ้ายองโจอย่างแน่นอน
“นี่มันหมายความว่าไง ท่านบอกว่าเรื่องนี้ เอาผิดได้เฉพาะคิมคีจู รวมถึงหัวหน้าองครักษ์อีก 2 คนเท่านั้นน่ะหรือ”
“นอก จากพวกเขาแล้ว ยังมีเจ้ากรมโยธา เจ้ากรมราชทัณฑ์ ผู้ช่วยกรมปกครองก็ยอมรับผิดแต่โดยดี หม่อมฉันจึงอยากให้ลงโทษพวกเขา แล้วให้คดีจบเพียงเท่านี้เถอะพ่ะย่ะค่ะ”
“หึ ท่านคิดว่ามีเหตุผลหรือเปล่า พวกเขาส่งทหารมาล่วงล้ำตำหนักของข้า คนที่ใช้กำลัง บุกรุกวังหลวงโดยไม่มีการบอกกล่าว นั่นคือก่อกบฎชัดๆ ความผิดเห็นๆ ขนาดนี้ ยังให้ละเว้นผู้บงการอีกหรือ”
“รับ สั่งถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่พวกเขาทำ จะบอกว่าคิดกบฎก็ไม่ผิดซักนิด แต่ว่าถ้าจะทรงลงอาญาพวกเขาจริง พวกเขาก็จะยืนยัน ความชอบธรรมที่มีสิทธิ์ทำแบบนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ความชอบธรรมหรือ”
“เป็นที่รู้กันว่าฝ่าบาท เคยมีราชโองการจะถอดถอนองค์ชายจริงๆ เป็นเรื่องที่ทุกคนเป็นพยานได้”
“แล้วจะเอาเรื่องนี้มาอ้างหรือ นั่นเป็นการตัดสินพระทัยที่ผิด ท่านเองก็รู้นี่นา”
“ถูก แล้วพ่ะยะค่ะ หม่อมฉันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ว่าราชโองการฉบับนั้นเราจะอธิบายยังไง หลังจากฝ่าบาททรงมีราชโองการถอดถอนองค์ชายแล้ว รุ่งขึ้นอีกวัน ก็รับสั่งว่าจะสละราชสมบัติให้องค์ชาย มิกลายเป็นกลับไปกลับมาหรอกหรือ มันจะสื่อถึงว่าฝ่าบาท ทรงเป็นโรคความจำเสื่อมจริงๆ”
“ท่านเจ้ากรม”
“รู้ อยู่ว่าถ้าเปิดเผยจะยิ่งเป็นผลร้าย องค์ชายจึงทรงทำนิ่งเฉย เพราะอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ เพราะไม่อยากให้ฝ่าบาททรงมัวหมอง ถูกคนครหาไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ขั้นตอนต่อไปคือทุกคนไปลานไต่สวน เพื่อจะสอบปากคำ แล้วจากนั้นก็จะมีประกาศอย่างเป็นทางการออกมา อาลักษณ์จดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของราชสำนัก”
องค์ชายลีซานทรงนิ่งฟัง “หึ”
“นี่ คือสิ่งที่หม่อมฉันกำลังเป็นห่วงอยู่ ถ้าเราไม่ปกปิด เรื่องของฝ่าบาทก็จะกลายเป็นประเด็นให้ครหาไม่รู้จบ และที่หม่อมฉันมาทูล ไม่เฉพาะแค่เหตุนี้เท่านั้น ขุนนางที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ มีมากกว่าร้อยคนด้วยซ้ำ การที่หม่อมฉันเลือกอยู่ข้างองค์ชาย เหตุผลมีข้อเดียว คือไม่อยากเห็นราชสำนักเกิดการแตกแยก แต่ถ้าตอนนี้องค์ชาย คิดกวาดล้างขั้วอำนาจเก่าให้หมดสิ้นจริงๆ หม่อมฉันก็อาจต้อง ขัดขวางการทำงานขององค์ชายอย่างสุดความสามารถ องค์ชายเคยสัญญากับหม่อมฉันว่า เราจะไม่ให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย หม่อมฉันจึงขอบังอาจ ทูลองค์ชายให้ทรงรักษาสัจจะไว้บ้าง เรื่องนี้ทรงทำการเชือดไก่ให้ลิงดูก็พอแล้ว นี่คือทางเดียวที่จะรักษาพระเกียรติของฝ่าบาท และไม่ให้บ้านเมืองแตกแยกได้นะพ่ะย่ะค่ะ ขอทรงพิจารณาด้วยเถอะ”
เวลานั้นฮงกุกยองก็กล่าวกับแชจีคยอมว่า
“ข้อมูลที่เราได้ ช่วยให้ปิดคดียิ่งเร็วขึ้น พวกเขาได้ติดต่อองค์ชาย “อึนจอน” และพ่อตาของเขาคือใต้เท้าโชไว้หมด เพื่อเตรียมแต่งตั้งรัชทายาทใหม่”
“เป็นความจริงหรือนี่”
“จริงครับใต้เท้า”
“ช่างเป็นความคิดที่น่ากลัวจริงๆ รีบไปทูลองค์ชายให้ทรงทราบเร็วเข้า ฮึ่ม”
ทั้งสองเข้าเฝ้าองค์ชายลีซานให้ทอดพระเนตร
“รายชื่อที่เขียนมาทั้งหมด มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงหรือ” องค์ชายลีซานถาม
“จริงพ่ะยะค่ะ พวกเขาล้วนได้รับจดหมายจากพระมเหสี อาจจะเกี่ยวข้องไม่มากนัก แต่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“สั่งไปทางเรือนจำ ให้พาขุนนางทุกคนไปที่ท้องพระโรง วันนี้ ข้าจะประกาศโทษทัณฑ์ของพวกเขา”
และเมื่อทุกอย่างพร้อม องค์ชายลีซานเสด็จเข้าประชุม และประกาศว่า
“เมื่อ คืน ในวังของเรา ได้เกิดเหตุสะเทือนขวัญที่ไม่มีใครคาดคิด โดยท่านทั้งหลาย ไม่ให้เกียรติองค์ชายอย่างข้า สั่งเคลื่อนย้ายทหาร บุกเข้ามาในตำหนัก เพื่อหวังประทุษร้ายบางอย่าง มันเป็นความผิดที่ ไม่อาจให้อภัย และถือว่าอุกฉกรรจ์ ไม่ต่างกับคิดก่อกบฎ เพราะฉะนั้น ข้าจึงรับพระบัญชาจากฝ่าบาท ให้พิจารณาเรื่องนี้ และทำการตัดสินโทษ”
ฮงนิมฮันรีบร้องขอ “เอ่อ องค์ องค์ชาย ทรงอภัยให้เราด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ ทุกอย่างนี้ เป็นการเข้าใจผิด พวกเราเพียงแต่”
“หุบปาก ใครก็ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น หุบปากเงียบๆ และตั้งใจฟังข้า จำในสิ่งที่ข้าจะพูด เข้าใจหรือเปล่า”
“พ่ะย่ะค่ะ เข้าใจ ฮือๆๆ”
“คน ที่บังอาจเคลื่อนย้ายทหารโดยพละการ คืออดีตข้าหลวงคิมคีจู และหัวหน้าพลธนู โอเมียงโฮ หัวหน้าพลทวน ลีแจฮอน หัวหน้าครูฝึก ชางอิกพิล ให้รับโทษสถานหนัก ปลดจากตำแหน่งแล้วเนรเทศไปชายแดน ส่วนคนที่รู้เห็นอย่างเจ้ากรมโยธา ลีแทซก เจ้ากรมราชทัณฑ์ โอยินจิก ผู้ช่วยกรมปกครอง แบยองซู ก็ให้รับโทษในสถานเดียวกัน ส่วนคนอื่นนอกเหนือจากนี้ เพื่อไต่สวนว่าผิดจริงหรือไม่ จะมีการพิจารณาโทษใหม่”
พวกขุนนางพากันตะลึง “หา”
ฮงกุกยองค้าน “องค์ชาย นี่มันแปลว่าอะไรพ่ะย่ะค่ะ พิจารณาใหม่หรือ ความผิดก็เห็นอยู่แล้ว ทำไมถึงได้”
“ท่านอย่าเพิ่งพูด”
“องค์ชาย”
“ข้า บอกว่าไม่ต้องพูดไงล่ะ เรื่องนี้ ถือว่าให้จบเพียงเท่านี้ คนอื่นมีส่วนพัวพันมากน้อยแค่ไหน ข้าจะให้คนมาไต่สวนใหม่ และหัวหน้าชุดไต่สวนนี้ ก็ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ฮงกุกยองรับผิดชอบ เข้าใจแล้วก็กลับไปซะ”
หลังเลิกประชุม ฮงกุกยอง แชจีคยอมต่างไม่เข้าใจและถามองค์ชายลีซาน
“องค์ชาย ทำไมต้องไต่สวนอีก หลักฐานที่เรามี สามารถเอาผิดพวกเขาได้แล้ว แต่ว่า ทำไมมีรับสั่งให้ไต่สวนใหม่ล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
แช จีคยอมก็ไม่เข้าใจ “ท่านฮงพูดถูกแล้ว การตัดสินแบบนี้ หม่อมฉันก็รับไม่ได้ เท่ากับหาข้ออ้างละเว้นความผิดของพวกเขาชัดๆ เหมือนปล่อยเสือเข้าป่า พวกเขาก็จะหาทางรอดอีกนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าก็หวังให้เป็นอย่างงั้น” ทั้งสองพากันอึ้ง
“ใจจริงแล้ว ข้าจะให้ตัดตอนเพียงแค่นี้แหละ”
“เฮ่ย” แชจีคยอมถอนใจ
ฮงกุกยองอึ้ง “องค์ชาย”
“ที่ บอกให้ไต่สวนใหม่ มันก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น ไม่ต้องไปทำอะไรอีก ปล่อยให้เรื่องจบแค่นี้ก็พอ หวังว่าท่านคงเข้าใจ หาจังหวะดีๆ สรุปเรื่องนี้ให้จบๆ ไปซะ”
“นี่มัน หมายความว่าไงหรือพ่ะย่ะค่ะ ให้จบเพียงเท่านี้ได้ยังไง จะทรงปล่อยพวกเขาหรือพ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย ฮือ”
“ข้าเสียใจที่ทำให้ท่านผิดหวัง แต่ว่า มันเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้ หวังว่าคงเข้าใจ และทำตามที่ข้าสั่งซะดีๆ”
“ไม่ หม่อมฉันทำไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันไม่เข้าใจว่าทรงกลัวอะไรอีก ฮือ ทุกวันนี้องค์ชาย เป็นรัชทายาทแห่งโชซอน และอีกไม่นาน ก็จะเป็นพระราชาองค์ใหม่ แต่แล้ว เพราะอะไร โอกาสทองที่จะได้กำจัดพวกเขาแท้ๆ กลับปล่อยให้หลุดมือไป ฮือ ทรงให้หม่อมฉัน รับหน้าที่ไต่สวนพวกเขาใช่ไหม ฮือ ถ้าอย่างงั้น หม่อมฉัน หม่อมฉันจะลงโทษพวกเขาให้หนักที่สุด ฮือ ไล่ทุกคนออกไป ไปจากราชสำนัก ยิ่งคนไหนเป็นผู้บงการ หม่อมฉันจะให้ดื่มยาพิษ ไม่มีปรานีซักคน”
“ท่านฮง”
“ไม่ต้องรับสั่งอีกแล้ว หม่อมฉัน ไม่มีอะไรจะทูลองค์ชายอีก หม่อมฉันขอทูลลา ฮือ”
“เอ่อ เดี๋ยวก่อนท่านฮง ใจร้อนซะจริง” แชจีคยอมบ่น
“ปล่อยเขาไปเถอะ นี่ไม่ใช่ความผิดของเขา”
“แต่ว่าองค์ชาย”
00000000000000
ชองโฮคยอมได้รับการปล่อยตัวก็รีบกลับมาหาองค์หญิงวาวาน
“พระมารดา”
“หา นี่มันอะไรกัน ทำไมเจ้ายังกลับมาได้ล่ะ”
“มีคำสั่งให้ปล่อยตัวพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ”
“เมื่อกี้องค์ชายเพิ่งมีรับสั่ง ว่าความผิดของเรา จะให้ทำการไต่สวนใหม่อีกครั้ง”
“ทำไมอย่างงั้นล่ะ ไต่สวนใหม่หรือ”
“หม่อมฉันว่า นี่เป็นเพียงข้ออ้าง สรุปคือเนรเทศคิมคีจูและขุนนางบางคน นอกนั้นก็ถือว่าจบพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ เราถือว่าหมดห่วงได้แล้ว”
“หา ทำไมเป็นแบบนี้ได้ มีเหตุผลอะไร องค์ชายถึงให้จบง่ายขนาดนี้”
“สิ่งที่ทำ เพราะเห็นแก่ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ”
“จริง พ่ะย่ะค่ะ องค์ชายทรงกลัวว่า ถ้าเรื่องนี้บานปลาย ทุกคนจะรู้ว่าฝ่าบาททรงเป็นโรคความจำเสื่อม ฉะนั้น ต่อไปคงไม่มีการเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก”
ทางด้านพระมเหสีจองซุนทรงทราบก็เจ็บแค้นมากที่พี่ชายพระองค์โดนหนัก
พระพันปีเฮคยองทราบเรื่องก็ไม่พอใจมาก เสด็จมาพบองค์ชายลีซานทันที
“เจ้า มีเหตุผลอะไรถึงให้เรื่องจบลงแบบนี้ ในเมื่อเจ้าเองก็รู้ความผิดของพวกเขามากกว่าใคร แล้วทำไมถึงได้ปล่อยไปง่ายๆ เพราะเห็นแก่ฝ่าบาทใช่ไหม เป็นรับสั่งของฝ่าบาท ไม่ให้เอาเรื่องกับคนพวกนี้หรือไง”
“ไม่ใช่อย่างงั้นพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฝ่าบาทเลย”
“แล้วมันเพราะอะไรก็บอกแม่มา ถ้าไม่ใช่รับสั่งของฝ่าบาท แล้วเจ้าปล่อยพวกเขาทำไม อธิบายให้เข้าใจหน่อยซิ”
“เสด็จแม่”
“นอก จากทำให้พ่อเจ้าตายแล้ว ยังคิดปองร้ายเจ้าอีก ถึงขนาดใช้ทหารเข้ามา คนพวกนี้ให้ตายอีกร้อยครั้งพันครั้งก็ไม่สาสมกับความผิดที่ก่อไว้ ถ้าเรายังละเว้นพวกเขาอีก ก็ไม่ได้นอนตาหลับซะทีเพราะไม่รู้จะถูกแทงข้างหลังอีกเมื่อไหร่ อุตส่าห์จับได้หมดยังปล่อยไปง่ายๆ เจ้าจะให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยถึงพอใจหรือไง หา ฮือ ลูกซาน ฮือ”
องค์ชายลีซานเสด็จไปเข้าเฝ้าพระเจ้ายองโจตามรับสั่ง
“รับสั่งให้หาหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่ สีหน้าเจ้าไม่ค่อยดี ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
“ฝ่า บาท ทำไมทรงห่วงหม่อมฉันแทนล่ะพ่ะย่ะค่ะ หมอหลวงบอกว่า สิ่งสำคัญตอนนี้คือการพักฟื้นพระวรกาย สีหน้าของหม่อมฉัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
“เอาเถอะ แต่ว่า ข้ามีเรื่องจะถามเจ้าหน่อย”
“เชิญรับสั่งถามได้”
“คนที่คิดร้ายต่อเจ้า ล้วนมีความผิด เจ้าจะจัดการยังไง ทำไมไม่พูดล่ะ มีปัญหาอะไรหรือ”
“ไม่มีหรอกพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันทำตามรับสั่ง กำลังพิจารณาอยู่ว่า จะให้ใครรับโทษยังไงบ้าง”
“งั้น หรือ การตัดสินโทษแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ แต่ยังไงเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เราจะปล่อยปละละเลยไม่ได้ ต้องมีการพิจารณาบทลงโทษที่เหมาะสม เข้าใจหรือเปล่า”
“เข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”
“อีกอย่างที่จะบอกก็คือ ระหว่างที่ไต่สวนพวกเขา ถ้าจำเป็นจริงๆ ให้ประกาศออกไปเลยว่าข้าป่วยเป็นโรคอะไร ทำไมไม่ตอบล่ะ”
“ฝ่าบาท เรื่องนี้หม่อมฉันทำไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ เป็นไรหรอก พูดความจริงไปซะ มีแต่วิธีนี้ ถึงสามารถเอาผิดกับพวกเขาที่แอบอ้างราชโองการได้ เข้าใจความหมายของข้าใช่ไหม ถึงให้รู้ว่าข้าเป็นโรคความจำเสื่อม ก็ไม่เห็นจะน่าอายตรงไหน เทียบกับขณะที่โรคกำเริบ ออกคำสั่งผิดๆ ทำให้หลายฝ่ายเกิดความวุ่นวายแล้ว ข้ายังเสียใจจนแทบอยากตายด้วยซ้ำ”
“ฝ่าบาท ทำไมรับสั่งอย่างงั้นล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“อาซาน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้สึกเกรงใจที่ต้องมอบภาระอันหนักหน่วงนี้ให้เจ้า เพราะฉะนั้น ฉวยตอนที่ข้ายังมีสติอยู่ รีบกำจัดพวกเขาซะ จะได้หมดเสี้ยนหนามไป”
ฮงนิ มฮันขอร้องให้ฮงพงฮันกับพระพันปีเฮคยองช่วย แต่พระพันปีเฮคยองไม่ยอมช่วยแม้แต่น้อย ทำให้ฮงนิมฮันฮึดบอกว่าไม่ง้อก็ได้ เขาจะหาวิธีเอง
พระพันปีเฮคยอมเสด็จไปเข้าเฝ้าพระเจ้ายองโจ
“นั่งลงก่อน”
“พระอาการทรงดีขึ้นมั้ยเพคะ”
“ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ตาย บาปที่เคยก่อไว้เลยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ชดใช้”
“ฝ่าบาท ทำไมรับสั่งอย่างงั้นล่ะเพคะ”
“สิ่งที่ข้าทำกับเจ้าไว้ แม้ชาติหน้าก็จะไม่ลืมชดเชยให้ แต่ตอนนี้ ขอให้เจ้าอโหสิกรรม ให้แก่ข้าเถอะนะ”
“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉัน ได้รู้ว่าฝ่าบาททรงเข้าพระทัยอดีตรัชทายาทดีแล้ว แค่นี้ก็ไม่หวังอะไรอีก เพียงแต่”
“พูดต่อไปซิ”
“เพียง แต่ เรื่องที่เกิดตอนนี้ หม่อมฉันรู้สึกรับไม่ได้ จึงบากหน้ามาขอเข้าเฝ้าเพคะ ในวังเกิดเรื่องร้ายแรงขนาดนี้ ฝ่าบาทจะให้เงียบไปเฉยๆ งั้นหรือเพคะ”
“หมายความว่าไงน่ะ เงียบไปเฉยๆ หรือ ใครบอกว่าจะไม่ทำอะไรเลย”
“ฮือ ลูกซานน่ะเพคะ ตัดสินใจอภัยโทษให้พวกที่เคยปองร้ายต่อเขาทั้งหมด ไม่ทราบว่า นี่เป็นรับสั่งของฝ่าบาทหรือเปล่า”
“ที่เจ้าพูดนี่เป็นความจริงหรือ”
ฮงกุกยองเครียดมากเลยไปนั่งตกปลา เทซูเข้าไปตาม
“ท่านมาทำอะไรอยู่นี่น่ะ”
“ไม่มีตาดูหรือไง ข้ากำลังตกปลาอยู่”
“นี่มันเวลาไหนยังจะตกปลาอีก”
“ไม่งั้น จะให้ข้าทำอะไรอีกล่ะ ตอนนี้ข้าไม่มีอะไรจะทำแล้ว”
“ท่านก็กลับไป ทูลให้องค์ชายเข้าพระทัยก็ได้”
“เรื่องแบบนี้พูดไปก็เท่านั้น ถือซะว่า ข้ากับองค์ชายทำบุญมาเพียงเท่านี้ เจ้ากลับไปเถอะ”
เทซูขอร้อง “ใต้เท้า”
“สงสัยพวกปลาจะรู้ว่าข้าอารมณ์ไม่ดี เลยไม่ยอมมากินเบ็ดซักตัว ช่างเถอะ เปลี่ยนไปตกที่อื่นก็ได้ หึ”
แชจีคยอมเข้ามาและกล่าวว่า “ที่ต้องตกตอนนี้ไม่ใช่ปลา แต่เป็นพระทัยขององค์ชาย”
ฮงกุกยองอึ้ง “เอ่อ”
“เฮ่ย อย่าเสียเวลาอยู่แถวนี้อีกเลย ตามข้ากลับไปดีกว่า”
ฮงกุกยองพาแชจีคยอมไปที่บ้านของเขา
“บ้านข้าไม่ค่อยมีอะไร เชิญดื่มน้ำชา”
“ขอบใจมาก”
“สิ่งที่ข้าจะต้อนรับท่านได้ ก็มีแต่น้ำชา เพราะฉะนั้น เมื่อดื่มจนพอแล้ว ก็เชิญท่านกลับไปซะ”
“ความรู้สึกเจ้าตอนนี้ ข้าเข้าใจดี เจ้าอายุยังน้อย ย่อมไม่อาจเข้าใจความคิดขององค์ชาย”
“หมายความว่า ท่านเข้าใจสิ่งที่องค์ชายทรงตัดสินพระทัยงั้นหรือครับ”
“ใช่”
“เพราะอะไรหรือครับ ทำไมถึงได้ทรงเลือกวิธีนี้ หรือต้องรอให้ข้าแก่ตัว ถึงจะเข้าใจองค์ชายได้”
“อย่า เพิ่งใจร้อน ฟังข้าอธิบายก่อน สาเหตุที่องค์ชาย ทรงอภัยให้พวกเขา เพราะอะไรรู้มั้ย ไม่ได้เป็นเพราะ เหตุผลทางการเมืองอย่างที่คิด แต่เป็นเพราะ ความกตัญญู ที่มีต่อฝ่าบาทเท่านั้น”
“ความกตัญญูหรือ”
“เพราะ ไม่อยากให้โรคที่ฝ่าบาททรงเป็นอยู่ ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ คำพูดของข้า เจ้าพอจะรู้ความหมายหรือยัง หึๆ พูดก็พูด ข้ารู้สึกภูมิใจที่ได้รับใช้องค์ชายด้วยซ้ำ ที่ข้านับถือพระองค์ไม่ใช่เพราะฐานะสูงส่ง แต่เป็นความกตัญญูต่างหาก”
พระเจ้ายองโจทรงนั่งคิดถึงคำพูดของพระพันปีเฮคยองที่ว่า
“คราว ก่อนที่เกิดเหตุวางระเบิด ฝ่าบาทก็ทรงทราบ ว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลัง นั่นคือพระมเหสีและไต้เท้าคิมคีจู แต่ก็ทรงอภัยให้ แทนที่พวกเขาจะรู้สำนึก กลับคิดปองร้ายลูกซานอีก ถึงขนาดใช้ทหาร แล้วอย่างงี้ จะทรงละเว้นพวกเขาได้หรือเพคะ”
พระเจ้ายองโจทรงให้คนไปตามองค์ชายลีซานมาเฝ้าด่วน
“ทำไมเจ้าถึงทำอย่างงั้น”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ทราบว่าหมายถึง”
“ข้าถามว่าทำไมยกโทษให้พวกเขา”
“ฝ่าบาท ทำไมถึงได้ทรง”
“เพื่อปิดบังอาการป่วยของข้าใช่ไหม นี่คือเหตุผลที่อภัยให้พวกเขางั้นหรือ”
“ฝ่าบาท”
“แสดง ว่า เจ้ายังไม่เข้าใจว่าทำไมข้าจะตายอยู่แล้ว ยังกัดฟันลุกขึ้นมาอีก ทำไมข้าต้องหมั่นกินยาเพื่อจะต่อชีวิตให้ยาวนานออกไป นั่นเป็นเพราะ ข้าต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อเจ้า ไม่งั้นยังไงก็ตายตาไม่หลับ”
“ฝ่าบาท”
“แต่ว่า เจ้ากลับเห็นแก่โรคภัยของข้า ปิดบังความชั่วร้ายที่คนอื่นทำกับเจ้า ถ้าเจ้าใจอ่อนอย่างงั้นจริง ข้าจะช่วยเจ้าทำเอง”
“ฝ่าบาท”
พระมเหสีจองซุนดีพระทัยมากที่พระเจ้ายองโจทรงเรียกไปเฝ้า
“ฝ่าบาท รับสั่งให้หาหรือเพคะ”
“นั่งลง ข้ากำลังจะมีคำสั่ง เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของเจ้าในวันข้างหน้า จึงคิดว่า เจ้าน่าจะมีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้ด้วย”
“เอ่อ ฝ่าบาท ชีวิตของหม่อมฉันทำไมหรือเพคะ”
“สิ่งที่ข้าจะพูดต่อไปนี้ จงเขียนไว้ทุกคำ”
ราชเลขาน้อมรับ “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ข้า ขอประกาศ ณ. วันที่ 13 เดือน 2 ปี “พยองซิน” ให้นาง “คิมซี” ออกจากตำแหน่งมเหสีแห่งโชซอน เป็นสามัญชนนับแต่วันนี้”
พระมเหสีจองซุนตกใจมาก ราชเลขาก็อึ้ง
“นั่งเฉยทำไม ไม่รีบเขียนตามที่ข้าสั่งอีก”
“ฮือ หึ เอ่อ ฝ่าบาทเพคะ ฝ่าบาท”
“ตำแหน่งมเหสีนั้น ต้องเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยเมตตาเคียงข้างพระราชาและห่วงใยราษฎร แต่ ว่า มเหสีองค์นี้ นอกจากไม่มีความดีความชอบแล้ว ยังทำเกินหน้าที่ จึงเป็นสาเหตุให้นาง ไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ในวังได้อีก นับแต่วันนี้ให้นางย้ายที่พัก ไปอยู่ตำหนักท้ายวัง และผู้ประการราชโองการฉบับนี้ ให้เป็นหน้าที่องค์ชายลีซาน”
พระมเหสีจองซุนร้องไห้ “หา ฮือ”
“นี่คือสาเหตุที่ข้าเรียกให้เจ้ามาพบวันนี้ เมื่อเป็นเรื่องของเจ้าก็ควรมีสิทธิ์รับรู้ไว้”
“เอ่อ ฝ่าบาท”
“ที่ข้าจะพูดก็มีเพียงเท่านี้ หมดเรื่องแล้ว เจ้าออกไปซะ”
“ไม่ได้นะเพคะ อย่าทรงทำแบบนี้ ฮือ อย่าทรงทำกับหม่อมฉันแบบนี้ ทรงเมตตาหม่อมฉันด้วยเถอะ”
“เด็กๆ เอาตัวพระมเหสีออกไป”
“หา ฮือ ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉัน หม่อมฉันจะอธิบายเรื่องที่เกิด หม่อมฉัน สามารถอธิบายได้ ว่าเรื่องเป็นมายังไงนะเพคะ ฮือ”
“อธิบายอะไร เพ้อเจ้อนัก จะบอกว่าที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อข้า บอกว่าสิ่งที่เจ้าทำเพราะเห็นแก่บ้านเมือง อย่างงั้นใช่หรือเปล่า”
“ฮือๆๆ ฝ่าบาท”
“ข้าเสียใจนัก เสียใจที่เมื่อก่อนเห็นใจเจ้า รู้ว่าทำผิดก็ยังให้อภัย ข้าน่าจะปลดเจ้าตั้งแต่ตอนนั้นซะมากกว่า”
“ฮือ ฝ่าบาทเพคะ ฝ่าบาท ฮือ”
“ยืนเฉยทำไม ไม่รีบเอาตัวพระมเหสีออกไปอีก”
“พ่ะยะค่ะฝ่าบาท เอ่อ เร็วเข้า”
“ฮือ ได้โปรดเถอะเพคะ ฝ่าบาท อภัยให้หม่อมฉันซักครั้ง ได้โปรด หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วจริงๆ ฝ่าบาทเพคะ ฝ่าบาทๆ ได้โปรดเถอะ ทรงอภัยให้หม่อมฉันด้วย หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว ฝ่าบาทเพคะ ฮือๆๆ ฝ่าบาทๆๆ ได้โปรดเถอะเพคะ อภัยให้หม่อมฉันด้วย ฝ่าบาท ปล่อยข้านะ ข้าจะพูดกับฝ่าบาท ได้ยินมั้ย ฝ่าบาท ฮือๆๆ”
จบ 42
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ และก็ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านค่ะ
เครดิต : www.oknation.net/blog/lakorn
Readlakorn เว็บเรื่องย่อละครรายตอนตามบทโทรทัศน์ช่อง3,5,7,นิยาย ไทยรัฐ, ละครเกาหลี,ละครไต้หวัน (Series), ลิ้งค์(Links) ดูละคร Youtube
เรื่องย่อละคร ลีซานจอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน สุสานภูเตศวร สาปภูษา มนต์รักข้าวต้มมัด เมียหลวง เพลงรักข้ามภพ สายสืบดิลิเวอรี่ เทพบุตรนักบาส ปอบผีฟ้า ตะวันชิงดวง
Readlakorn
Thursday, March 19, 2009
Related Posts
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
13 comments:
สมน้ำหน้าอีพระมเหสี 55
มะสะใจเยย น่าประกาศต่อหน้าประชาชน คิคิ
ใช่สะใจมาก เลย อย่างน้อยก็ยังมีความยุติธรรมอยู่บ้าง
ขอบคุณมากเลยครับ
สนุกมากค่ะ
กำลังเข้มข้น...
ขอขอบพระคุณมากๆ ค่ะ
ทำไมไม่ประหารเนี่ย
สะจายกว่า อิอิ
น่าจะจับมเหสีแขวนคอใต้ต้นถั่วงอกซะ เลวมาก 555+
แล้วองค์หญิงฮวาวานจะโดนอะไรมั่งรึป่าวเนี่ย..
อยากรู้มากมาย
เกลียดขี้หน้ามานานละ จบกันซะที พระมเหสีจองซุน ไปตายซะไป๊
ขอบพระคุณเจ้าของบล็็อคมากๆ ค่ะ
ขอบคุณที่นำมาให้อ่านมากเลยค่ะ
ขอบคุณมากๆค่ะ สนุกมากเลยค่ะ
สนุกมากๆๆค๊า ได้ความรู้ดี ทำให้เข้าใจและรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของขุนนางทั้งหลาย คงเหมือนพวกนักการเมืองบ้านเราแน่ๆเลย อิอิ
ถ้าให้ประหารพระมเหสี คงจะไม่สะใจเท่าไหร่ น่าจะทรมาน เอาไม้งัดขา ให้มันร้องอย่างทรมาน แล้วหลังจากนั้น ก็โดนประทานยาพิษ เหมือนอย่างที่พระมเหสีโซวา แต่น่าสงสารโซวาอ่ะ เมื่อไหร่เจ้าของบล๊อกจะมา Up ต่อ ครับ รออยู่นะ
Post a Comment