คิมชูซอน 59
คิมชูซอนมาพบโชชิคยอม เขาบอกว่า
"กรมมหาดเล็กของเรา
อยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานอีกแล้ว ถ้าไม่สามารถยับยั้งความเผด็จการของฝ่าบาทได้
พวกเรามหาดเล็ก ก็จะกลายเป็นแพะรับบาปของราชสำนักไปโดยปริยาย
และอนาคตก็จะถูกประณามว่ามีส่วนทำให้บ้านเมืองล่มจม ท่านเจ้ากรม
ในฐานะผู้นำมหาดเล็ก คิดว่าอยากเป็นขุนนางที่สิ้นชาติ อัปยศชั่วลูกชั่วหลาน
หรือจะเป็นวีรบุรุษกู้ชาติ ผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ ทั้งสองอย่างนี้
ถึงเวลาต้องให้เลือกแล้ว"
"ใต้เท้าโช
ท่านกำลังพูดเรื่องเปลี่ยนแผ่นดินใหม่งั้นหรือ"
"ถ้าฝ่าบาททรงถือเอาเรื่องมเหสีโซฮวาเป็นเหตุ
จนทำให้ราชสำนักเกิดการนองเลือดละก้อ พวกเรามหาดเล็ก ก็ควรตัดสินใจบางอย่าง
ในช่วงสำคัญนี้เหมือนกัน"
"เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ตราบใดที่ข้ายังเป็นเจ้ากรมมหาดเล็กอยู่ พวกเรา
จะไม่มีวันทำการใดๆ ซึ่งส่อเจตนาทรยศต่อฝ่าบาทอย่างแน่นอน
ทีหลังถ้าเอาเรื่องเหลวไหลนี่มาพูดอีก ถึงท่านจะเป็นมหาดเล็กอาวุโส
ข้าก็จะไม่เกรงใจ"
"สมัยก่อนพ่อเจ้าติดตามองค์ชายโนซาน ช่วยพระองค์วางแผนก่อกบฎ
จากนั้น ก็มาชักชวนข้า และตอนนั้นข้าก็คิดเหมือนเจ้า แต่แล้ว พอมาวันนี้
ในสายตาเจ้ากลับมองว่า ข้าเป็นคนถ่อยที่หักหลังเพื่อน ถ้าฝ่าบาทยังทรงเผด็จการ
ไม่ฟังคำเตือนของขุนนาง สุดท้ายพระองค์จะถูกโดดเดี่ยว
นอกจากรักษาบัลลังก์ไม่ได้แล้ว ยังอาจเจริญรอยตามมเหสีโซฮวาก็เป็นได้
นี่คือสิ่งที่ข้าเป็นห่วง จึงได้มาเตือนเจ้า"
"แต่ข้าเชื่อว่าพระราชาองค์นี้ไม่มีทางถูกโค่นอำนาจอย่างแน่นอน หรือถ้าหากว่า
จะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงยิ่งกว่าฟ้าเปลี่ยนสีเหมือนที่ท่านคาดการณ์ กรมมหาดเล็ก
ก็จะอยู่เคียงข้างพระองค์ แม้ตายก็ไม่มีวันถอยหนี คำพูดของท่านในวันนี้
ข้าจะถือว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน"
"ระวังเด็กคนหนึ่ง ที่ชื่อคิมจาวอน มดปลวกเล็กๆ
ยังสามารถกัดแทะจนกำแพงล้ม อย่าลืมคำพูดนี้ซะล่ะ โดยเฉพาะ คนที่จะทำให้ฝ่าบาท
ทรงเห็นผิดเป็นชอบ เราต้องกำจัดมันซะ"
"เรื่องเกี่ยวกับจาวอน
เป็นหน้าที่ข้าจัดการเองได้ ใต้เท้าไม่จำเป็นก็จงอย่ายุ่งดีกว่า"
พระอัยยิกายินซูเสด็จมาหาพระเจ้ายอนซัน
"พระอัยยิกา
พระอนามัยยังไม่ทรงหายดีนัก ทำไมยังมาพบหม่อมฉันที่ตำหนักใหญ่ล่ะพ่ะย่ะค่ะ"
"ฝ่าบาท เจ้าสืบต่อบัลลังก์จากเสด็จพ่อแท้ๆ
ทำไมไม่รู้จักเจริญรอยตามในแง่ความดีงามและถือเหตุผลบ้างล่ะ
ขุนนางแต่ละคนล้วนเป็นผู้ใหญ่และมีความรู้ ใช้กำลังเฆี่ยนตี มันจะเหมาะแล้วเรอะ"
"ใครก็ตาม ที่กล้ามาท้าทายอำนาจของหม่อมฉัน ต่อให้เป็นขุนนางที่มีความดีความชอบ
หม่อมฉันก็จะไม่มีการละเว้นเป็นอันขาด"
"ว่าไงนะ ฝ่าบาท
นี่แปลว่าเจ้าจะเป็นทรราชย์หรือไง รีบปล่อยตัวขุนนางสามกรมใหญ่ซะ
แล้วไปปลอบขวัญพวกเขาดีๆ"
"หม่อมฉัน ต้องการสร้างอำนาจให้มั่นคง
เพื่อให้บ้านเมืองและราชสำนักเป็นปึกแผ่นมากขึ้น หม่อมฉันเชื่อว่าเสด็จพ่อ
คงไม่อยากให้หม่อมฉันเป็นพระราชาที่อ่อนแอ
อยู่ใต้อำนาจเหล่าขุนนางเหมือนที่พระองค์เคยเป็นมา"
"ฝ่าบาท
ข้ามาพูดถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังจะขัดคำสั่งใช่ไหม"
"พระอัยยิกา ตอนนี้หม่อมฉัน
ไม่ใช่เด็กที่ต้องอาศัยผู้สำเร็จราชการมาสั่งสอนอีก หม่อมฉันมีนโยบายของตัวเอง
ถ้าไงเชิญพระอัยยิกากลับไปซะ ถนอมพระวรกายให้แข็งแรงดีกว่า ฮงซังกุง
ยืนเฉยทำอะไรน่ะ ไม่รีบพาพระอัยยิกากลับไปพักผ่อนอีก"
"ถ้าเจ้ายังไม่สำนึกในความผิดที่ก่อไว้ วันนี้ข้า
จะไม่ออกจากตำหนักใหญ่แม้แต่ก้าวเดียว"
"ถ้าอย่างงั้น หม่อมฉันจะขอออกไปเอง"
ตรัสเสร็จก็เสด็จออกไปทันที
"อะไรนะ ฝ่าบาทๆ บ้าจริง ทำไมถึงได้ เฮ่ย
น่าโมโหนัก เฮ่อ" พระอัยยิกายินซูทรงแค้นพระทัยยิ่งนัก
พระอัยยิกายินซูทรงตรัสกับพระพันปีซุกยอนว่า
"ถ้าเราทำเฉยไม่สนใจฝ่าบาท
อีกไม่นานบ้านเมืองต้องวิกฤติแน่ เห็นทีต้องหาช่องทางบางอย่างซะแล้ว"
"ถ้าเรื่องมเหสีโซฮวาจบไป ฝ่าบาทคงไม่เอามาเป็นประเด็น
ขัดแย้งกับเหล่าขุนนางอีกกระมังเพคะ"
"ไม่หรอก ไม่ใช่อย่างงั้นแน่
ฝ่าบาทจะไม่รามือง่ายๆ ตราบใดที่เรื่องยังคาราคาซังอยู่ ข้ารู้นิสัยเขาดี
ทั้งนิสัยและการกระทำเหมือนแม่แท้ๆ ของเขาไม่มีผิด เชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ"
คิมชูซอนเรียกคิมจาวอนมาพบและกล่าวกับเขาว่า
"จาวอน เจ้าเข้าวังมาแต่เล็ก
เป็นเพื่อนเล่นกับฝ่าบาทจนเติบใหญ่ เชื่อว่าคงรู้พระทัยฝ่าบาทยิ่งกว่าใครแน่
ด้วยเหตุนี้ เจ้าจึงต้องหมั่นคอยตักเตือน ชี้นำฝ่าบาทไปสู่ทางที่ถูกต้อง
เข้าใจที่พูดใช่ไหม"
"เรื่องนี้ข้าทราบ และเตือนตัวเองอยู่บ่อยๆ"
"สมัยก่อน
เจ้ามาเป็นมหาดเล็กได้ยังไง"
"คงไม่มีใครอยากเป็นด้วยความเต็มใจหรอกครับ
ตอนเด็ก ข้าถูกขายให้กับเรือนฝ่ายใน ไม่มีทางเลือกเลยต้องเป็นมหาดเล็ก"
"เฮ่อ
แล้วเจ้าโกรธพ่อแม่หรือเปล่า ถ้าโกรธก็จงปล่อยวางและให้อภัยเถอะ
ยังไงก็เป็นผู้ให้กำเนิดที่มีพระคุณต่อเรา"
"พ่อแม่ที่เห็นแก่เงินจนยอมขายลูก
คงไม่มีความจำเป็นต้องไปแสดงความกตัญญู ซักวันหนึ่ง ถ้าข้ามีโอกาสได้ดี
จะส่งคนไปตามหาทั่วโชซอน ว่าพ่อแม่ที่ทิ้งข้า ตอนนี้อยู่ไหนแล้ว
เพื่อให้พวกเขาได้เห็นว่า ลูกที่พวกเขาไม่ต้องการนั้น ทุกวันนี้ ได้ดิบได้ดีขนาดไหน
ให้พวกเขาเสียใจให้ได้"
คิมชูซอนฟังแล้วอึ้ง
พอดีเด็กเข้ามาบอกว่าพระเจ้ายอนซันทรงเรียกหาคิมจาวอน
คิมชูซอนมองคิมจาวอนเดินออกไปแล้วถอนใจ
"เฮ่อ ไม่นึกว่าในใจของเขา
จะมีอดีตที่น่าเศร้าและฝังใจถึงเพียงนี้ กงซิน
ยังไงเจ้ากับเขาก็เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน มีโอกาสก็ช่วยดูแลเขาหน่อยนะ"
"แต่ข้ากับเขา แนวคิดไม่ตรงกันนะครับ"
"ต่อให้ความเห็นแตกต่างก็เถอะ
เมื่อเป็นมหาดเล็กก็ถือว่าหัวอกเดียวกัน ในฐานะเป็นเพื่อน
ก็ควรเห็นแก่มิตรภาพมาก่อน"
"ทราบแล้วครับใต้เท้า"
ยางซองยุนร้องเพลงสบายใจ
คิมชูซอนเข้ามาถามว่า
"บาดแผลหายดีแล้วหรือครับ"
"เฮ่ย ก็ถือว่าดี
แต่บางครั้ง ยังมีอาการเจ็บแปล๊บๆ อยู่"
"ข้าก็รู้อยู่แล้ว
วันนี้เลยเอายาดีมาฝาก เผื่อจะได้หายเร็วๆ น่ะครับ"
"หา ว้าว เฮ่อๆ นึกว่าอะไร
ถึงบอกว่าคนที่รู้ใจข้า โลกนี้คงมีแต่เจ้าคนเดียว เฮ่อๆๆ เฮ่ย ฮ่า
ค่อยเรียกกำลังได้หน่อย หึๆๆ ทุกวันนี้ฝ่าบาท ทรงอยู่แต่ในงานเลี้ยง
พลอยให้มหาดเล็กเมาหยำเปไปด้วย แบบนี้จะเรียกว่าจงรักภักดีได้หรือเปล่า เฮ่อๆๆ"
คิมชูซอนไม่พูดอะไร "หึ"
"มาๆ หึ เฮ่อ ได้ยินว่าฝ่าบาท
ถึงขนาดทรงลงมือทำร้ายขุนนางด้วยพระองค์เอง ไม่อยากคิดเลยว่า
อนาคตจะเกิดอะไรขึ้นอีก หึ สมัยก่อนทรงเป็นเด็กน่ารัก ว่านอนสอนง่าย
ทำไมโตขึ้นถึงกลายเป็นแบบนี้ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ หึๆ"
"บางคนบอกว่ามนุษย์มีธาตุแท้บางอย่างที่เปลี่ยนไม่ได้
สมัยก่อนฝ่าบาททรงเป็นเด็กดี มีน้ำพระทัยต่อคนรอบข้าง
ขนาดเหยียบมดซักตัวยังทรงสงสาร เมตตากระทั่งสัตว์ตัวน้อยๆ"
"ก็ถึงว่าน่ะซี้"
"อาจเพราะเรื่องของเสด็จแม่ ทำให้พระองค์ทรงขาดสติชั่วคราว โบราณว่าหลังฝนตก
ดินจะแข็งขึ้น ถ้าฝ่าบาททรงผ่านอุปสรรคคราวนี้ไปได้ ไม่แน่อาจเป็นพระราชา
ที่ทรงคุณงามความดี"
000000000000000
พระเจ้ายอนซันทรงเมาเหล้า
พลางรับสั่งกับพระชายาว่า
"ชุงจอน คืนนี้ข้าจะขอ นอนที่ตำหนักนี้ได้ไหม"
"เอ่อ หึ งั้นหม่อมฉันจะให้คนจัดที่บรรทมให้"
"เจ้าไม่ชอบให้ข้ามาที่นี่ใช่ไหม"
พระชายาทรงตกพระทัย "เอ่อ หา"
"ตอนนี้แม้แต่เจ้า ก็กลัวข้าด้วยหรือ"
"หึ รับสั่งอะไรอย่างงั้นเพคะ
หม่อมฉันเป็นมเหสี จะกลัวฝ่าบาทได้ยังไง"
"แต่ข้ารู้สึกกลัวตัวเอง
ต่อให้มอมเหล้าตัวเอง ล้างแล้วล้างอีก ก็ไม่อาจบรรเทากลิ่นคาวเลือดที่ติดมือได้
ข้าชักไม่แน่ใจ ว่าต่อไป จะทนกับกลิ่นคาวเลือดได้นานแค่ไหน"
ด้านโชชิคยอมสั่งกับกึมพยอให้ไปรวบรวมลูกน้องที่สมัยก่อนลาออกพร้อมกับเขา
ให้กลับมารวมตัวใหม่อีกครั้ง และสั่งให้แอบทำการลับๆ
อย่าให้ใครสงสัยพฤติกรรมของเราได้
พระเจ้ายอนซันทรงประกาศว่า "ข้ากำลัง
ตรวจสอบขุนนางผู้ใหญ่บางคน ที่เริ่มหยุดนิ่ง ไม่สนใจการทำงาน วันๆ
ขอแค่รับเงินหลวงไปเสพสุขก็พอ โดยไม่คิดทำอะไรตอบแทนบ้าง แล้วจะคัดออกให้หมด
หลังจากนั้น จะมีการโยกย้ายคนใหม่ ให้เข้ามาทำงานแทนที่ โดยเฉพาะขุนนางฝ่ายทหารนั้น
นับแต่นี้จะไม่เป็นรองฝ่ายพลเรือนอีก ที่สำคัญ แม้ใครเป็นลูกอนุฯ
ก็มีสิทธิ์รับราชการ หรือให้ชนชั้นไพร่มาทำงานรับใช้ทั่วไป ถ้าใครมีคนดีๆ
ก็พามาสอบได้"
เหล่าขุนนางต่างออกมาวิพากวิจารณ์กันถึงเรื่องนี้ว่า
"เฮ่ย
ขุนนางไม้ใกล้ฝั่งอย่างเรา ไม่มีประโยชน์ต่อบ้านเมืองอีกแล้ว
ไม่นานคงจะถูกไล่ออกแน่"
"การที่ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาแบบนี้
เพื่อกระตุ้นให้เราตั้งใจทำงานมากขึ้นต่างหาก"
"ท่านเป็นพ่อตาของฝ่าบาท
คงไม่ต้องห่วงอะไรอยู่แล้ว"
"ฝ่าบาททรงยกเลิกการแบ่งแยกขุนนาง
พร้อมทั้งให้ลูกอนุฯ มีสิทธิ์รับราชการ ก็เป็นเรื่องดีนะครับ"
"แต่ว่า
ถ้าปรับโครงสร้างใหม่แล้วพวกเราถูกปลด ถึงเป็นเรื่องดีก็ไม่ดีกับเราหรอก"
ซังกุงเข้ามาบอกเหล่าขุนนางว่าพระอัยยิกายินซูทรงมีรับสั่งเชิญทุกท่านไปเฝ้า
"ใต้เท้าทุกท่าน ไม่น่าเชื่อว่ากลัวฝ่าบาทถึงเพียงนี้เชียวหรือ"
"เอ่อ
พระอัยยิกา หม่อมฉันไม่เข้าใจที่รับสั่ง"
"ฝ่าบาทใช้อำนาจเกินขอบเขตตั้งนานแล้ว
แค่เล่นงานสามกรมใหญ่ไม่เลิกรา พวกท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่แท้ๆ
ทำไมไม่มีการทูลยับยั้ง มีแต่เออออห่อหมก ไม่ใช่เพราะความกลัวหรอกหรือ"
"เอ่อ
แต่ว่า เท่าที่ดูการบริหารของฝ่าบาท ไม่ได้ใช้อำนาจในทางที่มิชอบ"
ขุนนางท่านตอบอย่างเกรงกลัว
"เขาเอาเรื่องมเหสีโซฮวามาบังหน้า
ขุดศพขุนนางที่ตายแล้วมาลงโทษใหม่ จับบัณฑิตไปขัง
เท่ากับปฏิเสธการบริหารของอดีตพระราชาโดยสิ้นเชิง
ขนาดนี้ยังว่าไม่เกินขอบเขตของอำนาจอีกหรือ พวกท่านทำงานกันแบบนี้
ยังกล้าบอกว่าเป็นขุนนางที่จงรักภักดีได้ยังไง ข้ารู้สึกผิดหวังต่อพวกท่านจริงๆ"
พอออกมา ขุนนางท่านหนึ่งกล่าวว่า
"เฮ่อๆๆ
หลังจากฟังรับสั่งของพระอัยยิกาแล้ว ข้ารู้สึกตาสว่างยังไงก็ไม่รู้"
"ข้าก็ว่าพวกเรา ห่วงแต่เอาตัวรอดมากไป"
"ที่เราได้เป็นเสนาบดีก็เพราะอดีตพระราชา ถึงเวลาน่าจะตอบแทนบ้าง"
ด้านพงชอนก็พูดคุยกับคิมจาวอนอย่างบ่นๆ ว่า
"หัวหน้ากรมมโหรสพหรือ
ถึงข้าจะเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ว่างงาน ก็ไม่ควรให้ทำงานเป็นคนติดต่อหญิงนางโลม
อยู่กับเหล้ายาปลาปิ้ง หาสาระไม่ได้ เสียทีข้าเชื่อฟังเจ้ามาตลอด
แค่นี้ก็ไม่ยอมช่วย น่าผิดหวังจริงๆ"
"ใต้เท้าอย่าเพิ่งผิดหวังสิครับ
ถ้าเป็นอย่างสมัยก่อน อดีตพระราชาทรงให้ความสำคัญกับผู้มีความรู้
ยังไงต้องผ่านการสอบเป็นขุนนาง ถึงมีโอกาสเจริญก้าวหน้าได้ แต่ทุกวันนี้
ในวังมีงานเลี้ยงเป็นประจำ หัวหน้ากรมมหรสพ จึงเป็นตำแหน่งที่สำคัญ
ยิ่งกว่าเสนาอำมาตย์ซะอีก"
"แต่ถ้าเทียบกับคนอื่น ยังไงก็ต่ำกว่า
ชนิดไม่เห็นฝุ่นนี่นา"
"ดูอย่างพวกบัณฑิตสิ สมัยก่อนมีอิทธิพลแค่ไหน
ทุกวันนี้แทบเหมือนใบไม้ร่วง ถูกเล่นงานจนไม่กล้าหือด้วยซ้ำ อำนาจ
ไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งยศศักดิ์ หากแต่อยู่ที่ว่า
ใครได้รับใช้พระราชาใกล้ชิดมากกว่าต่างหาก แค่นี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือครับ"
"ฮึ่ม เข้าใจก็ได้ เอาไงก็เอากัน ข้าจะยอมเป็นหัวหน้ากรมมหรสพอย่างเจ้าว่าล่ะ
หึ"
"รับรองใต้เท้าจะไม่ผิดหวัง"
00000000000000
พระเจ้ายอนซันทรงจัดงานเลี้ยง และกล่าวกับขุนนางท่านหนึ่งว่า
"ฮ่า
ได้ยินว่าท่านอา ที่บ้านมีสาวใช้เลอโฉมคนหนึ่งเป็นที่เลื่องลือนัก ถ้าไงไว้คราวหน้า
ข้าจะไปบ้านท่าน แล้วให้นางมาปรนนิบัติข้าหน่อยได้ไหม"
"เฮ่อๆๆ ได้พ่ะย่ะค่ะ"
"งั้นก็จองไว้เลยนะ เฮ่อๆๆ"
บัณฑิตท่านหนึ่งเข้ามาทูลว่า "ทูลฝ่าบาท
โปรดให้ยุติงานเลี้ยงเถอะพ่ะย่ะค่ะ"
"ไม่ต้องยุ่ง
ท่านมีสิทธิ์อะไรมาบุกรุกงานเลี้ยง ทำลายความสำราญของข้าน่ะ"
"ทูลฝ่าบาท
กระหม่อม
"งั้นก็พูดมา"
"ฝ่าบาท ทุกวันนี้ราษฎรยังมีความเป็นอยู่ที่ลำบาก
ราชสำนักจัดงานรื่นเริงทุกวัน สมควรแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ
ฝ่าบาททรงปฏิเสธนโยบายของขุนนาง กดขี่นักวิชาการ ไม่ฟังคำเตือนที่หวังดี
จะทรงละทิ้งวิถีแห่งการเป็นพระราชาที่ทรงธรรมแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท
โปรดทรงเห็นแก่บ้านเมือง ละทิ้งความสุขส่วนพระองค์บ้างเถอะ โอ๊ะ"
"ในเมื่อรู้ว่าหลักการปกครองที่ดีควรมีอะไรบ้าง
แล้วทำไมสมัยก่อนไม่เห็นคัดค้านที่เสด็จแม่ข้าถูกประหาร พอมาวันนี้
กลับไม่เห็นด้วยที่ข้าจะคืนยศให้นาง มาพูดมากอยู่ได้"
"ฝ่าบาท"
"ลากตัวมันออกไปเดี๋ยวนี้ เฆี่ยนตีให้หนักแล้วเอาไปขังไว้"
"พ่ะย่ะค่ะ"
บัณฑิตท่านนั้นร้องตะโกน "ฝ่าบาท โปรดอย่าทรงเป็นทรราชย์เลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท"
พระเจ้ายอนซันเสียงดังกว่า "ทุกคนหยุดทำไม สนุกต่อไปเหมือนเดิมซี่ มาๆ
ทุกท่านมาดื่มกับข้าต่อ"
คิมชูซอนกลับมาที่บ้าน และพบโตชิ เขาทักทาย
"กี่เดือนกี่ปี ไม่ว่าอะไรจะเกิด ท่านอาก็ยังแข็งแรงเหมือนเดิมนะครับ"
"มาแล้วหรือ หลายวันนี้ แม่เจ้าไปไหว้พระที่วัดแน่ะ"
"ข้ากลัวว่า
พักนี้ในวังอาจมีงานเยอะ เลยกลับมาเอาชุดพอให้เปลี่ยนใส่"
"หมู่นี้
ได้ยินว่าพระราชา มักสั่งให้ประหารขุนนางที่ไม่ถูกพระทัย แม่เจ้าก็เลยเป็นห่วงมาก
เจ้าต้องระวังหน่อยล่ะ"
"หึ นั่นเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น"
"ฮึ่ม คนเรา
มักจะไม่ลืมกลิ่นคาวเลือดที่ติดมือครั้งแรก การที่ลูกบางคนผูกพันกับแม่เป็นพิเศษ
อาจเพราะสาเหตุนี้ก็ได้ โดยเฉพาะตอนเด็กถ้าได้เห็นเลือดของแม่ติดตาด้วยแล้ว
ขนาดข้าเป็นมือมีดแท้ๆ จนเดี๋ยวนี้ยังไม่ลืม กลิ่นเลือดครั้งแรกที่ลงมือตอนเด็ก
และความรู้สึกตอนนั้นเป็นยังไง ฝ่าบาทก็คงเหมือนกัน ถ้าได้เห็นเลือดผ่านตา
พระองค์จะไม่อาจสลัดคราบเลือดทิ้งได้ และยิ่งเป็นปมให้ต้องฆ่าคนเพิ่มขึ้นอีก
เจ้าต้องคอยเตือนสติพระองค์ อย่าให้เกิดเรื่องเลวร้ายได้ล่ะ" โตชิเตือน
"หึ
คำพูดของท่านอา ข้าจะจำไว้ครับ"
โตชิกล่าวกับคิมชูซอนถึงผู้หญิงที่เขาพามาว่า
"นางเป็นผู้หญิงที่ไม่เลว อย่าให้หลุดมือล่ะ"
"หึๆ เฮ่อๆๆ เข้าใจผิดแล้ว
ข้าไม่ได้คิดอะไร"
"เจ้าจะอยู่คนเดียวไปจนตายหรือไง ดูอย่างแม่เจ้าซิ
ทีแรกก็ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา รังเกียจรังงอนนัก ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา
ค่อยเป็นค่อยไปน่ะ"
"หึ ข้าขอตัวก่อนนะครับ"
000000000000000000
เหล่าขุนนางพากันมาทูลขอให้พระเจ้ายอนซันทรงงดจัดงานเลี้ยง
ทำให้พระเจ้ายอนซันทรงรับสั่งเสียงเข้มทันที
"ให้ข้างดจัดงานเลี้ยง
หมายความว่าไงน่ะ"
"ไม่ใช่ให้งดหมด
เพียงแต่ลดจำนวนครั้งและจัดงานให้เล็กลงพ่ะย่ะค่ะ"
"เพราะทุกวันนี้ยังมีคนที่ลำบาก หากราชสำนักจัดงานรื่นเริงบ่อยครั้งเกินไป
จะเป็นที่ครหาได้พ่ะยะค่ะ"
"ถือว่าทรงเห็นแก่ราษฎรของพระองค์ เพลาๆ
การรื่นเริงลงบ้างจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ"
พระเจ้ายอนซันทรงย้อนว่า "ถ้าท่านทั้งหลาย
มีความเห็นอกเห็นใจชาวบ้านจริง ทำไมไม่บริจาคเงินส่วนตัวไปช่วยพวกเขาบ้างล่ะ"
เหล่าขุนนางพากันถอนใจอึกอัก "เอ่อ เฮ่ย"
"ต่อให้ข้า
วิตกทุกข์ร้อนไปกับราษฎร ถึงขนาดงดเหล้างดเนื้อ ถือศีลกินเจ อยู่อย่างสมถะ
แต่ชาวบ้านที่แทบจะกินเปลือกไม้ยังชีพ ความเป็นอยู่ก็ไม่ดีขึ้น
แล้วข้าจะเสียสละไปทำไม อย่างเก่งก็แค่สร้างภาพให้คนนับถือเท่านั้น
ข้ากำลังคิดจะขยายและซ่อมแซมวังหลวง เพื่อแสดงถึงอำนาจของพระราชาด้วยซ้ำ ที่สำคัญ
จะปรับระบบจัดเก็บภาษีใหม่ ให้เข้าหลวงเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น
กันไม่ให้มีการทุจริตระหว่างทาง ข้าคิดว่า นี่ต่างหากคือหลักปกครอง
ที่เหมาะกับสภาพบ้านเมืองในเวลานี้"
เหล่าขุนนางออกมาก็พากันวิจารณ์ว่า
ยิ่งทูลอะไรไปก็จะทำให้ยิ่งเลยเถิด
พงชอนจัดการพายุนฮูหยินมาเข้าเฝ้าพระอัยยิกายินซู แต่พระอัยยิกายินซูทรงปฏิเสธ
"ฮันซังกุง ทำไมยอมให้แม่ของมเหสีโซฮวาเข้าวังมาล่ะ
นางเป็นแม่ของนักโทษที่มีความผิดถึงขั้นประหารชีวิต ยังมีหน้าเข้าวังมาพบข้าอีกหรือ
ไปบอกให้นางกลับไปเดี๋ยวนี้"
"ทราบแล้วเพคะ"
พระพันปีซุกยอนทูลว่า
"พระอัยยิกาเพคะ ยังไงนางก็เป็นยายของฝ่าบาท ถ้าไงอย่าทรงกริ้ว
ให้นางเข้าเฝ้าเถอะนะเพคะ"
"ฝ่าบาทเจ้ากี้เจ้าการคืนยศให้ผู้หญิงคนนั้น
ถือเป็นการตัดสินใจฝ่ายเดียว ถ้าใครคิดว่านี่คือการลบล้างความผิดก็อย่าหวังไปเลย
เมื่อถูกตัดสินแล้ว ผิดก็คือผิดวันยังค่ำ"
พงชอนกับยุนฮูหยินได้ยินเข้าพอดี
พงชอนรีบบอกยุนฮูหยิน
"วันนี้ดูเหมือนว่าพระอัยยิกาจะอารมณ์ไม่สู้ดีนัก
ถ้าไงรอไว้คราวหน้า ให้ทรงสบายพระทัยกว่านี้ ค่อยมาเฝ้าเถอะนะ"
"ข้าก็คิดอย่างงั้นเหมือนกันน่ะค่ะ เฮ่ย"
ซังกุงเข้ามา "ยุนฮูหยิน
พระพันปีมีรับสั่ง เชิญท่านไปพบหน่อยน่ะค่ะ"
ยุนฮูหยินเข้าเฝ้าพระพันปีซุกยอน
ทรงรับสั่งด้วยว่า
"นานๆ ท่านจะได้เข้าวังซักครั้ง
ถ้าให้กลับไปแบบนี้ก็ดูจะแล้งน้ำใจเกินไปเลยเชิญมาพบหน่อย
ถ้าไงโปรดอย่าถือสารับสั่งของพระอัยยิกาเมื่อกี้เลยนะ"
"หม่อมฉันเป็นคนต่ำต้อย
จะกล้าบังอาจถือสาพระอัยยิกาได้ยังไงเพคะ"
"แม้จะช้าไป แต่ก็ขอยินดี
ที่ลูกสาวท่านได้เป็นมเหสีแจฮอน ต่อไปก็ขอให้ดูแลสุสานของนางดีๆ
อย่าให้ใครไปรบกวนอีกล่ะ"
"หม่อมฉันรู้มาว่าพระพันปี ทรงเลี้ยงดูฝ่าบาทอย่างดี
ให้ความรักและเอาใจใส่ยิ่งกว่าโอรสแท้ๆ ถ้ามเหสีแจฮอน ได้รู้
คงซาบซึ้งในพระเมตตาใหญ่หลวงของพระพันปี จนยากจะตอบแทนได้เพคะ"
"ข้าเพียงแต่ทำหน้าที่ของคนเป็นแม่ให้สมบูรณ์เท่านั้น"
"ทูลพระพันปี
พระมเหสีมาขอเฝ้าเพคะ"
"เชิญเข้ามาได้" พระพันปีซุกยอนรับสั่งต่อว่า
"ข้าให้คนไปบอกนาง ว่าวันนี้ฮูหยินเข้าวังมา จึงให้นางมาพบ"
"ฮือ
คารวะท่านยายค่ะ"
"มิบังอาจเพคะ โปรดอย่ารับสั่งอย่างงั้น
หม่อมฉันจะรับการคารวะจากพระมเหสีได้ยังไง ฮือ แต่ชาตินี้
มีโอกาสได้เห็นพระพักตร์พระมเหสีซักครั้ง หม่อมฉันก็ตายตาหลับแล้วเพคะ"
"ฝ่าบาททรงคิดถึงพระมารดาบังเกิดเกล้าไม่เคยลืม หึ ต่อไปถ้ามีเวลาว่าง
ก็เชิญเข้าวังมาบ่อยๆ เพื่อปลอบใจฝ่าบาทได้ไหมคะ"
"หม่อมฉันจะพยายามเพคะ"
ด้านพงชอนก็ไปทูลฟ้องพระเจ้ายอนซันเรื่องที่พระอัยยิกายินซูทรงปฏิเสธให้ยุนฮูหยินเข้าเฝ้า
"ท่านบอกว่ายังไงนะ พระอัยยิกาปฏิเสธ การเข้าเฝ้าของท่านยายข้า
แม้จะรออยู่หน้าตำหนักงั้นหรือ"
"ขอได้ทรงโปรด
พระอัยยิการับสั่งว่านางเป็นแม่ของนักโทษ
จึงไม่ให้เข้าไปในตำหนักและรับสั่งให้ออกไปโดยเร็วพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉัน
รู้สึกอายจนเหลือจะกล่าว แทบอยากมุดดินให้รู้แล้วรู้รอด
ไม่กล้าสู้หน้ายุนฮูหยินอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ"
"ฮึ่ม
ทุกวันนี้แม่ข้าเป็นมเหสีแจฮอนแล้ว ทำไมพระอัยยิกายังไม่ยอมรับ
แถมยังบอกว่ายายของข้าเป็นแม่นักโทษอีก"
คิมจาวอนทูลต่อว่า "คราวก่อน
ที่เหล่าขุนนางมาทูลขอ ให้ฝ่าบาททรงเพลาๆ งานเลี้ยงลงบ้าง ได้ยินว่า
เป็นรับสั่งมาจากพระอัยยิกาเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ"
"ว่าไงนะ เจ้าพูดจริงหรือเปล่า"
"หม่อมฉันไม่กล้าทูลความเท็จพ่ะย่ะค่ะ"
"หนอยแน่
ถ้าพระอัยยิกาไม่เห็นแก่ข้า ยังคงดูหมิ่นเสด็จแม่และยายของข้าไม่เลิกอีก ข้าก็จะ
ตอบแทนพระอัยยิกาด้วยวิธีแบบเดียวกัน ทุกวันนี้มีคนในตระกูลของนาง
แอบใช้อำนาจบงการราชสำนัก เสวยสุขอยู่เบื้องหลังมานาน ข้า จะให้นางรู้ว่า
ใครคือพระราชาเมืองนี้กันแน่ ราชเลขาจงฟัง ใต้เท้าฮันชีฮึง แห่งชองจู
เคยรู้เห็นกับการประหารมเหสีแจฮอนซึ่งเป็นแม่ข้า ให้ขุดศพขึ้นมาตัดหัวซะ
ที่สำคัญครอบครัวและคนในบ้าน ให้ลดขั้นไปเป็นทาสหลวง จากนั้นก็ทำการยึดทรัพย์
ที่ดินไร่นาทั้งหมด"
ด้านพระอัยยิกายินซูทรงทราบจากฮงซังกุงก็ตกพระทัยยิ่งนัก
"ฮงซังกุง ท่านเอาอะไรมาพูดน่ะ บอกว่าฝ่าบาท
เอาศพญาติผู้พี่ของข้าขึ้นมาตัดหัวเสียบประจาน เป็นความจริงหรือเปล่านี่"
"หม่อมฉัน ได้ยินมาอย่างงั้นเพคะ"
"ทำไมฝ่าบาทถึงได้
มาราวีถึงคนในตระกูลของข้า จะทำลายสกุลฮันของข้าด้วยหรือไง
ช่างเป็นการกระทำที่เหิมเกริมนัก เห็นทีข้าจะยอมไม่ได้ซะแล้ว
ข้าจะไปตำหนักใหญ่เดี๋ยวนี้ ถามฝ่าบาทให้รู้ว่าทำแบบนี้เพื่ออะไรกันแน่"
"พระอัยยิกา โปรดอย่าทรงกริ้วเพคะ"
"แทปี เจ้าถอยไป
วันนี้ข้าต้องคุยกับฝ่าบาทให้รู้เรื่อง ว่าทำไมทำกับตระกูลของข้าแบบนี้
เจ้าไม่เกี่ยวหลีกไปซะ"
"พระอัยยิกา โปรดสงบสติก่อนเถอะเพคะ
รอให้พระทัยเย็นก่อน ค่อยไปถามฝ่าบาทจะดีกว่า"
"ข้าทนกับความเผด็จการของเขามานานแล้วรู้หรือเปล่า"
"ทูลพระอัยยิกา
ฝ่าบาทเสด็จมาเพคะ"
"หึ หึ ฝ่าบาท ทำไมเจ้าถึงทำกับข้าแบบนี้
เจ้ากำลังลามปามถึงครอบครัวของผู้เป็นย่า รู้ตัวหรือเปล่า ข้าจะไม่พูดซ้ำสองอีก
ที่ให้ขุดศพฮันชีฮึงขึ้นมา รวมถึงเล่นงานคนในครอบครัวเขา ให้ถอนคำสั่งเดี๋ยวนี้"
"หม่อมฉัน ทำตามรับสั่งไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ"
"ว่าไงนะ ฝ่าบาท
นี่แปลว่าเจ้าจะก้าวร้าวถึงย่าได้ลงคอเชียวหรือ"
"สมัยก่อนใต้เท้าฮัน
ก็เป็นหนึ่งในขุนนางที่นิ่งเฉย ต่อการปลดและประหารเสด็จแม่ของหม่อมฉัน
เขาเห็นด้วยกับเสด็จพ่อ ที่ให้ประหารแม่แท้ๆ ของรัชทายาท
จนเกือบทำให้การครองราชย์ของหม่อมฉันมีมลทิน จึงสมควรรับโทษฐานไม่ซื่อสัตย์
เมื่อหม่อมฉันสั่งไปแล้วก็ไม่อาจถอนคืนได้"
"ฝ่าบาท
ใต้เท้าฮันคนนี้เป็นญาติผู้พี่ของข้า ซึ่งมีความสนิทสนมมากนะ"
"หม่อมฉันรู้ดีพ่ะย่ะค่ะ และเข้าใจดีว่า การที่พระอัยยิกาต้องมารับรู้
คนในวงศ์ตระกูลถูกลงโทษ บ้างก็ถึงขั้นประหารนั้น จะทรงรู้สึกเจ็บปวดแค่ไหน
หม่อมฉันเข้าใจดียิ่งกว่าใคร แต่ว่า ขนาดแม่ของรัชทายาททำผิด
กฎหมายยังบอกให้ประหารได้ แล้วกะอีแค่ครอบครัวของพระอัยยิกา จะทรงปกป้องญาติพี่น้อง
โดยการละเว้นโทษได้หรือพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันคงไม่ได้พูดผิด พระอัยยิกาขอทรงเข้าพระทัย
ในสิ่งที่หม่อมฉันทำด้วย"
"ฝ่าบาท ถึงจะผิดแค่ไหนก็ตาม
แต่ถึงขั้นเอาศพขึ้นมาย่ำยี แถมยังยึดทรัพย์อีก มิเป็นการลงโทษที่เกินไปหน่อยหรือ
ยังไงใต้เท้าฮันชีฮึงก็เคยมีความดีความชอบ ในสมัยของเสด็จพ่อมากนะ"
"ใต้เท้าฮันคนนี้ เป็นคนโปรดของเสด็จพ่อ สมัยก่อนเสพสุขจนถึงวาระสุดท้าย
เมื่อตายไปก็เอาทรัพย์สินคืนให้หลวงซะ ถึงเป็นความภักดีอย่างแท้จริง
และถือเป็นขุนนางตัวอย่างด้วย"
พระเจ้ายอนซันตรัส
และไม่ฟังความจากพระอัยยิกายินซูและพระพันปีซุกยอนอีก
จาจี เกยนัม มูนโซอุน
แคนัมและคิมชูซอนต่างก็คุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
เพราะรู้ว่าพระเจ้ายอนซันทรงต้องการกุมอำนาจในการปกครองอย่างแท้จริง
ราชเลขานำฎีกามาถวาย
พระเจ้ายอนซันทรงมีรับสั่งให้นำฏีกาที่นำขึ้นทูลถวายไปเผาทิ้งให้หมด
"เอ่อ
ฝ่าบาท ทำไมทรงเผาฎีกาล่ะพ่ะย่ะค่ะ" ราชเลขาทูลถาม
"ข้าไม่อยากฟังพวกบัณฑิตที่เอาแต่เพ้อเจ้อ วาดวิมานในอากาศไปวันๆ อีกแล้ว
ข้าคิดแล้วว่า จะให้ยุบฝ่ายนิติธรรม อันประกอบด้วยสามกรมใหญ่
ซึ่งมักจะถือหลักการเป็นใหญ่ มาบังคับให้พระราชาเชื่อฟังโดยไม่มีเหตุผล
ตั้งแต่ระดับ
"ทูลฝ่าบาท ทรงถอนรับสั่งคืนเถอะพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉัน
"ท่านเห็นว่าถ้าถือหลักธรรมาภิบาล บ้านเมืองจะสงบสุขและปรองดองงั้นหรือ
ถ้าเป็นอย่างงั้นจริง ทำไมสมัยก่อนท่านขงจื๊อถึงไม่อยู่สบาย
บ้านเมืองยังคงมีสงครามแตกแยกเป็นก๊กเป็นเผ่าล่ะ อาศัยแค่ลมปาก
ท่องแต่ปรัชญาคติพจน์ อาจฟังแล้วรื่นหูก็จริง แต่ว่า หลักการพวกนี้
ไม่มีทางช่วยชาวบ้านที่กำลังหิวโหย ให้อิ่มปากอิ่มท้องได้หรอกนะ"
"ฝ่าบาท
แต่ว่า"
"เงียบซะที หัวหน้าองครักษ์ จับคนที่ขัดคำสั่งข้า
ออกไปตัดหัวเดี๋ยวนี้"
"พ่ะย่ะค่ะ เอาตัวไป"
"ฝ่าบาท"
"ขุนนางอื่นมีใครคัดค้านข้าอีกมั้ย ไหนลองว่ามาซิ มหาดเล็กคิม
ไปเอาของที่ข้าเตรียมไว้ออกมาเดี๋ยวนี้"
"พ่ะย่ะค่ะ น้อมรับพระบัญชา"
คิมจาวอนนำแผ่นป้ายเตือนสติมาแจกขุนนนาง
"แจกจ่ายให้ถ้วนทั่ว
รับไปคนละหนึ่งแผ่น"
ขุนนางรับมาอ่านแล้วตกใจ "หา นี่มัน อะไรกันน่ะ"
พระเจ้ายอนซันทรงรับสั่งต่อว่า "ทีหลังถ้าทุกท่านจะมาประชุม
ก็ให้แขวนป้ายนี้ก่อนแล้วค่อยเข้ามา
จะได้เป็นการเตือนสติว่าถ้าใครกล้าขัดคำสั่งข้าอีก ไม่ว่าจะเป็นขุนนาง
มหาดเล็กหรือฝ่ายใน หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ก็ตาม จะมีโทษประหารทันที
ที่สำคัญขอให้ทุกท่าน จงจำข้อความที่เขียนในแผ่นป้ายให้ขึ้นใจซะ ทุกคำทุกประโยค
ต้องจดจำและขอให้ทำตามอย่างเคร่งครัด"
พระอัยยิกายินซูทรงรู้เรื่องก็ได้แต่รับสั่งกับพระพันปีซุกยอน
"เฮ่ย
ฝ่าบาทนะฝ่าบาท ถึงขนาดทำป้ายเตือนสติให้ขุนนางแขวนไว้
เพื่อควบคุมไม่ให้พูดจามากความ เป็นถึงพระราชาแท้ๆ
กลับทำเหมือนนักเลงอันธพาลใช้อำนาจข่มขู่ไม่เข้าเรื่อง
พระราชาที่ไม่ได้ปกครองด้วยคุณธรรม ใช้แต่อำนาจบาตรใหญ่เข้าว่า
ขุนนางก็ไม่กล้าแสดงความเห็นเพราะกลัวตายไปซะหมด ทีนี้พวกสอพลอก็ยิ่งได้ใจ
ต่อให้พระราชาเก่งกาจแค่ไหน ก็ไม่อาจปกครองบ้านเมืองด้วยตัวเองคนเดียว
ทำไมเขาไม่รู้จักคิดบ้างนะ เฮ่อ"
"พระอัยยิกาเพคะ
เพื่อไม่ให้ฝ่าบาทผิดใจกับขุนนางมากกว่านี้ เราให้รับสนมใหม่เข้ามาดีมั้ยเพคะ"
"เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่าไง"
"ถ้าให้ธิดาของเหล่าขุนนางมาเป็นสนมในวัง
หม่อมฉันเห็นว่า ฝ่าบาทน่าจะเกรงใจขุนนางมากขึ้น ในขณะที่พวกเขาเอง
ก็จะลดความยำเกรงลง และตั้งใจช่วยฝ่าบาทบริหารบ้านเมืองเช่นกันเพคะ"
"หึ
แต่ข้าว่าถึงให้ฝ่าบาทเกี่ยวดองกับขุนนางยังไงก็ตามแต่
คงไม่มีทางเปลี่ยนนิสัยความเผด็จการของเขาได้หรอก
ทุกวันนี้ข้าไม่อยากยุ่งกับเขาอีกแล้ว จะทำอะไรก็แล้วแต่เจ้าเถอะ"
"ถ้าอย่างงั้น หม่อมฉันจะหารือกับเจ้ากรมพิธีการ
ให้สรรหาหญิงสาวที่เหมาะสมนะเพคะ"
พระพันปีซุกยอนทรงรับสั่งกับพระมเหสีก่อนว่า
"ทั้งข้าและพระอัยยิกา
สุดจะทนเห็นฝ่าบาทมีเรื่องขัดแย้งกับขุนนางไม่เว้นแต่ละวัน
เพื่อให้เกิดความปรองดองในราชสำนัก เราจึงคิดว่าจะให้มีการรับสนมใหม่ จริงอยู่
การทำแบบนี้คงไม่ยุติธรรมต่อเจ้า และข้าก็รู้สึกไม่สบายใจนัก แต่ว่า
ตอนนี้รัชทายาทก็ได้แต่งตั้งแล้ว ต่อให้สนมอื่นมีลูกให้ฝ่าบาท
ตำแหน่งมเหสีของเจ้าก็ไม่มีทางสั่นคลอนได้"
"ขอเพียงเป็นเรื่องที่ดีต่อฝ่าบาท
หม่อมฉัน พร้อมจะทำตามพระบัญชาเพคะ"
"เจ้าเข้าใจถึงความจำเป็น
ข้าต้องขอบใจจริงๆ"
ใต้เท้ามูยองมาพบโชชิคยอม ทำให้โชชิคยอมแปลกใจมาก
"เฮ่อๆ ใต้เท้ามูยอง วันนี้ลมอะไรหอบท่านมาถึงนี่ได้น่ะ"
"ข้าจะขอฟังมุมมองอันเฉียบคมของท่านหน่อย"
"มหาดเล็กที่ปลดเกษียณอย่างข้า
จะมีความเห็นอะไรได้ แต่ไหนๆ มาแล้ว เชิญดื่มน้ำชาซักถ้วยเถอะนะ"
"ข้าไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมฝ่าบาทถึงให้ยุบฝ่ายนิติธรรม
ซ้ำยังให้ขุนนางแขวนป้ายเตือนสติก่อนจะเข้าเฝ้า ช่างเป็นความคิดที่ผิดมนุษย์จริงๆ
ใต้เท้าโช เป็นมหาดเล็กที่ผ่านมา 5 รัชกาล ข้าจึงเชื่อว่า
ท่านน่าจะรู้พระทัยพระราชาแต่ละองค์บ้าง ท่านเชื่อหรือเปล่าว่า
สิ่งที่ฝ่าบาททรงทำอยู่ทุกวันนี้ เพียงเพื่อแก้แค้นให้มเหสีโซฮวาจริงหรือ"
"เฮ่อๆๆ ใต้เท้ามูยอง ข้าว่าท่านน่ะ ไม่เคยเข้าใจฝ่าบาทซักนิด"
"อะไรนะ"
"คนที่จะเป็นพระราชาได้นั้น เชื่อกันว่าเพราะสวรรค์ลิขิต แล้วคนระดับนี้
จะเห็นแก่เรื่องส่วนตัวเพียงอย่างเดียว จองเวรกับขุนนางและบัณฑิตให้เสียชื่อไปทำไม"
"ถ้าอย่างงั้น"
"ฝ่าบาทเอาเรื่องมเหสีโซฮวาเป็นข้ออ้าง
ทำให้ราชสำนักวุ่นวายขนาดนี้ ข้าเชื่อว่า
คงเป็นพระดำริที่ผ่านการไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว"
"งั้นท่านบอกหน่อยซิว่า
ฝ่าบาททรงทำเพื่ออะไรกันแน่"
"เพื่อวางรากฐานสำหรับการปกครองในวันข้างหน้า
เลยต้องเกลี่ยหนทางให้ราบเรียบก่อน แต่ข้าเชื่อว่าปัญหาต่างๆ
คงไม่จบลงเพียงแค่นี้หรอก หึๆๆ"
000000000000
คิมชูซอนขอเข้าเฝ้าพระเจ้ายอนซัน
"เจ้ากรมมหาดเล็ก ท่านมาก็ดีแล้ว
ข้ากำลังดื่มเหล้าคนเดียว ด้วยความเบื่อหน่ายเต็มที มา มาดื่มเป็นเพื่อน
พูดคุยกับข้าหน่อยซิ ท่านเจ้ากรม วันนี้เป็นอะไรไป"
"หม่อมฉัน
อยากรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ"
"อยากรู้
จุดประสงค์ที่แท้จริงของข้า?"
"ทุกวันนี้ พระราชาที่ใช้กำลังปกครองบ้านเมือง
เหมือนไม่ใช่องค์ชายน้อยที่หม่อมฉันเคยรู้จักมาก่อน ไม่เพียงแต่ขุนนาง แม้แต่ราษฎร
ก็พากันเกรงกลัวฝ่าบาท ถ้าอนาคตกลายเป็นว่าพระองค์ทรงถูกโดดเดี่ยว
แล้วจะปกครองบ้านเมืองโดยลำพังได้หรือพ่ะย่ะค่ะ"
"หึ ท่านเจ้ากรม
อยากรู้สิ่งที่ข้าคิดใช่ไหม"
"หม่อมฉันพร้อมจะรับฟังพ่ะย่ะค่ะ"
"ตั้งแต่สมัยพระเจ้า
คิมชูซอนรับฟังนิ่ง "มาถึงยุคของข้าบ้าง
ข้าอยากเป็นพระราชาที่มีอำนาจเหมือนพระเจ้าเซโจ ที่ได้สร้างประโยชน์สุขอย่างแท้จริง
และให้ราชสำนักมีการเงินที่มั่นคง แต่จะทำยังไง ถึงให้ราชสำนักเป็นที่ยำเกรง
และให้ราษฎรได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง"
"หมายความว่า"
"ข้ายอมให้คนประนามว่าเป็นพระราชาที่เผด็จการ
เพราะไม่มีทางอื่นที่จะยึดทรัพย์ของพวกเขากลับคืนมาได้ เลยจำเป็นต้องตั้งข้อหา
ถึงขนาดเอาศพขึ้นมาย่ำยี หรือแม้แต่ครอบครัวของพระอัยยิกาก็ต้องถูกตรวจสอบ
เพราะข้าไม่มีทางเลือกอื่น"
คิมชูซอนฟังแล้วก็ถอนใจ "เฮ่อ"
"ทุกวันนี้ข้าอ้างแต่เรื่องเสด็จแม่ถูกปรักปรำให้ร้าย
เพื่อจะสร้างฐานอำนาจที่มั่นคงให้กับตัวเอง วันหน้าข้าก็ไม่รู้จะชดเชย
ความอกตัญญูในส่วนนี้ยังไงดี"
ทางด้านพระพันปีซุกยอนทรงนำรายชื่อหญิงสาวมาถวายแด่พระอัยยิกายินซู
"นี่คือรายชื่อหญิงสาวที่มีคุณสมบัติพร้อม สมควรได้รับเลือกเป็นพระสนมเพคะ"
"ในเมื่อเรื่องการรับสนมใหม่ ข้าให้เจ้าไปจัดการแล้ว ก็แล้วแต่เจ้าเถอะ"
"แต่ว่า หม่อมฉันมีปัญหาเล็กน้อยเพคะ"
"มีอะไรขัดข้องงั้นหรือ"
"ผู้ตรวจการเมืองหลวง ฮงกีต๊ะ มีหลานสาวคนหนึ่งถึงวัยออกเรือน
แต่ไม่ทราบเพราะอะไร ไม่ยอมเสนอชื่อขึ้นมาเพคะ"
"อะไรนะ"
"หม่อมฉันก็เลยลำบากใจ ไม่รู้จะพูดกับเขายังไงดี"
"อาจเพราะว่าเขา
ไม่อยากให้หลานมาเป็นสนมของฝ่าบาทก็เป็นได้ แต่ถึงจะไม่เต็มใจยังไง
เมื่อเป็นขุนนางก็ต้องปฏิบัติตามกฎ บอกให้เขาเสนอชื่อขึ้นมาเร็วๆ"
พระเจ้ายอนซันก็ทรงทราบเรื่องนี้จากคิมจาวอน
"ฮงกีต๊ะไม่ยอมเสนอชื่อหลานสาวให้มาคัดเลือกเป็นสนมงั้นหรือ"
"หม่อมฉันได้ยินมาอย่างงั้นพ่ะย่ะค่ะ"
"การคัดเลือกสนมเพื่อหวังสืบทอดราชวงศ์ให้ยั่งยืน
ปกติจะถือเป็นงานใหญ่ของบ้านเมืองด้วยซ้ำ เขาเป็นขุนนางแท้ๆ
กลับไม่ยอมให้ความร่วมมือ แบบนี้ มิเท่ากับเห็นข้าไร้ความหมายหรอกหรือ"
"สมควรจะลงอาญา เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างนะพ่ะย่ะค่ะ"
"ราชเลขาอยู่ข้างนอกหรือเปล่า"
"พ่ะย่ะค่ะ" ราชเลขาเข้ามา
"ราชเลขาจงฟัง ผู้ตรวจการเมืองหลวงฮงกีต๊ะ ลบหลู่เบื้องสูง
ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา ให้ถอดออกจากตำแหน่ง และทรมานให้หนัก"
พระอัยยิกายินซูทรงทราบก็ถึงกับถอนพระทัย
"เฮ่ย
แค่ไม่เสนอชื่อหลานสาวก็ถูกปลดจากตำแหน่งแล้ว ช่างเป็นการลงโทษที่ไร้สาระจริงๆ
ถ้าฝ่าบาทยังคงเผด็จการอยู่อย่างงี้
รากฐานการปกครองที่อดีตพระราชาวางไว้มิถูกทำลายหมดหรอกหรือ
ถึงตอนนั้นโชซอนก็ต้องเข้าสู่ยุคมืดอย่างน่ากลัว แล้วเราจะทำไงดี เฮ่ย"
ณ
เวลานั้นกึมพยอก็จัดการรวบรวมมหาดเล็กคุ้มกันที่ลาออกไปแล้วตามที่โชชิคยอมสั่งการไว้
มีคนหนึ่งถามว่าให้มารวมตัวทำไม กึมพยอจึงบอกว่า
"อีกไม่นานใต้เท้าโช
อาจมีงานสำคัญบางอย่าง ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากทุกคน แต่ก่อนจะมีคำสั่ง
อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วาม ให้ระวังตัว ระวังการพูดจาไว้ด้วย"
กงซินทราบเข้าก็รีบรายงานให้คิมชูซอนทราบต่อทันที
"มีข่าวว่าหัวหน้าโท
กำลังติดต่อมหาดเล็กคุ้มกันที่ลาออกไปแล้ว ให้มารวมตัวกันอีกครั้งครับ"
"อะไรนะ
ข่าวนี้เป็นความจริงหรือเปล่า"
"น่าจะเป็นจริงครับ"
"หึ กงซิน
ส่งคนไปจับตาดูหัวหน้าโท และลูกน้องเขาอย่าให้คลาดสายตา"
"ครับ
ข้าจะไปเดี๋ยวนี้"
คิมชูซอนนึกถึงคำพูดของโชชิคยอมที่ว่า
"ในฐานะผู้นำมหาดเล็ก เจ้าอยากเป็นขุนนางที่สิ้นชาติ อัปยศชั่วลูกชั่วหลาน
หรือจะเป็นวีรบุรุษกู้ชาติ ผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ ทั้งสองอย่างนี้
ถึงเวลาต้องให้เลือกแล้ว"
คิมชูซอนยังตอบกลับไปว่า
"ข้าจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น"
พระพันปีซุกยอนทรงเรียกวอฮามาพบ
"ได้ยินว่าท่านทำนายแม่นยำ สมัยก่อนเป็นที่ไว้วางใจของผู้ใหญ่ในวังหลายคน
ตอนข้ามาเป็นสนมใหม่ๆ ท่านก็เคยดูหน้าตาแล้วทำนายว่า อนาคตข้าจะได้เป็นถึงพระมเหสี
ยังจำได้หรือเปล่า"
"นั่นเป็นเรื่องเมื่อ 30 ปีที่แล้ว
แต่เดี๋ยวนี้หม่อมฉันอายุมากขึ้น ความสามารถก็ไม่สู้แต่ก่อนแล้วเพคะ"
"ที่ข้าเชิญท่านมาวันนี้ เพื่อให้ช่วยดูลักษณะใบหน้าขององค์ชายจินซอง
ซึ่งเป็นลูกข้าหน่อย ไปเชิญองค์ชายจินซองมาหน่อยซิ"
องค์ชายจินซองเสด็จมา
วอฮาทรงพินิจ พระพันปีซุกยอนเห็นก็ตรัสถาม
"ท่านดูแล้วโหงวเฮ้งเป็นไงบ้าง"
"องค์ชายจินซอง อนาคตจะได้ขึ้นถึงตำแหน่งสำคัญและพระชนม์ยืนยาวเพคะ"
"จริงหรือที่ว่าเขาจะรุ่งเรืองและอายุยืนน่ะ"
"หม่อมฉัน
ทูลตามลักษณะพระพักตร์เท่าที่เห็นเพคะ"
"งั้นก็ลำบากท่านแล้ว วันนี้ที่มาพบข้า
แถมยังทำนายชะตาให้องค์ชายจินซอง ต้องปิดเป็นความลับไว้ล่ะ"
"หม่อมฉันรู้หน้าที่เพคะ"
"เดี๋ยวปาร์คซังกุงจะเบิกค่าตอบแทนให้"
"ถ้าอย่างงั้น หม่อมฉันขอทูลลาก่อนนะเพคะ" วอฮาออกไป
องค์ชายจินซองทูลถามพระพันปีซุกยอนว่า "เสด็จแม่
ทำไมให้หมอดูมาทำนายชะตาหม่อมฉันล่ะพ่ะย่ะค่ะ"
"ตอนนี้บ้านเมืองกำลังวุ่นวาย
อนาคตเจ้าจะเป็นไงนั้น แม่อดเป็นห่วงไม่ได้ เลยให้หมอดูมาช่วยทำนาย
ทุกวันนี้เจ้าเป็นอนุชาของฝ่าบาท ไม่ว่าทำอะไรก็ขอให้สำรวมไว้
อย่าทำอะไรให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย พยายามเก็บตัวหน่อย อย่าออกหน้า อย่าพูดให้มากนัก
คำพูดของแม่ เจ้าต้องจำไว้ด้วยล่ะ"
"หม่อมฉันจะจำไว้พ่ะย่ะค่ะ"
คิมชูซอนรู้ว่าวอฮาเข้าวัง ก็มาถาม
"วันนี้ได้ยินว่า พระพันปีให้ไปเข้าเฝ้า
มีอะไรหรือครับ"
"พระพันปีมีรับสั่ง ให้แม่สวดมนต์ภาวนาให้ราชสำนักอยู่สงบ"
"แสดงว่าผู้ใหญ่ในวัง ยังไม่ลืมความสามารถพิเศษของท่านแม่นะครับ"
"แต่ว่า
บรรยากาศในวัง แม่รู้สึกแปลกๆ ชอบกล"
"อีกไม่นานคงจะเข้าสู่ภาวะปกติ
ท่านแม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ"
"ชอนตง เจ้า ยังจำคำพูดของแชซังกุง
ก่อนนางจะไปจากเมืองหลวงได้ไหม"
"ตอนนั้นนางกำชับไว้ว่า
อย่าให้ลูกได้เห็นเสื้อเปื้อนเลือดของแม่เป็นอันขาด ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจความหมาย
แต่เดี๋ยวนี้พอนึกย้อนกลับไป ข้าก็พอเข้าใจแล้ว"
"แม่กำลังคิดว่า
คนที่เอาชุดของมเหสีโซฮวาไปให้ฝ่าบาททอดพระเนตร คงอยากให้ราชสำนักเกิดมรสุมกระมัง"
วอฮากล่าว คิมชูซอนฟังแล้วก็ถอนใจ
เวลาเดียวกันนี้ พงชอนก็คุยกับคิมจาวอน
"เฮ่อ ไม่น่าเชื่อว่าเจ้า จะมองการณ์ไกลขนาดนี้ ให้ข้าไปอยู่กรมมหรสพ
นอกจากได้ถวายงานใกล้ชิดฝ่าบาทแล้ว ยังเป็นคนโปรดอีกต่างหาก จนไม่
รู้สึกอิจฉาพวกขุนนางที่อยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวน ไม่รู้ว่าวันไหนจะถูกประหารบ้าง
เฮ่อๆๆ"
"ยิ่งได้รับพระเมตตาเท่าไหร่ ใต้เท้าก็ยิ่งต้องตั้งใจทำงาน
เพื่อช่วยให้ฝ่าบาททรงหายเครียด จากภารกิจประจำวันล่ะ"
"แน่นอน
ไม่เห็นต้องบอกเลย ทุกวันนี้ข้าส่งคนไปแสวงหา หญิงที่งามที่สุดในโชซอน
เพื่อให้ฝ่าบาททรงสำราญพระทัยอย่างที่สุด หึๆๆ"
"งั้นเรื่องแบบนี้
ก็ขอรบกวนใต้เท้าหน่อยล่ะนะ"
"อึม อีกหน่อย ถ้าข้าได้เป็นใหญ่ในราชสำนัก
เจ้าก็เป็นเจ้ากรมมหาดเล็กอย่างที่ตั้งใจไว้ ถึงตอนนั้น
โชซอนก็จะอยู่ในกำมือเราสองคน จริงหรือเปล่า เฮ่อๆๆ"
คิมจาวอนออกไปเดินข้างนอก
และโดนชาวบ้านเอาของปาใส่
"โอ๊ะ หา ใครมาปาข้า"
"นี่ไง เจ้าขันทีสอพลอ
โผล่มาแล้ว ปามันให้ตายเลย นี่แน่ะๆ ไปให้พ้น"
คิมจาวอนโกรธแค้นสั่งให้คนไปทำร้ายชาวบ้าน คิมชูซอนรู้เรื่องก็มาต่อว่าคิมจาวอน
"ทำไมส่งคนไปบุกรุกบ้านของราษฎร แถมยังใช้กำลังกับชาวบ้านอีก"
"ข้าทำเพื่อให้ราษฎร รู้ถึงอำนาจของฝ่าบาทจะได้ไม่กล้าเหิมเกริมอีกน่ะครับ"
"อะไรนะ เจ้าพูดมาให้ชัดๆ อีกทีสิ"
"ข้าเป็นมหาดเล็กที่ถวายการรับใช้ฝ่าบาท
คนพวกนั้นปาหินใส่ข้า ก็ไม่ต่างกับปาใส่พระราชา ในเมื่อชาวบ้านกล้าลบหลู่เบื้องสูง
แล้วเราจะปล่อยให้เหิมเกริม ไม่ลงโทษได้หรือครับ"
"หุบปาก"
คิมชูซอนตบหน้าคิมจาวอน "สิ่งที่เจ้าทำ คือใช้อำนาจบาตรใหญ่
ทำให้ฝ่าบาททรงเสื่อมเสียยังจะมาทำพูดดีอีก
เห็นทีว่าข้าต้องปลดเจ้าออกจากตำแหน่งหัวหน้ามหาดเล็กตรวจการณ์แล้ว"
"ใต้เท้า
ข้าไม่ทราบว่าตัวเองทำอะไรผิด"
"หุบปาก กลับไปที่พักของเจ้า
แล้วสำนึกผิดเข้าไว้"
คิมจาซอนเดินจากไปด้วยความโกรธแค้น
คิมชูซอนมองตามแล้วถอนใจ
"เฮ่ย เฮ่อ สิ่งที่ข้าเป็นห่วง ในที่สุดก็เกิดจนได้
แล้วจะทำไงดี"
คิมชูซอนตัดสินใจไปพบโชชิคยอม
"มาพบข้า
คงมีเรื่องบางอย่างจะพูด ว่ามาได้เลย"
"ที่ข้ามา
เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีคิมจาวอน โดยจะขอลาออกจากตำแหน่งเจ้ากรมซะ
และจุดประสงค์ที่ข้ามา เพื่อจะขอคำสัญญาจากท่านก่อนลาออกด้วย ได้ยินว่าใต้เท้า
สั่งให้หัวหน้าโท ไปรวบรวมอดีตมหาดเล็กคุ้มกันให้กลับมารวมตัวอีกครั้ง
วันหน้าแม้ข้าจะลาออก ก็จะจับตาดูความเคลื่อนไหวของท่าน
เพื่อไม่ให้เกิดเหตุอันไม่คาดคิด เพราะข้าไม่อยาก
เป็นศัตรูกับท่านซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นพ่อบุญธรรม ซึ่งมีพระคุณของข้ามาก่อน
คำพูดของข้า อยากให้ใต้เท้าจำไว้ด้วย"
"เจ้ารับผิดชอบต่อความบกพร่องของลูกน้อง
โดยการลาออกถือว่าถูกแล้ว แต่ว่า สาเหตุที่คิมจาวอนใช้พฤติกรรมรุนแรงต่อชาวบ้าน
ไม่ใช่เพราะเจ้าแต่เป็นเพราะฝ่าบาทต่างหาก เข้าใจหรือเปล่า
ทุกวันนี้ไม่เพียงแต่ขุนนาง แม้แต่ราษฎร
ก็เริ่มต่อต้านพฤติกรรมอันป่าเถื่อนของฝ่าบาทแล้ว ถ้าเจ้าซื่อสัตย์จริง
และหวงดีต่อฝ่าบาท ก็อย่าให้เป็นพระราชาที่ราษฎรหวาดกลัว
แต่ให้เป็นพระราชาที่เกรงกลัวราษฎรดีกว่า นี่คือหน้าที่หลักของเจ้า"
คำพูดของโชชิคยอมและคำพูดของแชซังกุงที่บอกว่าอย่าให้เห็นเสื้อเปื้อนเลือดของแม่
ทำให้คิมชูซอนคิดหนัก เขาไปขอเข้าเฝ้าพระเจ้ายอนซัน
"ท่านเจ้ากรม
ทุกครั้งที่เห็นเสื้อที่เสด็จแม่สวมใส่ขณะถูกประหาร คราบเลือดบนผ้าขาว
ข้าก็อดร้องไห้ไม่ได้ ความเจ็บปวดของนางขณะดื่มยาพิษ เข้าไปนั้น
มันเหมือนสื่อถึงใจข้าด้วย"
"ฝ่าบาท โปรดอย่าทรงลบหลู่มเหสีโซฮวา
ซึ่งเสียสละเพื่อบ้านเมืองจนยอมสิ้นพระชนม์ อย่างภาคภูมิอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ"
"หา
อะไรนะ ท่านเจ้ากรม ท่านพูดอะไรออกมากันแน่"
"หม่อมฉันขอให้ฝ่าบาท
อย่าทรงบิดเบือนเจตนารมณ์ของพระนาง"
คิมชูซอน จบ 59“ชองคูยอน” อยู่ฝ่ายนิติธรรมพ่ะยะค่ะ
มีเรื่องสำคัญจะขอทูล จึงได้มาขัดความสำราญชั่วคราวก่อน"“จองวาน” ลงไป
ทุกตำแหน่งให้ไล่ออกทั้งหมด อีกทั้งปิดประตูสามกรมใหญ่ไม่ให้มีการเข้าออกด้วย
ราชเลขา ออกประกาศไปเดี๋ยวนี้"“คังซังพิล” ขอบังอาจทูลซักนิด
ถ้าบ้านเมืองไม่มีฝ่ายนิติธรรม การใช้อำนาจของฝ่ายบริหารก็จะยุ่งเหยิง
ไม่มีการกลั่นกรองและตรวจสอบอย่างถูกต้อง ยังไงก็ตามแต่ ขอทรงคิดถึงเจตนารมณ์
ที่สมัยก่อนพระเจ้าแทโจ ได้ทรงสถาปนาราชวงศ์ด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ"“เซโจ”
ร่วมมือกับขุนนางปราบกบฎจนได้ครองราชย์ หลังจากนั้นก็มีการปูนบำเหน็จ
จนทำให้ท้องพระคลังร่อยหรอ เรื่องนี้คิดว่าท่านคงรู้ดีใช่ไหม
สมัยนั้นเพื่อตอบแทนเหล่าขุนนาง ทางการต้องแบ่งที่แบ่งไร่นา
จนราชสำนักต้องสิ้นเปลืองอย่างมหาศาล พอถึงยุคเสด็จพ่อ ก็มีการรับบัณฑิตเข้ามาทำงาน
เปลือกนอกอาจเหมือนว่า ต้องการปกครองบ้านเมืองโดยธรรมให้เกิดความผาสุก
แต่เป้าหมายลึกๆ ข้าพอดูออกว่า ต้องการให้สามกรมใหญ่มีสิทธิ์มีเสียง
เพื่อคานอำนาจกับพวกขุนนางที่เสวยสุขมานาน"
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ และก็ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านค่ะ
เครดิต : www.oknation.net/blog/lakorn
Readlakornเว็บเรื่องย่อละครรายตอนตามบทโทรทัศน์ช่อง3,5,7,นิยาย ไทยรัฐ,
ละครเกาหลี,ละครไต้หวัน (Series), ลิ้งค์(Links) ดูละคร Youtube, ลิ้งค์ดาวน์โหลด
(Download) เพลงละคร OST. และ เพลง MP3 ทั่วไป ทั้งVampires (แวมไพร์) Sumo อื่นๆ
เรื่องย่อละคร
โบตั๋นกลีบสุดท้าย สะใภ้ลูกทุ่ง รักเธอยอดรัก คิมชูซอน
เมนูรักเชฟมือใหม่ สู่แสงตะวัน หมวยอินเตอร์ เย้ยฟ้าท้าดิน เพราะรักนี้มิอาจลืม
(Alone in Love) ความลับของซูเปอร์สตาร์ อุบัติรักข้ามขอบฟ้า
Readlakorn
10 comments:
เหลืออีกตอนเดียวก็จบแล้ว T_T
เฮ้อออ จะจบอย่างมีความสุขรึเปล่าเนี่ย คิมชูซอน สู้ๆๆ นะ
จากการกระทำของพระราชาแล้ว เมื่อพิเคราะห์ด้วยใจเป็นธรรม จะเห็นว่า การตัดสินใจบริหารทางการเมือง ไม่มีถูกมีผิดทั้งหมด การกระทำอย่างหนึ่ง มุ่งไปถึงผลอีกประการหนึ่ง ซึ่งมีเหตุผลที่จำเป็น..
เข้มข้นมากกกกก
ติดตามๆๆๆ
ขอบคุณมากนะคะ
ชอบมากค่ะ รอตอนต่อไป
ชอบเอเรื่อง และตัวละครมากที่สุดๆๆๆๆ เลยค่ะ สงสารพระมเหสีโซว่า กับคิมซูชอน แต่เกลียดพระราชาจังเลย ต้นเหตุแห่งความวุ่นวายถ้าไม่เริ่มต้นกับออลูตงก่อน ดูเรื่องนี้แล้วได้ข้อคิดด้านการเมืองการปกครองด้วยชอบมากๆๆๆ รออ่านทุกตอนเลยค่ะ ขอบคุณมากๆที่มีเวปนี้ให้อ่าน ขอบคุณจริงๆ ค่ะ
พูดได้คำเีดียวว่า รออออออ ตอนนี้กะลังเข้้มข้น
ก็ขอบคุณ ที่มีให้อ่านตลอดแต่ว่าทำไมบ้านใหม่ต้องมีเป็นคลิปเวลาเปิดอ่านทีไรทำให้เครื่องช้า และมีเสียงรบกวนด้วย บ้านใหม่ปรับปรุงได้ดีขึ้นแต่ว่ามีเสียงรบกวนน่าจะแยกหน้าต่างการทำงานกันน่ะ
Is it coming to an end soon? I like this lakorn very much. It's sury a lote of fun and many good thoughts to learn from. Thank you a million for being so kind to all of us naka ...Aunt Chaweewan
กำลังเข้มข้น รอตอนต่อไปอยู่ ขอบคุณมากนะค่ะ
Post a Comment