Thursday, May 21, 2009

ลีซาน-เรื่องย่อละครตามบทโทรทัศน์-ลีซาน(69)-(70)

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน 69

แชจีคยอมบอกทุกคนที่ผ่านการสอบให้ไปเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจตามธรรมเนียม
ชอง ยายงถูกพวกเชกาแกล้งด้วยการขู่ว่า พระเจ้าจองโจไม่โปรดให้ใครสบประมาท และจะทรงหาเรื่องแกล้งคนๆ นั้นจนอ่วมอรทัย ชองยายงเกิดอาการกลัว เมื่อถึงเวลาเข้าเฝ้า พระเจ้าจองโจทรงให้ดื่มเหล้า ทรงเห็นอาการของชองยายงแล้วจึงตรัสว่า
"นั่นเจ้าดื่มไม่เป็นใช่ไหม"
"เอ่อ พะยะค่ะ หม่อมฉัน มีฉายาว่าถ้วยเดียวจอด ไม่ต้องแจวพะยะค่ะ"
"งั้นมา ดื่มเข้าไปอีกถ้วย"
ชองยายงตกใจ "หา.
"เหล้ากานี้ข้าเตรียมให้เจ้าโดยเฉพาะ ไม่ว่ายังไงก็ต้องดื่มให้หมด เข้าใจมั้ย"
"เอ่อ พระอาญาไม่พ้นเกล้าพะยะค่ะ ก่อนที่ หม่อมฉันจะดื่มเหล้าต่อ ขอรับโทษตายจากฝ่าบาทซะก่อน"
"โทษตายหรือ?"
"พะยะค่ะ เพราะหม่อมฉันโง่เขลา ไม่รู้ว่าเป็นฝ่าบาท พูดจาสามหาวล่วงเกินเบื้องสูง มีโทษสมควรตายพะยะค่ะ"
"งั้นหรือ เจ้าก็รู้ว่ามีโทษตายหรือไง"
ชองยายงอึ้ง "หา"
"แน่นอน คนที่บังอาจลบหลู่พระราชา ถ้าจะเอาเรื่องจริง มีโทษประหารก็ไม่แปลกซักนิด"
"เอ่อ แต่ว่า หม่อมฉัน ทำความผิดเพราะไม่รู้นะพะยะค่ะ"

"ใครบอกว่าไม่รู้ ข้าก็บอกอยู่ว่าข้าเป็นพระราชา อีกอย่าง ถึงไม่เจตนาก็เถอะ เมื่อทำผิดก็คือผิด ยังไงก็ต้องรับโทษไม่ใช่หรือ"
" แต่ว่าฝ่าบาท หากจะว่ากันจริงๆ ตามกฎหมายต้าชิง เมื่อเกิดคดีความ สิ่งแรกที่ต้องดูคือเหตุจูงใจ ฉะนั้น ถ้าใครรู้เห็นเป็นใจกับผู้ต้องสงสัย ก็ถือว่ามีความผิดสถานเดียวกัน"
"ความหมายของเจ้าคือ ข้าก็ผิดเหมือนกัน อย่างงั้นใช่ไหม"
"เอ่อ ทรงอภัยด้วย ถ้าจะว่าโดยหลักการก็เป็นเช่นนั้นพะยะค่ะ"
"แต่ว่า ข้าไม่เห็นรู้มาก่อนว่าต้าชิงมีกฎหมายข้อนี้ด้วยหรือ แสดงว่าเจ้า จะเถียงข้างๆ คูๆ เพื่อหวังปัดสวะให้พ้นตัวหรือเปล่า"
"เอ่อ ไม่เป็นความจริงพะยะค่ะ กฎข้อนี้เพิ่งประกาศใช้ไม่นาน เมื่อเดือนสองตอนต้นปีพะยะค่ะ"
"งั้นหรือ แล้วทำไมต้องเพิ่มข้อนี้ด้วย หรือว่าต้าชิงมีการทุจริตมาก ถึงต้องเพิ่มโทษให้หนักหรือไง"
"ฝ่าบาททรงปรีชา ใช่แล้วพะยะค่ะ ที่จริงกฎหมายของต้าชิง ไม่เหมาะกับโชซอนซักนิด ทำให้ชาวบ้านถูกรังแกพะยะค่ะ"
"ถ้าไม่เหมาะกับบ้านเราจริง สมัยก่อนก็ควรมีการแก้ไข ไม่ใช่ปล่อยมาถึงวันนี้"
" นั่นเป็นแค่กฎเกณฑ์ ใช้สำหรับปกครองอย่างง่ายเท่านั้น หม่อมฉันขอบังอาจทูล ทุกวันนี้บ้านเมืองเรา แทบไม่มีกฎหมายข้อไหนที่เหมาะสมอย่างแท้จริงพะยะค่ะ"
"ยกตัวอย่างให้ฟังหน่อยซิ ข้อไหนที่เจ้าว่าไม่เหมาะบ้าง"
พระ เจ้าจองโจทรงพูดคุยกับชองยายงอยู่นานสองนาน จนแชจีคยอมและนัมซาโชอดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะเวลาดึกมากแล้ว พระเจ้าจองโจยังตรัสกับชองยายงอีกว่า
"ในความคิดของเจ้าคือ ขุนนางโชซอนไร้ประสิทธิภาพ เพราะแสวงหาลาภยศมากกว่างั้นหรือ"
"ถูกแล้วพะยะค่ะ โบราณว่ามนุษย์เกิดมา จะมีกิเลสสองอย่าง คือแสวงหาความรู้และแสวงหาลาภยศ เราต้องยอมรับว่า นี่คือกิเลสโดยพื้นฐาน"
"แต่ เม่งจื๊อ เคยบอกว่า มีวิธียับยั้งกิเลสเหล่านี้ไง"
"ไม่พะยะค่ะ ท่านเม่งจื๊อ ไม่ได้ชี้แนะวิธีที่ชัดเจน"
"ไม่จริง ข้าว่าเจ้ามองโลกในแง่ร้าย"
"ขอทรงอภัย แม้เป็นพระราชาก็ไม่ควรเถียงส่งเดชนะพะยะค่ะ"
"เอาเถอะ งั้นข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าดู ตามข้ามาสิ"
พระเจ้าจองโจพาชองยายงมาที่ห้องสมุด ชองยายงตื่นตาตื่นใจมาก
"โห รวมบทกวีแห่งยุค ว้าว เล่มนี้ก็มีด้วย เฮ่อๆๆ"
"นี่ เจ้ามาดูสิ บทนี้เขียนไว้ว่า กิเลสทั้งปวง เกิดจากสิ่งยั่วยุและขาดความยับยั้งชั่งใจ"
" แต่ว่า ความหมายของท่านเม่งจื๊อไม่ใช่แบบนี้พะยะค่ะ ทรงอนุญาตให้หม่อมฉันเปิดบ้าง แหะ หึ บทนี้ตีความอย่างชัดเจน คนดีคือคิดดีทำดี ห่างไกลจากสิ่งยั่วยุทั้งปวง เหล่านี้ ล้วนเป็นความหมายให้คนใฝ่หาความดีพะยะค่ะ แหะ"
พระเจ้าจองโจทรงถูกพระทัยมาก ทรงเปลี่ยนเรื่องคุยต่อ
"เอาล่ะ เรามาคุยเรื่องดาราศาสตร์บ้าง ข้ากำลังคิดอยู่ว่า จะสร้างหอดูดาวให้เป็นกิจจะลักษณะหน่อย"
ชองยายงหาวนอน "เอ่อ แหะ ทรงอภัยด้วยพะยะค่ะ เรื่องสร้างหอดูดาว หม่อมฉันก็เห็นด้วย"
"เอาเถอะ เจ้าคงเหนื่อยแล้ว วันนี้พอแค่นี้"
"หา ไม่เป็นไรพะยะค่ะ พูดถึงเรื่องดาราศาสตร์ หม่อมฉันคุยได้ยาวเลย เพราะเป็นเรื่องที่ถนัด"
"พอทีเถอะ ข้าว่าไงก็ว่าอย่างงั้น อย่าพยายามเถียงได้ไหม"
"เอ่อ พะยะค่ะ"
"หึๆ จริงๆ ข้าก็เหนื่อยเหมือนกัน ไว้วันหลังค่อยคุยต่อ อีกอย่าง เรื่องที่เราคุยวันนี้ ทำรายงานมาให้ข้า เข้าใจหรือเปล่า"
"พะยะค่ะฝ่าบาท"
"เมื่อกี้ได้ยินว่า สนใจหนังสือปรัชญาใช่ไหม อ้า ชอบก็เอาไปอ่านซะ"
ชองยายงคาดไม่ถึง "อะไรนะ"
"บอกให้เอาไปไงเล่า"
"เอ่อ ฝ่าบาท หนังสือหายากแบบนี้ ยอมให้หม่อมฉันอ่านจริงหรือพะยะค่ะ"
" ใช่ ไม่เพียงแต่หนังสือ สิ่งที่ข้ามีทุกอย่าง ถ้าชอบก็แบ่งให้ได้หมด หรือต่อให้ข้าไม่มี จะส่งคนไปสรรหาตามที่เจ้าต้องการ เมื่อข้าใจกว้าง ก็หวังให้เจ้าตอบแทนบ้าง ใช้สติปัญญาที่เจ้ามี ทำงานเพื่อบ้านเมือง และราษฎรของเราให้เต็มที่"
0000000000000000
พระเจ้าจองโจทรงมีพระราชประสงค์ที่จะกวาดล้างพ่อค้าค้ามนุษย์ พระองค์จึงทรงมีรับสั่งให้คุมขังพ่อค้าต้าชิง
แชจีคยอมเข้ามาทูลรายงานพระเจ้าจองโจว่า
"ผู้ต้องหาทุกคนถูกคุมไปกองปราบ พรุ่งนี้จะเริ่มการไต่สวนพะยะค่ะ"
"แล้วพ่อค้าต้าชิงที่ถูกจับด้วยล่ะ"
หัวหน้าองครักษ์ทูลว่า "ทำตามพระบัญชา ถูกขังเช่นกันพะยะค่ะ"
"ดีมาก งานนี้ข้าจะให้กองปราบดำเนินการ ท่านช่วยไปสั่งการด้วย"
"พะยะค่ะ"
"แต่ว่าฝ่าบาท แล้วพ่อค้าต้าชิงที่ถูกจับมาจะทรงทำไงดีพะยะค่ะ" แชจีคยอมทูลถาม
"ทำยังไงหรือ หมายความว่าไงน่ะ"
"เพราะต้าชิงกำลังจะส่งทูตมาที่นี่ ถ้ารู้ว่าเรากักตัวพ่อค้าของพวกเขาไว้ ไม่แน่อาจทำให้เป็นเรื่องใหญ่ก็ได้"
" จะยังไงก็ช่าง เราไม่ควรปล่อยปละละเลยให้คนมาเหินเกริมในบ้านเมืองไม่ใช่หรือ แม้ว่าที่ปล่อยกู้คือคนของเรา แถมยังจับลูกหนี้ไปขาย แต่มีคนนอกช่วยสนับสนุน แล้วเราจะปล่อยได้ยังไง พวกเขามาหากินในบ้านเมืองเรา แล้วยังทำร้ายคนของเราอีก ข้าต้องให้รับโทษตามกฎหมายอย่างสาสม"
ชองยายงหอบหนังสือเดินมา พระเจ้าจองโจทรงทอดพระเนตรเห็นก็ทัก
"ท่าทางเหมือนจะยุ่งนะ"
"อ้อ ฝ่าบาท เฮ้ยๆๆ"
"ตามสบายเถอะ ไม่ต้องมากพิธี"
"ทรงอภัยด้วยพะยะค่ะ"
"ว่าแต่ หอบหนังสือเยอะแยะจะไปไหน"
"ทูลฝ่าบาท เป็นข้อมูลของแต่ละหน่วยงานที่ต้องดำเนินการพะยะค่ะ"
"งั้นหรือ ข้ารู้แล้ว ดูเหมือนหนังสือจะหนักมาก รีบไปเร็วเข้า"
"พะยะค่ะ" ชองยายงรีบเดินไป
นัมซาโชมองตามแล้วทูลว่า "นึกยังไงถึงไปอยู่ฝ่ายบุคลากรก็ไม่ทราบ ปกติคนที่สอบได้จอหงวน มักจะขอไปอยู่หน่วยงานสำคัญกว่านี้ทั้งนั้น"
"ปล่อยเขาไปเถอะ คงมีเหตุผลบางอย่าง"
ชอง ยายงนำหนังสือไปให้เหล่าขุนนาง และบอกว่าใครต้องการสิ่งใดให้หาเอาเอง สร้างความไม่พอใจให้เหล่าขุนนางไม่น้อย ขุนนางบางคนถึงกับไปบ่นกับแชซกจู
" ทุกท่านเห็นหนังสือที่ราชเลขาส่งมาหรือเปล่า บอกว่าเพื่อไม่ให้ฝ่ายปกครองมีอำนาจในการโยกย้าย ถึงขนาดจะกำหนดวาระในการดำรงตำแหน่งด้วยซ้ำ"
"นั่นยังไม่เท่าไหร่ จะมีการลดขุนนางระดับ 6 ลงไปกว่าครึ่ง หมอนั่นเป็นแค่จอหงวนใหม่ ช่างมีความคิดพิเรนทร์นัก ท่านเสนาขวา รู้จักคนชื่อชองยายงหรือเปล่า"
"ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นบัณฑิตที่สอบได้จอหงวน ข้ายังรู้มาว่า ทุกวันนี้ฝ่าบาททรงโปรดปรานเขานัก" แชซกจูกล่าว
"ฮึ่ม แล้วนี่แปลว่าอะไร มันจะกำแหง ถือว่าเป็นคนโปรดจนมาล้ำเส้นพวกเราหรือยังไง"
เวลานั้นชองยายงคุยกับเพื่อนและเพิ่งจะแยกกัน เขาก็พบกับชางแทวู
"อ้อ ท่านมหาเสนาฯ" ชองยายงทัก
"เจ้าก็คือจอหงวนใหม่ชื่อชองยายงหรือ"
"ท่านรู้จักข้าด้วยหรือครับ"
"คนดังอย่างเจ้า ใครไม่รู้จักก็แปลกล่ะ แนวคิดที่เจ้าเสนอ ข้าก็ได้อ่านเหมือนกัน ถึงจะไม่ค่อยรู้อะไร แต่ช่างเป็นคนใจกล้านักนะ"
"ท่านอ่านด้วยหรือครับ ขอบคุณใต้เท้ามาก"
" อย่าเพิ่งด่วนดีใจ อะไรกัน ที่ไปอยู่ฝ่ายบุคลากรเพื่อจะทำเรื่องพวกนี้น่ะหรือ ไปอยู่หน่วยงานที่ว่างที่สุด เพื่อจะได้เสนอแนวคิดพิศดารรายวัน อย่านึกว่าเป็นคนโปรดแล้วจะทำอะไรก็ได้ เจ้าไม่รู้หรอกว่าอะไรคือการเมือง อาศัยว่าเป็นคนหนุ่มไฟแรงคงไม่ช่วยอะไรหรอกนะ"
"เอ่อ เดี๋ยวครับใต้เท้า แหะ ถ้าแนวคิดของข้า ไม่ถูกใจท่าน ก็ขออภัยด้วย แต่ว่า สิ่งที่ข้านำเสนอหลายอย่าง ไม่ใช่เพื่อทำเล่นๆ น่ะครับ เพราะข้าเองก็รู้ ว่าขุนนางเก่าอย่างพวกท่าน คงไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาอยู่แล้ว ทุกวันนี้การเสนอนโยบายใหม่ มักมาจากขุนนางรุ่นหลัง ถ้าไม่ดีจริง ผุ้ใหญ่อย่างพวกท่านก็ควรให้คำชี้แนะ จากนั้นเมื่อมีการถกเถียงไปมา ย่อมมีจุดลงตัวสำหรับทุกฝ่าย ทำให้ข้า กล้าที่จะเสนอแนวคิดแผลงๆ เอ่อ อีกอย่าง ขอบคุณใต้เท้ามาก เมื่อข้ารู้ว่า ผู้ใหญ่อย่างท่าน ยอมเสียเวลาอ่านนโยบายเพ้อฝันที่ข้าเขียน แล้วก็ ไหนๆ ก็ไหนๆ คือ คุยถึงขั้นนี้แล้ว ข้าขอพูดต่ออีกหน่อยได้ไหมครับ"
"ฮึ่ม พูดอะไร"
" อยากจะ ขอยืมตำราที่ท่านเขียน,เล่มที่ชื่อ ซองซูลุน น่ะครับ คือ ผลงานอื่นๆ ของท่าน ข้าอ่านหมดแล้ว ขาดแต่เล่มนี้ ข้าจะรีบอ่าน แล้วคืนท่านโดยเร็ว ไม่ทราบว่า พอจะเมตตาได้ไหมครับ นะครับ ใต้เท้า"
ด้านแชซกจูนำเรื่องชองยายงไปทูลพระหมื่นปีจองซุน
"ชองยายงน่ะหรือ"
"ถัดจากฮงกุกยอง หมอนี่เหมือนจะมาแทนที่ยังไงอย่างงั้น"
" คอยจับตาดูไปอีกซักพักเถอะ เพราะสิ่งที่เราต้องห่วงไม่ใช่คนๆ นี้ วันก่อนฝ่าบาททำให้ข้าคิดได้อย่างหนึ่ง เขามีราชโองการของอดีตพระราชา และพร้อมจะไล่ข้าออกจากวังได้ทุกเมื่อ"
"อะไรนะ ราชโองการของอดีตพระราชาหรือ"
"นี่แหละคือประเด็นสำคัญ จริงๆ แล้วเขามีอะไรอยู่ในมือหรือเปล่า เราต้องสืบให้รู้ถึงจะวางใจ หึ"
ซอง ซงยอนรู้สึกคลื่นไส้ จึงไปขอรับการตรวจจากหมอหลวง หมอหลวงตรวจดูอาการของซองซงยอนอย่างละเอียดว่านางตั้งครรภ์หรือไม่ โดยให้ซองซงยอนกินยาอีก 5 วัน แล้วจะมาตรวจอีกทีก็จะทราบผลแน่นอน ซองซงยอนจึงสั่งไม่ให้หมอหลวงกับโชบีบอกใคร
ระหว่างทางกลับซองซงยอนกับโชบีเห็นปาร์คยองมุนพาขุนนางต้าชิงเข้ามา และซองซงยอนรู้จักจึงเข้าไปทักทาย และถามว่า
"ไปไงมาไงคะนี่ ทำไมอาจารย์มาที่นี่ได้ล่ะ"
"ใต้เท้ามากับคณะทูตน่ะครับ"
"เพราะอยากรู้ข่าวของซองซังกุง ถามใต้เท้าปาร์คก็บอกว่าเข้าวังแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย" ขุนนางต้าชิงแสดงความยินดี
"แล้วท่านล่ะคะ สบายดีหรือเปล่า ตอนเกิดการเปลี่ยนแปลง ได้ยินว่าท่านออกจากกรมศิลปะของต้าชิง จากนั้นก็เงียบหาย ไม่มีข่าวอีก"
"ดีที่เหตุการณ์สงบลง ข้าจึงได้กลับไปทำงานอีกครั้งน่ะครับ ว่าแต่ ทุกวันนี้ท่าน คงจะไม่เขียนรูปอีกแล้วใช่ไหม"
"หึ ได้แต่เขียนเป็นงานอดิเรก ไม่เหมือนเมื่อก่อนน่ะค่ะ"
" งั้นหรอกหรือ ก่อนมานี่ ยังนึกว่าจะได้เห็นผลงานใหม่ๆ ของท่านบ้าง กลับต้องผิดหวังซะแล้ว อ้อ จริงสิ ไม่ทราบว่า ท่านยังจำใต้เท้า จางหย่วนเหวย ได้หรือเปล่า"
"อ้อ จำได้สิคะ จำได้ ตอนอยู่ต้าชิง ข้าเคยเขียนรูปทิวทัศน์ให้เขาดูด้วยซ้ำ"
"ใช่ ที่มาคราวนี้ เขาเป็นหัวหน้าคณะทูต มาพร้อมกับข้าด้วย"
"อ้อ จริงหรือคะ แล้วใต้เท้าจางเป็นไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า"
"สบายดีครับ"
ด้านจางหย่วนเหวยทูตต้าชิงเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจ
"ทุกท่านมาไกลคงจะเหนื่อย การเดินทางไม่มีปัญหาใช่ไหม"
"ไม่มีพะยะค่ะ เพราะฝ่าบาททรงอำนวยความสะดวก การเดินทางเที่ยวนี้จึงสบายขึ้น" จางหย่วนเหวยทูล
"เฮ่อๆๆ งั้นก็ดีแล้ว ข้าได้กำชับคนที่ดูแล ขาดเหลืออะไรก็ไปบอกพวกเขาได้นะ"
"ขอบพระทัยฝ่าบาท"
"ถ้าอย่างงั้น ข้าจะพาไปที่พักก่อน"
"พะยะค่ะ"
และเมื่อพูดคุยถึงจุดประสงค์การมาของจางหย่วนเหวย พระเจ้าจองโจก็ทรงไม่พระทัย
"ท่านบอกว่าไงนะ ให้ข้าปล่อยพ่อค้าต้าชิงที่ถูกจับมางั้นหรือ"
" พะยะค่ะ ระหว่างที่มาเมืองหลวง ได้ยินว่าทางการโชซอนได้จับกุมพ่อค้าของเราไว้ อภัยที่หม่อมฉันขอทูลว่า พวกเขาเป็นราษฎรของเรา ถึงทำผิดกฎหมายก็ควรจับตัวไว้ แล้วส่งกลับให้เราลงโทษเอง"
"แต่คนกลุ่มนี้ ทำความผิดในโชซอน อีกทั้งพยานหลักฐานพร้อม เราจึงต้องเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ด้วยเหตุนี้คงมอบตัวให้ท่านไม่ได้"
"ถ้าอย่างงั้น หม่อมฉันจะพากลับไปรับโทษตามกฎหมาย และจะลงโทษให้หนัก ตามกฎหมายของต้าชิง"
" ไม่ ข้าไม่เห็นด้วย เพราะว่า ข้าไม่เชื่อว่าต้าชิงจะลงโทษพวกเขา ให้สาสมกับความผิด เพราะนี่ เป็นเรื่องที่กดขี่ราษฎรของเรา พวกท่านคงไม่เห็นความสำคัญ จริงหรือเปล่า ยังไงก็ขอบอกอีกครั้ง ข้อเสนอนี้ข้ายอมรับไม่ได้ เมื่อพวกเขาทำผิด ก็ต้องรับโทษตามกฎหมายโชซอน ฉะนั้น จงอย่าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก"
"ฝ่าบาท จะไม่ยอมรับปากจริงหรือ"
"ใช่"
"ในเมื่อฝ่าบาททรงยืนกราน งั้นก็ตามพระทัย หม่อมฉันคงไม่มีอะไรจะทูลอีก"
แชจีคยอมทูลพระเจ้าจองโจว่าเรื่องคงไม่จบง่ายๆ แน่ พระเจ้าจองโจทรงให้ตามชองยายงมาพบ
" นี่คือ ข้อพิพาทที่เกิดตั้งแต่สมัยต้าหมิงถึงต้าชิง เหมือนที่พวกเขาบอก มีผู้ลักลอบเข้าเมืองตั้งแต่สมัยก่อน ไปมาระหว่างสองประเทศพะยะค่ะ" ชองยายงทูล
"แต่คราวนี้ไม่เหมือนกัน พวกเขาไม่ได้ลับลอบเข้าเมือง แต่ทำผิดกฎหมายของเรา"
" แต่ว่า กรณีนี้ไม่เคยเกิดมาก่อน อีกทั้งไม่มีข้อมูลอ้างอิงด้วย สัญญาที่ทำไว้กับต้าชิง ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการค้าในเขตชายแดน ไม่ให้มีการล่วงล้ำอาณาเขต และเดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยมีผลมากนัก"
"ถ้าไม่ เคยเกิดมาก่อน พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์มาบังคับเรา แต่ยังไง พวกเขาต้องหาข้ออ้างแน่ เจ้าไปปรึกษากับเจ้าหน้าที่หอตำราดู หาช่องทางแก้ปัญหานี้ให้ได้ จะเอาคดีอื่นมาเปรียบเทียบก็ไม่ว่า สรุปคืออย่าให้เราเสียเปรียบ เข้าใจมั้ย"
"พะยะค่ะ"
ชองยายงไปพบเชกาและลงมือหาข้อมูลกัน
เวลาต่อมาหัวหน้าองครักษ์เข้ามาทูลพระเจ้าจองโจว่ามีเรื่องด่วน
"ว่าไงนะ พวกเขาส่งทหารไปที่กองปราบหรือ"
" พะยะค่ะฝ่าบาท เห็นบอกว่า ทหารที่มากับคณะทูต ได้บุกไปถึงกองปราบ เรียกร้องให้ปล่อยพ่อค้าต้าชิง ทำให้ทหารสองฝ่ายเกิดการเผชิญหน้าพะยะค่ะ"
"ส่งหน่วยพิเศษไปดูแล อย่าให้เกิดการปะทะขึ้น" พระเจ้าจองโจสั่งแชจีคยอม
"พะยะค่ะ"
"ต้องระวังอย่าให้เรื่องบานปลายกว่านี้ เพราะถ้าสองฝ่ายใช้กำลังจริง สุดท้ายจะกลายเป็นสงครามระหว่างประเทศ"
"ทราบแล้วพะยะค่ะ"
พระมเหสีโยอึยทรงอยู่กับซองซงยอนและทราบเรื่องก็ตกพระทัย
"อะไรนะ ทหารต้าชิงบุกรุกกองปราบของเรา ทำไมเป็นอย่างงั้นล่ะ"
"พระมเหสี"
"เฮ่อ ทำไมเกิดเรื่องแบบนี้ได้นะ แล้วยังไง ทางการจะทำไงกับเรื่องนี้"
คิม ซังกุงทูลว่า "ตอนนี้เห็นว่ายังหาทางออกไม่ได้เลยเพคะ แต่ก็น่าเป็นห่วงไม่น้อย ถ้าสองฝ่ายเกิดการปะทะจริง อาจบานปลายไปถึงสงครามก็ได้นะเพคะ"
พระมเหสีโยอึยถึงกับทรงหอบ ซองซงยอนฟังแล้วก็คิดหนักเช่นกัน
ซอง ซงยอนไปขอเข้าเฝ้าพระพันปีเฮคยอง แต่พระนางไม่ยอมให้เข้าเฝ้า ซองซงยอนบอกว่ามีเรื่องสำคัญมากต้องทูลขอพระพันปีเฮคยอง พระสนมวาพินมาเห็นจึงเข้าไปทูลขอพระพันปีเฮคยองให้ จนซองซงยอนได้เข้าเฝ้า
"ว่ามา มีเรื่องด่วนอะไรนักหนาถึงอยากพบข้า"
"หม่อมฉันขอบังอาจทูลว่า ถ้าไง จะขออนุญาตออกนอกวังซักครั้งได้ไหม เพคะ"
"ซองซังกุง นี่เจ้าเอาอะไรมาพูดน่ะ จะออกไปข้างนอกงั้นหรือ"
" พระพันปีอย่าทรงกริ้ว ที่หม่อมฉันต้องการออกไปไม่ใช่เพราะเรื่องส่วนตัว ตอนนี้ราชสำนัก กำลังมีข้อพิพาทกับทูตจากต้าชิง จนอาจเกิดการกระทบกระทั่งได้ทุกเมื่อ หม่อมฉัน พอมีวิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้เพคะ"
"อะไรนะ"
"จึงมาขออนุญาต ให้หม่อมฉันออกไปข้างนอกซักครั้ง จะได้ไหมเพคะ"
เวลานั้นเหล่าขุนนางไปรอที่ท้องพระโรง พระเจ้าจองโจเสด็จมา
"ฝ่าบาท ตอนนี้ยังไม่สาย ที่จะปล่อยตัวพ่อค้าต้าชิงที่ถูกจับมาพะยะค่ะ" ขุนนางท่านหนึ่งทูลทันที
" นั่นสิพะยะค่ะ หากเพราะเรื่องแค่นี้ ทำให้บาดหมางกับต้าชิง เราจะกลายเป็นได้ไม่คุ้มเสีย ฉะนั้น ทำตามข้อเรียกร้องของพวกเขาจะดีกว่า"
" แต่ว่า จากอดีตถึงปัจจุบัน เรายอมอ่อนข้อให้ต้าชิงตั้งเท่าไหร่แล้ว กลัวจะบาดหมางกับพวกเขา กลัวจะทำให้พวกเขาไม่พอใจ ถึงเราเป็นฝ่ายถูกก็ไม่สามารถอ้างเหตุผลได้"
"แต่คราวนี้ ที่พวกเขาต้องการ เพียงแค่นักโทษไม่กี่คนเท่านั้น มันจะคุ้มแล้วหรือ หากจะเอาทั้งประเทศไปแลกด้วย เรื่องแค่นี้ น่าจะให้ยุติง่ายๆ ซะ"
" เมื่อยุติแล้ว คิดว่าพวกเขาจะไม่เอาเปรียบมากกว่านี้อีกหรือ ฝ่าบาท หม่อมฉันขอบังอาจทูล เรื่องนี้เราไม่ควรอ่อนข้อง่ายๆ แม้จะเป็นเจ้าอาณานิคมก็เถอะ จะมาใช้กำลังบังคับให้เรามอบตัวคนที่ทำผิดได้ยังไง หม่อมฉันเห็นว่า ต่อให้เรื่องนี้ยิ่งบานปลาย ก็ไม่ควรทำตามข้อเรียกร้องของพวกเขาโดยไม่มีเหตุผล เพราะวันนี้อาจจะแค่ให้มอบตัวนักโทษก็จริง ใครจะรู้ว่าวันข้างหน้า จะบังคับให้มอบแผ่นดินหรือไม่ก็ราษฎรไปเป็นทาสหรือเปล่า"
"หม่อมฉันเห็น ด้วยกับท่านมหาเสนาบดี ถ้าดูในภาพรวม เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความมั่นคงของบ้านเมือง ถ้าไม่สามารถลงโทษคนที่ทำความผิดได้ แล้วเราจะดูแลสวัสดิภาพของราษฎร ให้บ้านเมืองร่มเย็นได้ยังไง"
พระเจ้าจองโจทรงกลับมาคิดหนัก ชองยายงก็เข้ามาเฝ้า
"อะไรนะ ราชสาส์นหรือ"
" ถูกแล้วพะยะค่ะ หม่อมฉันนึกถึงล่ามที่เคยไปต้าชิง อาจมีความรู้บ้าง จึงไปขอคำปรึกษา ในสมัยพระเจ้ายอนจง ก็เคยเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ แต่ได้รับราชสาส์นจากฮ่องเต้ต้าชิง ทางเราก็ถือว่าเป็นการให้เกียรติ จึงยอมส่งนักโทษให้กลับไปหมด"
"แล้วความหมายของเจ้าคืออะไร ให้ไปขอราชสาส์นจากฮ่องเต้ เพื่อดึงเวลาไม่ให้เกิดการปะทะงั้นหรือ"
"พะยะค่ะ รับสั่งถูกต้องแล้ว มีเวลาให้หน่อย เราจะหาวิธีรับมือพวกเขาได้ง่ายขึ้น"
"แต่คิดว่าพวกทูตจะยอมรับเงื่อนไขนี้หรือ"
"ถ้าแค่นี้ยังไม่ยอมรับ ฝ่าบาทก็ทรงยืนกราน ให้พวกที่นึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่นัก ได้เห็นจุดยืนของเราบ้าง"
พระเจ้าจองโจเสด็จไปพบจางหย่วนเหว่ย
"เรื่องแค่นี้ทำให้บานปลาย ท่านไม่คิดว่าวู่วามไปหน่อยหรือ"
" หม่อมฉันต้องขออภัย แต่จะโทษหม่อมฉันก็ไม่ถูก เพราะคนที่ปฏิเสธคำขอ คือฝ่าบาทต่างหาก แล้วตอนนี้ คิดจะทำไงต่อ ถึงขั้นนี้แล้ว ยังทรงยืนกรานไม่ปล่อยคนอีกหรือ"
"ขอราชสาส์นมาก่อน"
จางหย่วนเหว่ยตกใจ "หา"
"ถ้ามีราชสาส์นจากฮ่องเต้ต้าชิง ถึงตอนนั้น ข้าก็จะมอบคนให้"
"ฝ่าบาท"
" เท่าที่รู้ ในสมัยพระเจ้ายอนจงของเรา ก็เคยเกิดกรณีแบบนี้ ตอนนั้นราชสำนัก ได้รับราชสาส์นจากฮ่องเต้ของท่าน จึงยอมปล่อยนักโทษ ข้าจึงอยากให้ท่าน ทำตามกฎที่เคยมีมา"
"หึ ราชสาส์นหรือ ไม่นึกว่าฝ่าบาทจะทรงใช้วิธีนี้ แสดงว่า ระหว่างที่รอราชสาส์นจากฮ่องเต้ ทางนี้อาจจะทำอะไรบางอย่างไปก็ได้"
"จะคิดยังไงก็ช่าง นี่คือข้อเสนอจากข้า"
"หึ เอางั้นก็ได้ฝ่าบาท หม่อมฉันจะนำราชสาส์นมาให้ และไม่ต้องรอนาน หม่อมฉันสามารถวายต่อฝ่าบาทเดี๋ยวนี้ด้วยซ้ำ"
พระเจ้าจองโจทรงเป็นฝ่ายตกพระทัยเอง "อะไรนะ"
" ฝ่าบาทก็ทรงทราบดี หม่อมฉันมาในฐานะผู้แทนพระองค์ ฉะนั้น สิ่งที่หม่อมฉันทำทุกอย่าง ก็ด้วยพระนามแห่งฮ่องเต้ ด้วยเหตุนี้ ถ้าหม่อมฉันจะมอบราชสาส์นก็ไม่ใช่เรื่องผิด ทรงพอพระทัยหรือยัง ขอเพียงให้หม่อมฉัน มอบราชสาส์นก็พอใช่ไหม"
"อะไรนะท่านทูต"
จบ 69

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน 70

นัมซาโชทูลพระเจ้าจองโจว่าทหารทั้งสองฝ่ายใช้กำลังกัน จนมีบางส่วนได้รับบาดเจ็บ พระเจ้าจองโจรีบเสด็จไปดู หัวหน้าองครักษ์ทูลว่า
"ทรงอภัยด้วยพะยะค่ะ ที่จริงเราน่าจะเลี่ยงการปะทะ ใช้การเจรจา ให้พวกเขาอ่อนข้อก็ยังดี"
"ไม่หรอก พวกเขายืนกรานมาแต่แรก ไม่ยอมรับฟังเหตุผลจากเราท่าเดียว แล้วพวกเขามีคนบาดเจ็บหรือเปล่า"
เท ซูทูลว่า "คิดว่าไม่มีใครเจ็บหนักพะยะค่ะ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุรุนแรง คนของเราจึงใช้สันดาบต้านรับ และ ที่ฝ่ายเราบาดเจ็บมากกว่า ก็เพราะสาเหตุนี้แหละพะยะค่ะ"
"แต่ว่า ถึงเราไม่ใช้กำลังก็ใช่จะแก้ปัญหาได้" ซอจังบูทูล
คังซกกีทูลต่อว่า "ในเมื่อสองฝ่ายเกิดการปะทะแล้ว ถ้าเจอหน้าอีก โอกาสจะเกิดซ้ำก็มีมากขึ้นพะยะค่ะ"
"ใช่ น่าจะเป็นอย่างงั้น" พระเจ้าจองโจทรงเห็นด้วยเช่นกัน
แชซกจูกล่าวว่าไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดเรื่อง ชางแทวูคิดว่าเป็นแผนที่ทางต้าชิงวางไว้ ชางยายงจึงทูลพระเจ้าจองโจว่า
" ข้อนี้หม่อมฉันก็สงสัยพะยะค่ะ ตอนนั้นฝ่าบาทกำลังเจรจากับท่านทูตอยู่ แทนที่พวกเขาจะรอฟังผลก่อน กลับสั่งให้ใช้กำลังต่อสู้ หม่อมฉันว่าเรื่องนี้ น่าจะมีการวางแผนไว้แต่แรก"
"แต่ว่า มีเรื่องหนึ่งที่ข้าแปลกใจ พอรู้ว่าสองฝ่ายเกิดการปะทะ สีหน้าท่านทูตก็ตกใจมาก ถ้าพวกเขาเตรียมการไว้ก่อน แล้วที่ท่านทูตแสดงความตกใจ เราจะอธิบายยังไง ข้าว่าเรื่องนี้ น่าจะมีอะไรแอบแฝงมากกว่า ลำพังแค่จะช่วยพ่อค้าไม่กี่คน ทำไมต้องมีท่าทีแข็งกร้าวขนาดนี้ ต้นสายปลายเหตุ รีบไปสืบให้รู้ ให้เวลาถึงคืนนี้ ทำได้หรือเปล่า"
"ไม่ต้องนานขนาดนั้น หม่อมฉันจะสืบให้ได้ก่อนเย็นนี้"
พระเจ้าจองโจก็ทรงคิดว่าทำไมทางต้าชิงถึงดึงดันให้ปล่อยคนถึงขนาดนี้
พระพันปีเฮคยองให้ลีซังกุงไปตามซองซงยอนมาเฝ้าด่วน
"เหตุปะทะระหว่างทหารต้าชิงและคนของเรา เจ้าคงรู้แล้วใช่ไหม"
"เอ่อ ทราบเพคะ"
"หึ แล้วมีวิธีแก้ปัญหามั้ย ข้าถามเจ้าว่าสามารถคลี่คลายความตึงเครียดระหว่างสองฝ่ายได้หรือเปล่า"
"หม่อมฉันคงไม่อาจให้คำมั่นในตอนนี้ แต่ว่า จะพยายามอย่างสุดความสามารถเพคะ"
" งั้นหรือ ถ้างั้น ข้าจะอนุญาตให้เจ้าออกจากวังซักครั้งก็ได้ ฉะนั้น ไม่ว่ายังไง ถ้าเป็นสิ่งที่เจ้าทำได้ ต้องพยายามช่วยฝ่าบาทให้เต็มที่ เข้าใจหรือเปล่า"
"ทราบแล้วเพคะ หม่อมฉัน จะทำงานนี้ให้สำเร็จให้ได้"
ซองซงยอนพยายามจะเข้าพบท่านทูตต้าชิงจางหย่วนเหว่ยให้ได้ แต่ขุนนางต้าชิงซึ่งเป็นอาจารย์ของซองซงยอนไม่ยอมให้พบ
"ต้องขออภัย เห็นทีจะให้เข้าพบท่านทูตไม่ได้"
"แต่ข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับท่านทูต รบกวนไปบอกหน่อยได้ไหมคะ" ซองซงยอนอ้อนวอน
"บอกแล้วว่าไม่ได้ ใต้เท้ามีคำสั่ง ห้ามชาวโชซอนมาอยู่ในเรือนรับรองแห่งนี้ ฉะนั้น เชิญท่านกลับไปซะ ไปส่งซังกุงเดี๋ยวนี้"
" เดี๋ยวก่อน คนที่ออกคำสั่ง บอกให้เจ้าแสดงกิริยาสามหาวต่อข้าด้วยหรือ มีเหตุผลอะไรถึงไม่ให้พบ ช่างไม่ให้เกียรติเจ้าของบ้านนัก อีกอย่าง ชั่วดียังไงข้าก็เป็นสนม อุตส่าห์มาขอร้อง ยังกล้าปฏิเสธซึ่งหน้าอีกหรือ"
จางหย่วนเหว่ยออกมา "ห้ามเสียมรรยาท ทุกคนถอยไปก่อน ขออภัยอย่างยิ่ง เชิญข้างใน"
"แต่ว่าใต้เท้า"
" คนที่เชิญนางมา ก็คือข้า หญิงคนนี้ ข้าเคยรู้จัก สมัยที่นางไปต้าชิง จึงมาเยี่ยมในฐานะเพื่อนเก่า พวกเจ้าไม่ต้องยุ่ง เข้าใจมั้ย เชิญข้างใน"
ขุนนางท่านนั้นสั่งให้ลูกน้องไปฟังว่าทั้งสองคุยอะไรกัน
"ซองซังกุงสบายดีใช่ไหม"
"ค่ะ"
"ได้ยินว่าท่านได้เป็นสนม เคยคิดจะไปเยี่ยม แต่เนื่องจากฐานะไม่เอื้อ เลยต้องรบกวนให้มานี่ ต้องขอโทษด้วยนะ"
" อ้อ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เรื่องแค่นี้อย่าใส่ใจเลย จริงๆ แล้ว ที่ข้ามาวันนี้ เพราะมีเรื่องหนึ่งจะขอถามท่าน เท่าที่ข้ารู้จักท่าน ต่อให้ดูรูปภาพ ยังให้เกียรติผู้เป็นเจ้าของผลงาน ไม่มีทางมาเพื่อกดขี่ชาวโชซอนแน่ เอ่อ สิ่งที่ท่านทำกับเรา ข้าเชื่อว่าคงมีสาเหตุเบื้องหลังบางอย่าง ช่วยบอกได้ไหมว่า อะไรทำให้ท่านตัดสินใจแบบนี้น่ะค่ะ"
"เฮ่อๆๆ แม้แต่วิธีการดูภาพของข้ายังจำได้อีกหรือ อาจเพราะว่า การวิจารณ์ผลงานคนอื่น ต้องอยู่บนพื้นฐานของมรรยาท ว่าแต่ทุกวันนี้ซังกุง คงจะเลิกเขียนรูปแล้วสินะ"
"ใต้เท้า ข้าไม่ได้หมายความอย่างงั้นค่ะ"
" งั้นต้องขออภัย หากจะคุยเรื่องอื่นละก้อ ข้าคงไม่มีเวลา นานๆ ได้พบกัน ขอแค่ถามไถ่ทุกข์สุขตามประสาเพื่อนก็พอแล้ว ฉะนั้น ถ้าจะมาพูดเรื่องอื่นละก้อ เห็นทีจะมาเสียเที่ยวแล้ว"
ซองซงยอนผิดหวังออกมา และพบกับขุนนางที่เป็นอาจารย์
"เมื่อกี้ ต้องขออภัยที่ข้าเสียมรรยาทด้วย"
"หึ ไม่เป็นไรค่ะ ข้าเข้าใจดีว่าท่านเองก็วางตัวลำบาก"
"ขอบคุณที่เข้าใจ"
"งั้นข้าขอตัวก่อนนะคะ"
"เดี๋ยวก่อน คือ เอานี่ไปด้วย"
"นี่คืออะไรหรือคะ"
"ท่านทูตบอกว่า ให้เอาภาพนี้มามอบให้ท่านน่ะครับ"
"ท่านทูตหรือคะ"
"เป็นการแสดงความยินดี ที่ท่านได้เป็นสนมของพระราชา ยังมีกลอนอวยพร ให้ท่านมีแต่ความโชคดี"
"กลอนอวยพรหรือคะ"
"ใช่ครับ"
เวลานั้นพระเจ้าจองโจทรงทราบว่าพวกต้าชิงมีการเคลื่อนพลมาที่โชซอน เชกาฟังแล้วก็สงสัย
"เคลื่อนพลอะไรกัน พูดแบบนี้หมายความว่าไง อย่าบอกนะว่า ต้าชิงคิดจะเปิดศึกกับเราหรือไง"
"น่าจะใช่" ชองยายงตอบ ทุกคนตกใจ
"มีเหตุผลอะไร ทำให้เจ้าคิดว่าพวกเขาจะเปิดศึกกับเราน่ะ" พระเจ้าจองโจตรัสถาม
" ฝ่าบาทก็ทรงทราบดี นับแต่ต้าชิงเปลี่ยนฮ่องเต้องค์ใหม่ บ้านเมืองก็ได้เกิด จราจลหลายครั้ง ทำให้ผู้คนล้มตายนับไม่ถ้วน และทางการก็ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณในการปราบปราม จึงวางแผนก่อความไม่สงบในประเทศรอบข้าง เพื่อกันไม่ให้คนของตัวเองย้ายหนีพะยะค่ะ"
"ข้อนี้ก็อาจเป็นไปได้ แต่แค่นี้ เราจะสรุปว่าพวกเขาต้องการเปิดศึกกับเราได้ยังไง"
"ยังมีอีกเรื่อง เช้าวันนี้มีคำสั่งออกจากที่พักของทูต แต่คนเดินสาส์นไม่ได้ไปทางต้าชิง แต่ไปเมือง กวางจิน แทน"
"กวางจินเป็นเมืองหน้าด่านของทะเล ตงแฮ เส้นทางนี้ ตรงไปเมืองต้าเหลียน ซึ่งเป็นฐานทัพของต้าชิงนี่นา" พระเจ้าจองโจตรัส
" ถูกแล้วพะยะค่ะ หม่อมฉันเชื่อว่าพวกเขาวางแผนแต่แรกที่จะทำแบบนี้อยู่แล้ว เพราะเสียเงินไปกับการปราบจราจลหลายครั้ง และชาวบ้านก็เริ่มเบื่อหน่าย เพื่อกู้ศรัทธาคืนมา พวกเขาจึงให้เราเป็นแพะรับบาปแทน"
ซองซงยอนนำภาพที่ได้จากจางหย่วนเหว่ยมาให้พระเจ้าจองโจทอดพระเนตร
"นี่คือภาพที่ท่านทูตมอบให้เจ้าหรือ"
"ใช่แล้วเพคะ แต่ทรงทอดพระเนตรบทกวีที่เขาเขียนให้ก่อน"
" ป่าร้างไม้ผลัดใบ เดียวดายอยู่ในสวน กระทบสายลมเย็นยะเยือก ผสานดวงจิตที่เปลี่ยวเหงาเศร้าซึม เป็นผลงานของกวีชื่อ ชูฮุง ไม่ใช่หรือ"
" เพคะ ถูกต้องแล้ว ท่านทูตบอกว่าเป็นบทกลอนอวยพรให้หม่อมฉัน แต่ดูแล้ว กลับเอาผลงานของ ชูฮุง มาใส่แทน ซึ่งมันน่าแปลก หรือเขาจะมีความหมายอื่นสื่อถึงฝ่าบาทหรือเปล่า แต่ไม่กล้าพูดตรงๆ ออกมา หม่อมฉันจึงได้ทูลเชิญ ให้ฝ่าบาทมาทอดพระเนตรเอง ทรงอภัยด้วยเพคะ หม่อมฉันมีความเห็นว่า อาจเป็นความนัยบางอย่างที่เขาจะสื่อถึงเราก็ได้"
"อะไรนะ"
" เท่าที่หม่อมฉันรู้จัก ท่านทูตไม่ใช่คนที่จิตใจคับแคบนัก ไม่แน่ว่า จะเป็นเหมือนที่เขาเขียนมา มีเรื่องบางอย่างจะทูลฝ่าบาท แต่เพราะสิ่งแวดล้อมไม่อำนวย ทำให้ไม่กล้าเอ่ยปากก็ได้ ฉะนั้นฝ่าบาท น่าจะทรงหาวิธีอื่น เพื่อคุยกับเขาดีมั้ยเพคะ ถ้าสามารถทำได้จริง ไม่แน่ปัญหานี้อาจคลี่คลายง่ายๆ ก็ได้"
พระเจ้าจองโจทรงคิดใคร่ครวญและสั่งให้ตามแชจีคยอมมาเฝ้า พร้อมให้คนไปที่หอตำราตามทุกคนมาพบ
เวลานั้นทหารโชซอนมาล้อมที่พักของจางหย่วนเหว่ย ทำให้ทุกคนไม่พอใจ ยกเว้นจากหย่วนเหว่ย
"ใต้เท้า เราเป็นทูตจากต้าชิง,พวกเขายังมาปิดล้อม ทำไมโชซอนถึงได้บังอาจขนาดนี้ ทำแบบนี้ แสดงว่าจงใจเป็นศัตรูกับเราชัดๆ"
จางหย่วนเหว่ยย้อนว่า "แล้วยังไง ท่านอยากให้โชซอนบาดหมาดกับเราอยู่แล้วนี่"
"ใต้เท้า ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ"
"ตอนนี้ก็ถือว่าสมใจแล้ว ที่เหลือ ก็รอแค่ทหารชิงยกทัพมาเปิดศึกเท่านั้น"
"ใต้เท้า ยังไงเราก็ไม่อยู่เฉย กลายเป็นตัวประกันของโชซอน ก่อนที่เรื่องจะเลวร้ายกว่านี้ เราต้องทำอะไรบางอย่าง"
แชจีคยอมมาพบจางหย่วนเหว่ย ซึ่งจางหย่วนเหว่ยบอกว่า
"ข้าต้องการจะขอเข้าเฝ้า จะไปวังหลวงเดี๋ยวนี้เพื่อเฝ้าฝ่าบาท ปัญหาทุกอย่างจะมีการเจรจาอีกครั้ง แต่ตอนนี้ถอนทหารไปก่อน"
" เรื่องนี้เราเห็นจะทำตามไม่ได้ ฝ่าบาทมีรับสั่ง จะไม่ทำตามเงื่อนไขของพวกท่าน ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น ที่แล้วมา เรามีแต่ความเป็นมิตร แต่พวกท่านจ้องจะทำให้เราไม่สบายใจ จึงไม่อยากฟังคำแก้ตัวใดๆ อีก แต่ว่า เพื่อไม่ให้บีบคั้นจนเกินไป และเพื่อแสดงความเคารพต่อฮ่องเต้ต้าชิง จึงอนุญาตให้ท่าน ไปเข้าเฝ้าคนเดียว ฉะนั้นถ้าจะมีอะไรทูลอีก ก็เชิญไปเข้าเฝ้าเพียงลำพัง"
จางหย่วนเหว่ยมาเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจ
"ท่านมาแล้วหรือ เชิญนั่ง"
"พะยะค่ะ"
"คิดว่าท่านคงจะรู้ ว่าการเชิญมาที่นี่ ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก"
"เป็นเพราะว่า ซองซังกุงเข้าใจความหมายที่หม่อมฉันจะสื่อให้ฝ่าบาททรงทราบใช่ไหม"
" ถูกต้อง ตอนที่นางให้ข้าดูภาพนี้ ยังได้ย้ำเตือนว่า ท่านคงมีเรื่องบางอย่างจะพูด ถ้านางเดาไม่ผิดละก้อ เมื่อท่านมานี่แล้ว พอจะบอกข้าได้ไหม"
"ทุกวันนี้ต้าชิง พยายามทำทุกอย่างเพื่อเรียกศรัทธาจากผู้คนคืนมา เพราะก่อนหน้านี้ ได้เสียเงินเพื่อปราบจราจล จนท้องพระคลังร่อยหรอไปมาก ด้วยเหตุนี้ ทำให้เหล่าขุนนางยิ่งเกิดความแตกแยก จึงมีบุคคลบางกลุ่ม หวังจะเปิดศึกกับโชซอน หากได้ชัยชนะก็จะได้ทั้งคำชมและสิ่งของ"
"แต่ว่า การทำแบบนี้ ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา ถ้าเกิดสงครามจริง รังแต่ทำให้สองฝ่ายยิ่งสูญเสีย พวกเขาไม่คิดบ้างหรือ"
" หม่อมฉันก็คิดเช่นเดียวกับฝ่าบาท การเปิดศึกกับประเทศอื่น เพื่อกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจของตัวเอง ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ถูก แต่ว่า การจะต่อต้านพวกเขา โดยหม่อมฉันเพียงคนเดียวนั้น เป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้"
"ไม่หรอกท่าน ท่านคิดผิดซะแล้ว"
"ฝ่าบาท"
" ถ้ายอมมาร่วมมือกับเรา ท่านจะมีอำนาจต่อรองมากขึ้น หรือจะว่าไง ข้ามีความคิดอย่างหนึ่งมานาน และเห็นว่า น่าจะเป็นทางออกที่ดี เพราะสุดท้ายแล้ว ก็คือผลประโยชน์ต่างตอบแทน"
"ฝ่าบาท วิธีของพระองค์ก็คือ"
"ข้าจะช่วยท่านแก้ปัญหา ในขณะที่ท่าน ก็ช่วยข้าอีกแรงได้หรือเปล่า"
"ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เข้าใจ"
พระเจ้าจองโจทรงตรัสถามชองยายงและพวกเชกาว่าของที่สั่งไปถึงไหนแล้ว
"เรากำลังตรวจสอบที่มีอยู่ในคลังเสบียงทั้งหมด"
"หากไม่พอจริงๆ จะให้ขุนนางท้องถิ่นส่งมาเพิ่ม คิดว่าคงไม่มีปัญหาพะยะค่ะ"
"หึ นี่คือข้อเสนอที่เราจะต่อรองกับทูตต้าชิง ส่งไปให้เจ้ากรมวังช่วยจัดการด้วย"
"พะยะค่ะ" แชจีคยอมน้อมรับ
"การประชุมที่ท้องพระโรงล่ะ"
"ตอนนี้ขุนนางทั้งหลาย มารออยู่แล้วพะยะค่ะ"
"ถ้าอย่างงั้น ข้าคงต้องไปเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาเชื่อฟัง"
ทางด้านจางหย่วนเหว่ยก็นำเรื่องนี้ไปบอกเหล่าขุนนางต้าชิง
"อะไรนะ สัมปทานการค้าโสมหรือ"
" ใช่ ให้การค้าโสมเป็นสิทธิ์ของทางการ นี่คือสิ่งที่พระราชาโชซอนเสนอมา ที่แล้วมาโสมจากโชซอน ส่วนใหญ่ผ่านการลักลอบซื้อขาย ทำให้ราคาสูงมาก ยังความเสียหายต่อเศรษฐกิจของเรา และปริมาณความต้องการ ยังไม่เพียงพอที่จะใช้ในประเทศ ฉะนั้น ถ้ากำหนดให้การค้าโสมเป็นสิทธิ์ของทางการซะ การซื้อขายก็จะเพิ่มขึ้น พลอยให้ราคาถูกลง ส่วนเราก็จะได้ค่าตอบแทนปีละเป็นหมื่นตำลึง"
เวลาเดียวกันพระเจ้าจองโจก็ทรงตรัสกับเหล่าขุนนาง
" เฉพาะเงื่อนไขนี้ ถือเป็นประโยชน์ต่อเราอย่างมาก ถ้าเปลี่ยนจากการลักลอบซื้อขายเป็นสัมปทาน เราจะได้ประโยชน์สามสถานด้วยกัน ข้อหนึ่ง มีการปลูกโสมมากขึ้น เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร สอง เราส่งโสมไปขาย พ่อค้าก็จะได้เงินมากขึ้น ส่วนข้อสุดท้าย ทางการได้เก็บภาษีจากการขายโสม เพิ่มรายได้ให้แก่บ้านเมือง นี่คือสิ่งที่ ข้าคิดมานาน หวังจะใช้ช่องทางนี้ แลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับต้าชิงโดยการใช้โสม แม้ว่ายังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องพูดคุย แต่ว่า รอให้เรื่องนี้สำเร็จก่อน ค่อยเพิ่มเติมทีหลัง ก็ยังไม่สายนัก"
ชางแทวูทูลว่า "แต่ว่าฝ่าบาท พวกเขาจะยอมรับเงื่อนไขนี้หรือพะยะค่ะ"
" การที่พวกเขาพยายามจะก่อกวนเรา เพราะท้องพระคลังร่อยรอย และราษฎรก็เริ่มลำบาก เมื่อเราเสนอวิธีนี้ออกมา ต้าชิงจะได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ ส่วนเรา ก็ได้ประโยชน์ตามที่เราคิดไว้ ถ้ามีหัวคิดหน่อย คงไม่มีใครปฏิเสธเรื่องนี้แน่"
ฝ่ายจางหย่วนเหว่ยก็ถามเหล่าขุนนางต้าชิงว่า
" เป็นไงบ้าง ฟังอย่างงี้แล้ว ท่านยังจะทำตามแผนเดิมต่อไปหรือเปล่า ถ้าหากว่า จะยืนกรานความคิดเดิมต่อไป งั้นก็ได้ ข้าจะกลับต้าชิงเดี๋ยวนี้ และไปทูลฮ่องเต้ ว่าได้เกิดอะไรขึ้นที่นี่บ้าง ท่านจงคิดให้ดีละกัน สิ่งที่ฮ่องเต้ต้องการ คือสงครามหรือว่า ผลประโยชน์ทางการค้า"
เชกาไปตรวจของ เพราะพรุ่งนี้ทูตต้าชิงก็จะไปแล้ว ขณะที่พระเจ้าจองโจตรัสกับจางหย่วนเหว่ยว่า
"พ่อค้าต้าชิงที่ถูกควบคุมตัว จะถูกไต่สวนตามกระบวนการของเรา ส่วนจะรับโทษยังไง ข้าจะหารือกับท่านอีกที"
"ได้พะยะค่ะ แต่หม่อมฉันอยากทูลขอ ให้ฝ่าบาททรงเมตตา ลงโทษเป็นการหลาบจำก็พอ"
"เรื่องคดีความ เราจะไม่มีการลำเอียง ผิดถูกก็ว่ากันไป ขอให้ท่านเชื่อใจข้าได้"
" แน่นอน หม่อมฉันเชื่อใจฝ่าบาทอยู่แล้ว ขอทูลตามตรง หม่อมฉันรู้สึกชื่นชม ต่อพระดำริของฝ่าบาทยิ่งนัก ทรงเป็นพระราชาที่ทรงปราดเปรื่อง อนาคตของโชซอนเห็นจะรุ่งเรืองแน่"
"เฮ่อๆๆ ท่านก็ชมเกินไป ข้าเพียงแต่ หาวิธีที่เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่ายเท่านั้น"
"แต่น้อยคนจะคิดได้แบบนี้ ขนาดต้าชิงยังรู้แต่ใช้กำลังแก้ปัญหา ในฐานะเป็นทูต หม่อมฉันรู้สึกละอายนัก"
" การที่สวรรค์ให้คนๆ หนึ่งมีอำนาจ ไม่ใช่ให้เขาไปกดขี่คนที่อ่อนแอกว่า แต่ต้องการให้ช่วยคนที่ลำบากยากเข็น เปรียบเหมือนกับ ต้าชิงที่เป็นเมืองใหญ่ทรงอิทธิพลก็เช่นกัน การช่วยเหลือประเทศที่เล็กกว่า ร่วมกันสร้างอนาคตที่ดี ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ เป็นหลักการที่ควรจดจำไว้"
"พะยะค่ะ หม่อมฉัน จะไม่ลืมคำสอนของพระองค์ ต่อไปจะสนับสนุนให้ต้าชิงและโชซอน เป็นบ้านพี่เมืองน้องที่ดีตลอดไป"
"ขอบคุณท่านทูตมาก"
ลี ซังกุงเข้ามาทูลพระพันปีเฮคยองถึงความเรียบร้อย และยังชื่นชมที่ซองซงยอนเป็นคนกลางให้พระเจ้าจองโจกับทูตต้าชิงได้ปรับความ เข้าใจกัน
พระมเหสีโยอึยก็ทรงชื่นชมซองซงยอน
"เห็นว่าคราวนี้เป็นผลงานของเจ้า ช่างลำบากแท้ๆ ถือว่าเจ้ามีความดีความชอบต่อบ้านเมืองของเรา"
"ไม่หรอกเพคะ เป็นเรื่องเล็กน้อย หม่อมฉันเพียงแต่ทำหน้าที่เป็นคนกลาง ระหว่างฝ่าบาทและท่านทูต นอกนั้นก็ไม่มีอะไร"
"ใครบอกล่ะจ๊ะ นี่แหละคืองานใหญ่ล่ะ ถ้าวันก่อนเจ้าไม่กล้าออกหน้าทำอะไรเลย ปัญหานี้ คงไม่ได้จบลงง่ายๆ แน่"
"หึ ขอบพระทัยที่ทรงชมเพคะ"
ซองซงยอนออกมาก็พบกับพระพันปีเฮคยอง
"พระพันปี"
"เพิ่งออกจากตำหนักพระมเหสีใช่ไหม"
"ใช่แล้วเพคะ"
"งั้นไม่มีอะไร กลับไปเถอะ"
"เพคะ"
00000000000
ผลการทดสอบความรู้ขุนนาง ชองยายงได้ที่หนึ่ง แต่เขากลับต้องไปฝึกยิงธนูกับเทซู ซึ่งชองยายงยิงธนูไม่ได้เรื่องเลย จนเทซูบ่น
"นี่ ข้าว่าเจ้าไม่ต้องฝึกหรอก ไปนอนซะดีกว่า"
"นอนได้ไง ไม่ได้หรอก นี่เป็นพระบัญชาของฝ่าบาท ยังไงก็ต้องฝึกยิงธนูให้เป็น แหะ"
เทซูถึงกับถอนหายใจ "แต่ข้าว่า เจ้ายังไม่เหมาะที่จะถือคันธนู"
"หา แล้วยังไง"
" บัณฑิตยิงธนูไม่เป็น ส่วนใหญ่เพราะกำลังแขนไม่พอ ทำให้ง้างไม่เต็มที่ เอางี้ ก่อนจะยิงต่อ เรามาฝึกกำลังแขนก่อน มา มา ไม่พอ ยกขึ้นสูงอีก"
ชองยายงถึงกับร้องโอดครวญ จนพระเจ้าจองโจเสด็จมาเห็นทรงเข้าไปถาม
"เป็นไงบ้าง พอจะยิงเข้าเป้าหรือยัง"
"แหะ อย่าว่าแต่เข้าเป้า แค่เฉียดยังไม่มีเลยพะยะค่ะ" เทซูทูล
"ถ้าอย่างงั้น เจ้าต้องเคี่ยวให้หนักจนกว่าจะเป็นล่ะ"
"พะยะค่ะ"
" เอ่อ ฝ่าบาท ทรงปล่อยหม่อมฉันไปเถอะ หม่อมฉันทำไม่ได้จริงๆ ขอแค่ไม่ต้องใช้กำลัง เรื่องอื่นหม่อมฉันไม่เกี่ยง ทรงอนุโลมซักครั้งเถอะพะยะค่ะ"
"ไม่ได้หรอก ถึงเป็นขุนนางพลเรือน ถ้าไม่ออกกำลังบ้าง จะทำงานหนักได้ยังไง ยิงให้ข้าดูซิ"
"ฝ่าบาท"
"ไม่ต้องพูดมาก"
ผลออกมาชองยายงยิงไม่โดนเลย
"ครบกำหนดแล้วยังฝึกไม่ได้ ข้าคงต้องลงโทษซะแล้ว"
ชองยายงตกใจ "หา"
"โทษของเขาคือการเนรเทศ ตามข้ามาเดี๋ยวนี้"
ทุกคนพากันตกใจ เทซูรีบทูล "อะไรนะพะยะค่ะ ฝ่าบาท รับสั่งว่าเนรเทศหรือ"
"ใช่ เนรเทศ เร็ว ไปลงเรือซะ"
"เอ่อ ฝ่าบาท"
"ข้างหน้าคือที่กักกันของเจ้า จนกว่าจะมีคำสั่งให้กลับมา เจ้าไปฝึกความอดทนที่นั่น เพื่อไม่ให้ตัวเองขี้เกียจ"
"หึ พะยะค่ะฝ่าบาท"
"อีกอย่าง มีการบ้านให้ทำในระหว่างเนรเทศด้วย คิดว่าต้องทำยังไง ถึงให้คนกว่าพันคนสามารถข้ามฟากในเวลาเดียวกัน"
"รับสั่งว่า ให้คนนับพัน ข้ามฟากในเวลาเดียวกันหรือ"
"ใช่"
"แล้ว ทำไมคนตั้งเยอะ ต้องข้ามฟากพร้อมกันด้วยล่ะพะยะค่ะ"
"สาเหตุเพราะอะไรนั้น ไว้เจ้าหาวิธีได้แล้ว ข้าจะบอกเอง ยืนเฉยทำไม ไปได้แล้ว"
"เอ่อ คือ" ชองยายงคบคิดปัญหาแล้วถอนใจ
ปาร์คยองมุนมาบอกทุกคนว่าทางการจะรับทหารจำนวน 2 พันอัตรา ให้ทุกคนเตรียมทำงานหนัก
ขณะที่แชซกจูก็มาปรึกษากับพระหมื่นปีจองซุน
" ฮึ่ม จู่ๆ จะรับทหารเพิ่มอีก 2 พันนาย หม่อมฉันว่าคิดก่อตั้งกองกำลังชุดใหม่แน่ นับแต่มีหน่วยทหารพิเศษ ฝ่าบาทก็ทรงมีดำริจะก่อตั้งกองกำลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ และคราวนี้ก็จะเป็นโอกาสดี ที่ได้สร้างเสถียรภาพให้แก่ราชบัลลังก์"
" ครองราชย์มาหลายปี เป็นใครก็ต้องทำแบบนี้ทั้งนั้น ทุกวันนี้ฝ่าบาทยิ่งมีอิทธิพลมากขึ้น ในขณะที่ข้ายิ่งถดถอย คิดแล้วก็น่าเป็นห่วง ที่สำคัญ จนวันนี้ยังไม่รู้ว่าฝ่าบาทมีอะไรอยู่ในมือกันแน่ ที่จะชี้ชะตาข้าได้"
"ทรงอดทนหน่อยเถอะพะยะค่ะ หม่อมฉันกำลังสืบอยู่ เชื่อว่าไม่นานคงจะรู้"
หมอหลวงมาตรวจอาการของซองซงยอนอีกครั้ง และยืนยันว่าซองซงยอนตั้งครรภ์แน่นอน พระมเหสีโยอึยทรงดีพระทัยมาก
"เจ้าเก่งมาก มีผลงานชิ้นใหญ่อีกแล้ว"
"ยินดีด้วยนะคะ"
"ยินดีด้วยเจ้าค่ะ"
" ต่อไปต้องระวังตัว จะลุกจะนั่งก็ควรช้าๆ ไว้ จนกว่าลูกในท้องจะแข็งแรงและคลอดออกมาอย่างปลอดภัย ไม่ว่าทำอะไรก็อย่าให้กระเทือนถึงเด็กได้ล่ะ"
"หม่อมฉันจะจำไว้เพคะ"
"แล้วทำไมข้ายังอยู่นี่ ต้องรีบไปทูลฝ่าบาทซะแล้ว คงจะดีพระทัยยิ่งกว่าใครทั้งหมด ข้าจะไปตำหนักใหญ่เดี๋ยวนี้"
"หึ เพคะพระมเหสี"
พระมเหสีโยอึยทรงไปทูลบอกข่าวดีต่อพระเจ้าจองโจ
"เจ้าบอกว่าไงนะ"
"หึ ซองซังกุงตั้งครรภ์แล้วเพคะ ต้องขอแสดงความยินดีด้วย"
"หึ เป็นความจริงหรือ"
"จริงเพคะ เมื่อกี้หมอหลวงไปตรวจและให้การยืนยันแล้ว"
พระเจ้าจองโจทรงดีพระทัยมาก เสด็จมาหาซองซงยอนทันที
"หึ ซงยอน"
"ฝ่าบาท"
"เฮ่อ นี่คือของขวัญชิ้นใหญ่ ที่มีความหมายที่สุดในชีวิต ขอบใจเจ้ามากนะ"
"ฝ่าบาท"
"หึ มา นั่งก่อนเร็ว ไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างหรือ"
"ไม่เหนื่อยเพคะ"
"มานั่งใกล้ๆ ข้าซิ หึ ถ้าเหนื่อยก็อย่าฝืนตัวเองล่ะ หรือถ้าหงุดหงิด ก็ระบายอารมณ์ออกมาได้ ข้ายอมให้เจ้าอาละวาดเลย"
"ขอบพระทัยเพคะ"
พระสนมวาพินทราบก็มาเยี่ยมซองซงยอน
"หึ พระสนมเสด็จมาเยี่ยมด้วยตัวเอง ขอบพระทัยเพคะ"
" ไม่เป็นไร นี่เป็นข่าวดีของราชสำนัก ข้าก็ต้องมาแสดงความยินดีกับเจ้าอยู่แล้ว จริงสิ เสด็จแม่รับสั่งอะไรหรือเปล่า ในที่สุดฝ่าบาทก็จะมีทายาทที่ทรงรอนาน เสด็จแม่คงดีพระทัยมาก จริงหรือเปล่า"
"เอ่อ หม่อมฉัน ยังไม่ได้เข้าเฝ้าเสด็จแม่เลยเพคะ"
"หา อะไรนะ ยังไม่ได้เฝ้าเสด็จแม่อีกหรือ ป่านนี้น่าจะทรงรู้ข่าวว่าเจ้าตั้งครรภ์ ทำไมยังไม่ให้เข้าเฝ้า เพื่อปูนบำเหน็จอีกล่ะนี่"
พระเจ้าจองโจเองก็ทรงทราบว่าพระพันปีเฮคยองยังไม่ให้ซองซงยอนเข้าเฝ้าจึงเสด็จไปหาพระพันปีเฮคยอง
"เจ้าจะมาพูดอะไรกับแม่อีก ไหนๆ ซองซังกุงก็ตั้งครรภ์ น่าจะมีหนังสือแต่งตั้งให้นางซะ จะมาพูดเรื่องนี้ใช่ไหม"
" เสด็จแม่ ที่หม่อมฉันจะทูล ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ ซองซังกุงเข้าวังมา จนวันนี้ก็เกือบครบปีแล้ว ถ้าเสด็จแม่ได้ทรงสังเกตนางบ้าง จะเห็นว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ทรงคิด เสด็จแม่"
"พระพันปี ซองซังกุงมาขอเฝ้าเพคะ"
"ให้เข้ามาได้"
ซองซงยอนเข้ามา "ฝ่าบาท"
" นั่งลง ที่แม่ให้นางมาพบ เพราะมีเรื่องสำคัญจะพูด แต่ว่า เรื่องนี้เจ้าก็ควรรับรู้เลยฟังพร้อมกันก็ได้ เอานี่ไป หนังสือแต่งตั้งให้เจ้าเป็นสนมอย่างเป็นทางการ"
"หึ พระพันปี" ซองซงยอนดีใจมาก
"แม่จะให้นางเป็นสนมขั้นสาม ตำแหน่ง โซยอง ฉะนั้น ตอนนี้เจ้าคงไม่ต้องพูดมากอีก"
"เสด็จแม่"
" ถือว่าเจ้าได้รับการแต่งตั้งตามกฎของฝ่ายในอย่างถูกต้อง และข้าก็ยอมรับเจ้าเป็นสะใภ้ นับแต่นี้ ไม่ต้องเรียกข้าว่าพระพันปีอีก ให้เรียกเสด็จแม่เหมือนคนอื่นก็ได้ เข้าใจมั้ย"
"เอ่อ เพคะ"
จบ 70

โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ และก็ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านค่ะ

เครดิต : www.oknation.net/blog/lakorn


Related Posts



16 comments:

Anonymous said...

ยอดเยี่ยมมากเลยค่ะ ดีใจที่ซงยอนได้เป็นพระสนมเสียที จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ

Anonymous said...

อยากอ่านตอนที่ 71-77 เลยได้จาอมี่ไหนคะ

Unknown on 5/21/2009 said...

ขอบคุณอย่างมากมายเลยคะ
เจ้าของกระทู้ ใจดีมาก ๆเลยคะ

Anonymous said...

และแล้วนางเอกก็ได้รับการยอมรับจากพระพันปีเสียที ด้วยความสามารถของเธอจริงๆ ตั้งแต่ตอบคำถามเรื่องผ้าไหม และการช่วยแก้ปัญหาเรื่องฑูตจากต้าชิง ถือเป็นผลงานยอดเยี่ยม จะรอชมตอนต่อไปครับ แต่รู้สึกว่าเรื่องย่อจะนำทีวีไปเยอะมากแล้ว ในทีวีเพิ่งจะจบตอนที่ 57 เอง ส-อ นี้ก็จะขึ้นตอนที่ 58

ตอนแรกคิดว่ามีแค่ 70 ตอน พออ่านมาถึงนี้แล้วรู้สึก ละครเรื่องนี้ยัไปได้อีกไกล

ยังไม่ถึงตอนที่พระเจ้าจองโจ ทรงเริ่มโครงการสร้างป้อมฮวาซอง เพื่อให้เป็นที่ฝังศพของพระบิดาองค์ชายซาโด และเป็นพระราชวังอีกแห่ง มีจองยัคยอง นักปราชญ์ซิลฮักคนสำคัญเป็นคนออกแบบ การสร้างป้อมฮวาซองแสดงถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของโชซอนในสมัยนั้น และเป้าหมายที่แท้จริงของพระเจ้าจองโจในการสร้างป้อมนี้ก็เพื่อรองรับการย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองซูวอนในอนาคต พระเจ้าจองโจประทานรางวัลแก่ราษฏรที่ยอมย้ายไปยังเมืองซูวอนและไม่ต้องเสียภาษีไปห้าปี หลังจากใช้เวลาสร้างสองปีกว่า ป้อมฮวาซองก็เสร็จสมบูรณ์ใน พ.ศ. 2339

boong on 5/22/2009 said...

ขอบคุณค่ะ สำหรับความต่อเนื่องของเรื่องราว ติดตามอ่านมาตลอดนะคะ

Anonymous said...

กำลังสนุกเลยครับ ขอบคุณมากครับ

lek said...

ขอบคุณมากๆเลย...ลุ้นอยู่ตั้งนานว่าซงยอนจะยอมเป็นสนมหรือเปล่า จนกระทั่งได้รับการยอมรับซะที..
ไว้จะรอตอนต่อไปมาอ่านนะคะ...

MaDDoG said...

ขอบคุณมากเลยค่ะ ใจดีจริงๆ เลยเจ้าของ blogนี้

Anonymous said...

ดีใจกับซงยอนจังเลยค่ะ ขอขอบคุณคุณลิลี่มั้กๆนะคะ จะติดตามตอนต่อๆไปค่ะ

Anonymous said...

สนุกมากเลย ขอบคุณ คุณรินลี่ ครับ

ดร.อนิรุตน์

Anonymous said...

มา up เร็วๆ นะคะ พอดีมีคนเล่าว่าซงยอนตายตอนจบ จริงหรือเปล่าคะ

Anonymous said...

มา up เร็วๆ นะคะ พอดีมีคนเล่าว่าซงยอนตายตอนจบ จริงหรือเปล่าคะ

Anonymous said...

ขอบคุณนะค่ะ รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ

Anonymous said...

กว่าจะได้เป็นก็นานเหลือเกิน เป็นแล้วอีกไม่นานก็ต้องจากไปทำไมมันถึงได้เศร้าอย่างนี้นะ คนดีๆนี้อยู่ไม่นานจริง ๆ

Anonymous said...

ชอบอ่านมากเรื่องย่อละครเกาหลีตอนเย็นที่เอามาลง ติดตามมาตั้งแต่สมัยจูมง คิมชูซอน จนถึงลีซาน ลุ้นทุกตอนเลย เจ้าของกระทู้น่ารักใจดีมากที่แบ่งปันกันได้อ่านทั่วหน้า

Unknown on 5/27/2009 said...

เมื่อไหร่ตอนใหม่จะมาอะคะ อุอุ
แอบเข้ามาดูทุกวันเลย
รออยู่นะคะ
จุ๊บ ๆ

 

Recommended Product

  • ads
  • ads
  • ads
  • ads
  • ads
  • ads
  • ads
  • ads

My Blog List

Read Lakorn Copyright © 2009 Shopping Bag is Designed by Ipietoon Sponsored by Online Business Journal