Wednesday, February 11, 2009

ลีซาน - เรื่องย่อละครตามบทโทรทัศน์ - ลีซาน (23)-(25)

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน 23

คิมคีจูเข้าวังหลวงมาก็เข้าเฝ้าพระมเหสีจองซุน "
ขุนนางไม่ว่าสมัยไหนก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น
ไม่เคยห่วงบ้านเมืองมากกว่าผลประโยชน์ที่ตัวเองจะได้รับ
คิดแล้วก็น่าเห็นใจพระมเหสีที่ทรงงานหนักนะพ่ะย่ะค่ะ"
"รู้มั้ยว่าข้าตามพี่ใหญ่กลับมาทำไม” "รู้ หลังจากปลดองค์ชายแล้ว
เราจะทำไงต่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้ หม่อมฉันจะดำเนินการให้เอง
พระมเหสีวางพระทัยได้ เฮ่อๆๆ" "ข้าเชื่อใจพี่ใหญ่เสมอ" คิมคี จูถอนใจ "ฮือ หึ
หลายปีนี้ องค์ชายต้องอยู่ตามลำพัง ฮือ ตอน นี้ หม่อมฉันได้กลับมาอีกครั้ง
จะถวายการดูแลองค์ชายอย่างดีที่สุด ฮือ องค์ชาย"

คิมคีจูทักองค์ชายลีซาน "หม่อมฉันคิมคีจู ถวายบังคมองค์ชาย
ไม่ทราบทรงสำราญดีมั้ยพ่ะย่ะค่ะ" "ไม่เจอตั้งนาน กลับมาเมืองหลวงเมื่อไหร่" "
เพิ่งมาเมื่อวานพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่า หม่อมฉันได้ยินว่าเมืองหลวงเกิดเรื่องวุ่นวายนัก
ในฐานะข้าราชบริพาร หม่อมฉันรู้สึกเป็นห่วงเสถียรภาพของบ้านเมืองพ่ะย่ะค่ะ"
แชจีคยอมถามขึ้น "แล้วทำไมใต้เท้า พาองค์ชายทั้งสองมาเข้าวังด้วยล่ะ" "อ๋อ
ระหว่างทางที่มา เผอิญผ่านบ้านพักขององค์ชายทั้งสอง เข้าไปเยี่ยมเยียน
ได้ยินว่าจะเข้าวังเหมือนกัน เลยชวนกันมาน่ะครับ" "งั้นหรอกหรือ ถ้าจะเข้าวัง
ตามหลักน่าจะมีการบอกก่อน" อึนยอนทูลองค์ชายวัยรุ่น "ขอทรงอภัยพ่ะย่ะค่ะ"
"ไม่เป็นไร วันนี้ข้ายังมีงานต้องทำ ไว้วันหลังค่อยคุยเถอะนะ" "พ่ะย่ะค่ะ"
พอองค์ชายลีซานเสด็จไปแล้ว องค์ชายอึนยอนถามคิมคีจูว่า
"ทำไมไม่ทูลความจริงให้เจ้าพี่ทรงทราบล่ะ ไหนบอกว่า ที่เราเข้าวัง
เพื่อจะเฝ้าพระมเหสีไม่ใช่หรือ" "
ตอนนี้องค์ชายลีซานกำลังทรงเครียดกับเรื่องหลายอย่าง
หม่อมฉันเห็นว่าอย่าสร้างปัญหาให้พระองค์ดีกว่า เฮ่อๆๆ มา เชิญไปทางโน้นพ่ะย่ะค่ะ"
คิมคีจูพาองค์ชายทั้งสองเข้าเฝ้าพระมเหสีจองซุน " นี่คือชาผู่เอ๋อ
ดื่มเฉพาะในราชสำนักต้าชิงเท่านั้น ได้ยินว่าองค์ชายทั้งสองจะมา
ข้าจึงให้คนเตรียมไว้ เชิญดื่มตามสบาย" พระมเหสีจองซุนตรัส
องค์ชายอึนยอนกับองค์ชายอึนจอนทรงกล่าวพร้อมกัน "ขอบพระทัยพระมเหสี" "เฮ่อๆ
ด้วยบารมีองค์ชายทั้งสอง ทำให้หม่อมฉันพลอยมีลาภปากไปด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ เฮ่อๆๆ" พระ
มเหสีจองซุนทรงยื่นของให้ "นี่คือโฉนดที่ดินและเงินก้อนหนึ่ง
แม้พวกเจ้าจะเป็นองค์ชาย แต่ไม่มีญาติผู้ใหญ่คอยดูแล ซ้ำยังอยู่ข้างนอกตามลำพัง
เก็บไว้ใช้ส่วนตัวเถอะนะ" องค์ชายอึนยอนทูล ว่า "มิได้พ่ะย่ะค่ะ ที่ดินของหลวง
ไม่ควรยกให้คนอื่นง่ายๆ ความเป็นอยู่ของเรา มีทางการคอยดูแลอยู่
ไม่ต้องห่วงพ่ะย่ะค่ะ" "องค์ชายอึนยอน นี่เป็นความหวังดีของพระมเหสี
อย่าทรงปฏิเสธเลย" พระ มเหสีจองซุนปรามเสียเอง "ไม่เป็นไร องค์ชายอึนยอนพูดถูกแล้ว
แต่จงฟังไว้ ที่ข้ามอบของให้ ไม่ใช่ในฐานะพระมเหสี
หากแต่เป็นย่าหลานและด้วยความห่วงใย" "ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ"
และเมื่ออยู่กันสองพี่น้อง พระมเหสีจองซึนทรงรับสั่งถามคิมคีจูว่า
"ท่านทำอะไรโจ่งแจ้งเกินไปหรือเปล่า" "พระมเหสี หม่อมฉันไม่เข้าใจที่รับสั่ง"
"ไม่กลัวใครเห็นเข้าจะเกิดความสงสัย จู่ๆ พาองค์ชายทั้งสองเข้าวังมาด้วยกัน
ทำไมถึงได้ประมาทแบบนี้" "แต่หม่อมฉันเห็นว่าไม่ต้องกลัวใครอีก
ภาษิตว่าตีเหล็กต้องตีตอนร้อน ถ้าใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์
หม่อมฉันจะจัดการแทนพระมเหสีให้เอง" " มันไม่ง่ายอย่างงั้นน่ะสิ
แผนของเราจะให้คนอื่นมารู้ก่อนไม่ได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะเป็นไปตามเป้าหมาย
เราต้องรอบคอบ ทำอะไรด้วยความระมัดระวัง เข้าใจความหมายของข้าหรือเปล่า"
"หม่อมฉันเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ" "แต่ว่า ท่านคิดยังไงบ้าง เท่าที่ข้าเฝ้าดู
รู้สึกองค์ชายอึนจอนจะเหมาะกว่า" " ทรงคิดอย่างงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ เพราะยังเด็กอยู่
ไม่ค่อยมีญาติพี่น้องมายุ่งเกี่ยวนัก ถึงเวลาก็ให้พระมเหสี
เป็นผู้สำเร็จราชการแทนอีกหลายปี หม่อมฉันก็ว่าองค์ชายอึนจอนเหมาะที่สุด"
ซอจังบูเรียกเทซูกับคังซกกีมาบอกเรื่ององค์ชายลีซานถูกปลดจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ
เทซูตกใจไม่น้อย "หา เอ่อ ทำแบบนี้ได้ไง ข้าว่ามันไม่ถูกนะ" "นั่นสิ
ทำไมถึงเร็วนัก" คังซกกีก็ตกใจ ซอจังบูกล่าวว่า "เพราะวันก่อนที่เกิดจลาจล
ทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วมาก ขุนนางก็ร่วมกันกดดันให้ทรงยึดอำนาจคืนจากองค์ชายซะ"
"แต่ว่า ทำไมถึงได้ปุบปับ ไม่ทันตั้งตัวเลย เรายังไม่มีโอกาสได้แก้ตัว
และมันไม่ใช่ความผิดขององค์ชายด้วย ข้าจะไปพบใต้เท้าฮงก่อน" "ไม่มีประโยชน์
ได้ยินว่าใต้เท้าฮง ยื่นหนังสือลาออกเรียบร้อยแล้ว" เทซูตกใจมากกว่าเดิม "อะไรนะ
ลาออกหรือ" "นี่ พูดจริงหรือเปล่าน่ะ" "คนที่สภาตรวจสอบบอกข้ามา คิดว่าคงไม่ผิด"
ฮงกุก ยองไปหาองค์ชายลีซาน
และบอกองค์ชายลีซานว่าตนกระทำความผิดซึ่งยากที่จะให้อภัยได้
ด้วยเหตุนี้จึงขอลาออกจากราชการ องค์ชายลีซานจับจ้องไปที่ฮงกุกยองด้วยความผิดหวัง
"เป็นเพราะอะไร ตอนเราเจอครั้งแรก ท่านเคยพูดอะไรกับข้าบ้าง บอกว่า
เราอาจทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้อำนาจ แต่เมื่ออยู่ในมือแล้ว
เราจะไม่ใช้ส่งเดชตามใจชอบ ยังจำได้ไหม" "จำได้พ่ะย่ะค่ะ" "ท่านทำ ให้ข้า
มองเห็นภาพคนที่เปี่ยมด้วยอุดมการณ์ หวังจะทำเพื่อบ้านเมืองจริงๆ แต่แล้ว
ท่านก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ทำร้ายราษฎรได้อย่างเลือดเย็น คำพูดที่มาบอก
เพื่อต้องการหลอกให้ข้าตายใจหรือหวังประจบข้าใช่ไหม" " หม่อมฉัน
ไม่รู้จะทูลยังไงกับองค์ชายดี หม่อมฉันรู้ว่าองค์ชายทรงปกป้องหม่อมฉันมาตลอด
ด้วยเหตุนี้ เมื่อหม่อมฉันทำให้องค์ชายทรงเดือดร้อน ก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิด
ด้วยความสำนึกผิด ไม่กล้าอ้างเหตุผลใดๆ อีก วันก่อน เมื่อคำสั่งที่ออกมา
คือเป็นผลร้ายต่อราษฎร หม่อมฉันก็ไม่หวังการให้อภัยอีก
ทุกอย่างเพราะหม่อมฉันโง่เขลาและไร้ความสามารถ จนไม่อยากแก้ตัวใดๆ อีก เพราะฉะนั้น
หม่อมฉัน จึงตัดสินใจ ขอลาออกจากราชการ" "ข้ารู้แล้ว เอาตามนี้แหละ" "จะไม่ทรง
รั้งหม่อมฉันไว้บ้างหรือ" " จริงๆ แล้วข้า ยังต้องการท่านอยู่ แต่ว่า
ท่านทำความผิดที่ใครก็ยากจะให้อภัย ยิ่งข้าเป็นองค์ชายก็ยิ่งช่วยไม่ได้
และไม่อยากรั้งท่านไว้ เพื่อเป็นผลเสียต่ออนาคตอีก" "หม่อมฉันเข้าใจพ่ะ ย่ะค่ะ
หม่อมฉัน เข้าใจเหตุผลนี้ ยิ่งกว่าใครด้วยซ้ำ แต่ว่า ก่อนหม่อมฉันจะไป
ยังมีเรื่องจะทูลอีก หม่อมฉันมีเพื่อนชื่อ "ฮัน จองมยอง" และอีกคนเป็นบัณฑิตชื่อ
"โอยุนโช" บอกว่าอยากมาเฝ้าองค์ชาย พวกเขาเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับหม่อมฉัน
ทั้งมีความรู้ และสันทัดเรื่องการเมือง เหมาะจะเป็นผู้ช่วยอย่างดี ถ้าไง
ให้ลองมาเฝ้า และถวายการรับใช้ดีมั้ยพ่ะย่ะค่ะ" "ข้าจะทำตามข้อเสนอ ขอบใจมาก"
"ถ้าอย่างงั้น หม่อมฉัน จะได้วางใจไปซะที องค์ชาย ทรงถนอมพระวรกายด้วย"
ชองโฮคยอมแปลกใจที่เจอคิมคีจูว่ามาอยู่ที่วังหลวงได้ยังไง
"ถูกย้ายกลับมาเมืองหลวงหรือครับ" " ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ ในวังยุ่งยังกะอะไร
แล้วจะไม่กลับมาได้ยังไง ตอนนี้ยังไม่สายที่ข้าจะมาจัดระเบียบให้ใหม่ ได้ยินว่า
เจ้าทำงานผิดพลาดหลายอย่าง ทำให้พระมเหสีไม่พอพระทัย แต่มันก็ไม่แปลก
คนหนุ่มมักจะเลือดร้อนขาดความรอบคอบ แต่ว่า เมื่อข้ากลับมาแล้ว
ถ้ามีอะไรต้องมาปรึกษาข้าก่อนล่ะ" "หึ ครับ ข้าจะจำไว้ จะไปไหนน่ะ"
ชองโฮคยอมเห็นฮงกุกยองจึงทัก ฮงกุกยองตอบว่า "ท่านก็รู้แต่แรกอยู่แล้ว ยังมาถามอีก"
คิมคีจูมองตามฮงกุงยองแล้วถามว่า "เขาเป็นใคร เพื่อนที่รู้จักกันหรือ" "ใช่
เขาชื่อฮงกุกยองอยู่สภาตรวจสอบ ท่านนี้คือใต้เท้าคิมคีจู" " อ้อ
เจ้าก็คือฮงกุกยองหรือนี่ ได้ยินคนพูดถึงมานานเกี่ยวกับวีรกรรมของเจ้า
เห็นว่าชอบอ้างองค์ชายบังหน้า ใช้อำนาจบาตรใหญ่ใช่ไหม ระวังให้ดีเถอะ
ที่ข้าเกลียดที่สุด คือพวกกิ้งก่าได้ทอง นายว่าขี้ข้าพลอย ถ้าให้จับผิดได้เมื่อไหร่
ข้าจะไม่ปล่อยให้ลอยนวลอีก" ฮงกุกยองโต้กลับ ว่า "หึ ประทานโทษ
ใครกันแน่ที่เป็นพวกกิ้งก่าได้ทอง ท่านน่าจะกลับไปส่องกระจกซักนิดน่ะครับ
ท่านเองก็อาศัยบารมีพระมเหสีจนมาเดินกร่างอยู่ในวัง เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็รู้"
คิมคีจูอึ้ง "อะไรนะ" "วันนี้ ข้าได้ลาออกแล้ว ไม่ต้องรบกวนให้ท่านมาจับผิดอีก
เพราะฉะนั้น ถ้าท่านว่างพอที่จะเที่ยวสั่งสอนคนอื่น ก็สู้หันไปมองราษฎรซักนิด
ช่วยฝ่าบาททำงานยังจะดีกว่า" คิมคีจูเดือด "ว่าไงนะ เจ้าหนุ่มนี่
บังอาจมาสอนข้าเรอะ" คิมคีจูทำร้ายฮงกุกยอง ชองโฮคยอมรีบห้าม
เทซูมาเห็นสภาพของฮงกุกยองก็ตกใจมาก "หา ใต้เท้าๆ หึ นี่ ท่านทำอะไร
จะไปจริงหรือครับ ท่านจะยอมทิ้งทุกอย่างไปจริงหรือ" "โวยวายอะไรนัก
ทำยังกะเมียหนีตามชู้ไปได้ หึๆๆ" "อะไรนะ แต่ว่า คือ เอ๊ะ ใต้เท้า
หน้าท่านไปโดนอะไรมา หา หกล้มหรือไง" "หึ ไม่มีอะไรหรอก
เมื่อกี้โชคร้ายถูกหมาบ้าตัวหนึ่งกัดเข้า เฮ่อๆ" "หา อะไรนะ" "ยังไงก็ขอให้โชคดี
มีเวลาก็ไปเยี่ยมที่บ้านได้ เดี๋ยวนี้ข้าตกงานแล้ว ถ้าจะชวนดื่มเหล้า
เจ้าต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงข้าล่ะ เฮ่อๆๆ" "เดี๋ยวก่อน ข้าไม่ให้ไป" "หลีกไปซะ" " หึ
นี่มันเวลาไหน ท่านก็รู้อยู่ องค์ชายอยู่ในภาวะลำบาก
แล้วท่านไม่อยู่กับองค์ชายมิยิ่งแย่หรอกหรือ เอ่อ เรื่องที่เกิด
ไม่ใช่ความผิดของท่านเลย ข้อนี้ข้ารู้ดี จะไปทูลให้องค์ชายทรงเข้าพระทัย
จากนั้นก็จะอภัยให้ท่าน" "ไม่ต้องทำอย่างงั้น
ถ้าไม่อยากให้องค์ชายยิ่งเข้าตาจนมากกว่านี้" "ใต้เท้า" " ยังไม่เข้าใจอีกหรือ
ถ้าองค์ชายรู้ความจริงก็จะทรงออกหน้าแทนข้า อีกอย่าง ถ้าข้าอยู่ในวังต่อ
จะเป็นจุดอ่อนให้พวกขุนนางยิ่งเล่นงานองค์ชายมากขึ้น และหลังจากนั้น
องค์ชายก็จะยิ่งวางพระองค์ลำบาก เหมือนอย่างที่เจ้าพูด ทุกวันนี้องค์ชายไม่มีใคร
ฉะนั้นเจ้าจึงต้องถวายอารักขาแทนข้าให้ดี ที่พูดนี่ เข้าใจหรือเปล่า" "ใต้เท้า"
องค์หญิงวาวานดีพระทัยมาก ชื่นชมชองโฮคยอม "หึ คราวนี้ ถือเป็นผลงานของเจ้าจริงๆ
ทีนี้คนที่เคยสบประมาทเราไว้ว่าจนปัญญาจะได้หุบปากซะ หึ ดีมาก เจ้าทำดีจริงๆ"
ชองโฮคยอมกลับย้อนว่า "ทรงดีพระทัยมากหรือ" " ทำไมจะไม่ดีใจ
ความหมายของการถูกปลดคราวนี้คืออะไร ถ้าไม่เพราะฝ่าบาท
ทรงหมดความเชื่อมั่นต่อองค์ชายแล้ว คนเราเมื่อหมดศรัทธา เขาจะไม่มีความหมายอีก"
"แต่เรายังมั่นใจไม่ได้มากนัก" "หึ เราเอาชนะศัตรูได้แล้ว ยังต้องกลัวอะไรอีก หึ
อย่าห่วงไปเลย ข้ารู้นิสัยเสด็จพ่อดี ทรงทำแบบนี้เพราะไม่มีทางเลือก หึ
ตอนนี้สำคัญก็คือ เราต้องประกาศผลงานของฝ่ายเรา ให้พระมเหสีและเจ้ากรมแชได้เห็น
เพื่อให้อำนาจสั่งการ มาอยู่กับฝ่ายเราให้มากขึ้น" "แต่ว่า เรื่องนี้
อาจไม่ง่ายอย่างที่ทรงคิด" "หมายความว่าไงน่ะ" "เมื่อกี้ หม่อมฉันได้เจอคิมคีจู
ท่าทางเหมือนจะย้ายกลับมา" "หา เขา เขาอยู่เมืองเปียงยางไม่ใช่หรือ"
"สงสัยว่าพระมเหสีจะเรียกตัวให้กลับ" "แล้วทำไม
เรื่องแบบนี้ไม่มาปรึกษากับเราซักคำล่ะ" "อาจเพราะว่า ทรงตัดสินพระทัยกระทันหัน
เลยไม่ทันบอกให้คนอื่นรู้ก่อน" " เป็นไปไม่ได้หรอก เจ้าก็รู้นิสัยพระมเหสี
อะไรที่ไม่มั่นใจหรือไม่ได้วางแผนนางจะไม่ทำเด็ดขาด หึ จู่ๆ เรียกให้คิมคีจูกลับมา
แสดงว่าต้องมีแผนอื่นมากกว่า ส่งคนไปสืบ
ว่าพวกเขามีความเคลื่อนไหวอะไรและจะทำอะไรบ้าง เข้าใจมั้ย" "พ่ะย่ะค่ะ
พระมารดา"00000000000000 องค์ชายลีซานเข้าเฝ้าพระเจ้ายองโจ ทรงรับสั่งว่า "
ตอนเจ้าอายุ 11 ปีเคยบอกว่า อีกหน่อยโตขึ้น จะเป็นพระราชาที่ดีตามคำสั่งเสียของพ่อ
และตอนนั้นข้าก็ถามเจ้าว่า สิ่งแรกที่จะเป็นพระราชาที่ดีต้องทำอะไรบ้าง
ยังจำได้ไหม" "จำได้พ่ะย่ะค่ะ" " ตอนนั้นเจ้าทำได้ แต่ไม่ได้ให้คำตอบที่แท้จริง
งั้นข้าจะขอตอบเจ้าเอง หลักสำคัญของการเป็นพระราชาที่ดีก็คือ
ห้ามลำเอียงเข้าข้างราษฎรกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
แสงจันทร์บนฟ้าไม่เคยเลือกส่องสว่างเฉพาะที่ พระราชาก็เหมือนกัน ไม่ว่าดีหรือชั่ว
ชายหรือหญิง เก่งก็ดี ไม่เก่งก็ช่าง เราต้องให้ความเท่าเทียม
ปกครองบ้านเมืองด้วยความเสมอภาค พ่อค้าเมืองหลวงบางคน ก็มีพฤติกรรมเลวร้ายจริงๆ
ติดสินบนขุนนางในวังเอื้อประโยชน์ให้ตัวเอง เอารัดเอาเปรียบ ฉกฉวยทุกสถานการณ์
ไม่เพียงเท่านี้ ยังผูกขาดทางการค้า บังคับให้ราษฎรตกเป็นเบี้ยล่างตลอด
แต่ว่าพวกเขาก็เหมือนเป็นลูกหลานของเจ้า ถึงจะเหลี่ยมจัดยังไง
พวกเขาก็เป็นราษฎรของเจ้าเหมือนกัน แล้วอย่างงี้ เจ้าคิดว่าจะทำไงดี
ลูกหลานทำผิดควรลงโทษก็จริง แต่ต้องมีวิธีชี้แนะให้เห็นความถูกต้อง
แล้วเจ้าทำอะไรบ้าง เพราะลูกหลานไม่ได้ดั่งใจ เจ้าเลยตัดทางทำมาหากินของพวกเขา
เอาเถอะสิ่งที่เกิด ถือว่าเจ้ายังอ่อนประสบการณ์และความสามารถไม่ถึง
แล้วหลังจากนั้น เจ้าทำไงต่อรู้มั้ย เพื่อแก้ปัญหาความผิดที่บานปลาย
เจ้าเลยส่งทหารใช้กำลังเข้าปราบ ใช่หรือเปล่า ถ้าตอนนี้เจ้าเป็นพระราชาจริง
บ้านเมืองคงหายนะในพริบตาแล้ว จะปฏิรูปก็ดี เปลี่ยนระบบก็ช่าง
ทุกอย่างต้องใช้เวลาค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่อย่างทุกวันนี้
หลังจากทำให้สินค้าขาดตลาดแล้ว เจ้ามีมาตรการรองรับหรือเปล่า นอกจากอยู่ในวัง
เอะอะก็อ้างว่าจะปฏิรูปใหม่ ใครค้านก็ไม่ฟังทั้งสิ้น เจ้าอ่อนหัดเกินไป
ความคิดง่ายเกินไปด้วย นี่คือเหตุผล ที่ข้าต้องดึงเจ้าลงมาให้คิด เข้าใจหรือยัง
เฮ่ย" องค์ชายลีซานคิดทบทวนอย่างหนักกับคำตรัสของพระเจ้ายองโจ ปาร์
คยองมุนเรียกช่างเขียนตั๊กมาชื่นชมที่เขียนภาพงานพิธีจนเสร็จ
ช่างเขียนตั๊กไม่กล้าเอ่ยปากบอกความจริงว่าซองซงยอนเป็นคนเขียน
เขากลับไปบอกใต้เท้าคัง และคิดหาช่องโหว่ของนางให้ได้ เพื่อกำจัดซองซงยอนให้ได้
ปาร์คยองมุนเรียกซองซงยอนมาพบ และถามว่าเขียนภาพฉากบังลมเสร็จหรือยัง
ซองซงยอนบอกว่าเรียบร้อยแล้ว ปาร์คยองมุนจึงสั่งให้นางนำไปถวายพระชายาเอง
พระชายาโยอึยเห็นการทำงานของซองซงยอนก็ทรงชื่นชม
"ข้าเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ว่าทำไมไต้เท้าปาร์คถึงแนะนำเจ้า เห็นความตั้งใจของเจ้า
ข้าก็รู้สึกหายห่วง เชื่อว่าออกมาต้องสวยแน่" "เอ่อ คือ มิบังอาจเพคะ"
"คราวก่อนที่มาเห็นบอกว่าผ่านการทดสอบเป็นช่างเขียนฝึกหัดอยู่ ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว
คงไม่ใช่แม้แต่เจ้า ก็มีผลกระทบด้วยล่ะ" "ไม่มีหรอกเพคะ ทุกคนให้การยอมรับหม่อมฉัน
และตอนนี้ก็กำลังเรียนเหมือนคนอื่นเพคะ" "จริงหรือ งั้นก็ดีแล้ว
นโยบายขององค์ชายถูกฝ่าบาทยับยั้งไว้หมด แต่เจ้ายังได้เรียนรู้ต่อไป
ถือว่าโชคดีมาก" "ขอบพระทัยพระชายาเพคะ" "หม่อมฉันคิมซังกุงเพคะ"
"ไปทำงานที่สั่งหรือเปล่า ตอนนี้องค์ชายเป็นไงบ้าง" " เพคะ หลายวันนี้
องค์ชายเก็บพระองค์อยู่แต่ในตำหนัก ไม่ยอมออกไปไหนเลย
ถึงใครจะทูลยังไงก็ไม่ทรงรับฟัง ทุกคนเลยทำอะไรไม่ถูกเพคะ เอ่อ
ถ้าไงพระชายาเสด็จไปซักครั้งดีมั้ยเพคะ เผื่อว่าองค์ชายจะทรงรับฟังคำทูลบ้าง อ้อ
หรือไม่ ไปทูลให้พระชายาเฮคยองทรงทราบ" "ห้ามทำอย่างงั้น" "พระชายา" "หลายวันนี้
บ้านเมืองยุ่งเหยิงพอแล้ว ปล่อยให้องค์ชาย อยู่กับความเงียบตามลำพังเถอะ" ก่อน
กลับซองซงยอนถามคิมซังกุงว่าลานฝึกทหารไปทางไหน
คิมซังกุงบอกให้ไปทางด้านหลังตำหนักคยองยุน
พอซองซงยอนไปแล้วนางก็มองตามอย่างอคติว่าซองซงยอนไม่มียางอายไปหาผู้ชาย
ซองซงยอนไปหาเทซู และถามว่าองค์ชายลีซานทรงสบายดีหรือเปล่า ทำให้เทซูแปลกใจ
ซองซงยอนจึงกล่าวต่อว่า "อึม เมื่อกี้เหมือนได้ยินว่า
องค์ชายไม่ได้ออกจากตำหนักหลายวันจริงหรือเปล่า" " เจ้าก็รู้เหมือนกันหรือ คือ
จริงๆ แล้ว เราก็ไม่เจอพระองค์มานาน ลานฝึกก็ไม่เสด็จมาอีก
มีแต่มหาดเล็กนัมที่ได้เข้าเฝ้าคนเดียว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก" "เอ่อ เทซู ถ้าหาก
เจ้าได้พบองค์ชาย ช่วยเอานี่ไปถวายได้ไหม" ซองซงยอนฝากภาพไปให้องค์ลีซาน เทซูแปลกใจ
"นี่คืออะไรหรือ" เทซูฟังความจากซองซงยอนแล้วรีบไปเข้าเฝ้าองค์ชายลีซาน "องค์ชาย"
"เจ้ามาได้ไงนี่" "ทรงอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ ที่หม่อมฉันบุ่มบ่ามเข้ามา" "ไม่เป็นไร
นั่งลงก่อน" "อึม องค์ชาย ทรงเขียนรูปอยู่หรือ" "หึ ใช่ ไม่ได้เขียนรูปมาหลายปีแล้ว
เวลาที่เรากลุ้มใจ งานศิลปะจะช่วยได้มาก" "หึ
หม่อมฉันเป็นคนหยาบไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ โห ออกมาสวยดีนี่พ่ะย่ะค่ะ
หม่อมฉันว่าสวยกว่างานของพวกจิตรกรที่ศูนย์ศิลปะซะอีก" "เฮ่อๆๆ เป็นภาพดอกเหมยน่ะ
สมัยก่อนเสด็จพ่อข้า ก็ชอบเขียนภาพดอกเหมยที่สุด อ้อ จริงสิ เจ้ามานี่ทำไม หรือว่า
มีธุระอะไรกับข้า" "เอ่อ คือ ก็ไม่เชิงธุระหรอก" "แล้วมันคืออะไร บอกข้าซิ" "หึ
องค์ชาย นี่ก็ 5 วันเข้าไปแล้ว ได้ยินว่าไม่ได้กลับตำหนัก
หม่อมฉันเป็นห่วงว่าจะประชวร เอ่อ ทรงอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ" " ไม่เป็นไรหรอก
อย่าพูดอย่างงั้น ข้าต่างหากที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง คิดๆ ดู
ข้าช่างเป็นคนไม่เอาไหนจริงๆ ไม่ว่าจะทำอะไรซักอย่าง ก็ล้วนแต่สร้างปัญหาไปหมด"
"เอ่อ องค์ชาย" "หลายวันนี้ ข้านึกถึงสิ่งที่ทำไป บางอย่างเหมือนเป็นกิเลสส่วนตัว
เพื่อสนองสิ่งที่ตัวเองคาดหวัง ทำให้หลายคนต้องแลกด้วยความเดือดร้อน
บางทีถ้าข้าไม่ทำอะไรเลยยังจะดีซะกว่า" "เอ่อ องค์ชาย
ทำไมรับสั่งอย่างงั้นล่ะพ่ะย่ะค่ะ ทรงทอดพระเนตรนี่ก่อน หึ" "นี่มันอะไรน่ะ"
"ตอนนี้ซงยอนกำลังสอนพวกคนงาน ให้หัดเขียนรูปน่ะพ่ะย่ะค่ะ"
"เจ้าบอกว่านางสอนคนงานเขียนรูปหรือ" " พ่ะย่ะค่ะ คราวก่อนเพราะองค์ชายเปิดโอกาส
นางจึงได้รับสิทธิ์ให้เป็นช่างเขียนฝึกหัด หลังจากนั้น คนงานอื่นๆ
ก็พากันหัดเขียนรูปเหมือนนางบ้าง ซงยอนบอกว่า ให้หม่อมฉันมาทูลองค์ชาย
ว่าทุกอย่างนี้ เป็นเพราะวิสัยทัศน์ของพระองค์ ทำให้คนงานอื่นๆ
มีโอกาสได้หัดเขียนรูปบ้าง ไม่เพียงแต่ซงซอน หรือเพื่อนๆ ของนางเท่านั้น
แม้แต่ทหารอย่างเรา ก็เพราะมีองค์ชาย เราถึงมีกำลังใจทำงาน
แต่แล้วองค์ชายกลับทรงท้อซะเอง บอกว่าไม่ทำอะไรยังดีกว่า หึ สมัยก่อนเคยรับสั่งว่า
จะอยู่ในวังด้วยความอดทน รอหม่อมฉันกับซงซอนไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ แล้วทำไม
พอมีอุปสรรคเล็กน้อย องค์ชายก็ทรงถอดใจไม่อยากทำอะไรอีก
แล้วไม่ทรงเห็นแก่คนที่ฝากความหวังไว้กับองค์ชายบ้างหรือ" "เจ้าบอกว่าฝากความหวัง
ไว้กับข้าหรือ" "องค์ชาย" "ข้ารู้แล้วว่าเพราะอะไร ซงยอนถึงเอารูปพวกนี้มาให้ดู
ความหมายของนางก็คือ ให้ข้าลุกขึ้นสู้อีกครั้ง" "เอ่อ
ทรงคิดอย่างงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ" " ถ้าลองคิดดูจริงๆ สภาพของนางลำบากกว่าข้าซะอีก
อยู่ในที่ๆ ตัวเองใฝ่ฝันอยากทำงาน แต่ถูกจำกัดสิทธิ์เลยได้แต่อดทนไว้
ถึงวันนี้นางก็ยังมุ่งมั่น ทำในสิ่งที่แทบเป็นไปไม่ได้ ใช่แล้ว
ขนาดนางยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แล้วข้าเป็นใคร เรื่องแค่นี้ทำให้หมดอาลัยตายอยาก
แสดงความอ่อนแอให้เห็นได้หรือ" เทซูดีใจ "องค์ชาย" "เป็นไง สืบได้เรื่องมามั้ย
เป็นอย่างที่เราคิดหรือเปล่า" "พ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนว่า
พระมเหสีกำลังวางแผนเพื่องานใหญ่บางอย่าง" "งานใหญ่หรือ งานใหญ่อะไรกัน"
"คนที่พระนางให้เข้าเฝ้า ไม่เพียงใต้เท้าคิมคีจูคนเดียว
ยังมีองค์ชายอึนยอนและองค์ชายอึนจอนด้วย" องค์หญิงวาวานตกใจ "หา
แล้วมันหมายความว่าไง พระมเหสีให้องค์ชายทั้งสองไปเฝ้า แสดงว่า" "
เตรียมการจะถอดถอนองค์ชายลีซานแน่ หลังจากนั้น ก็เลือกพระอนุชาองค์ใดองค์หนึ่ง
หลังจากฝ่าบาทสวรรคต พระมเหสีก็จะมีอำนาจเป็นผู้สำเร็จราชการแทน" "เฮอะ หึ ก็แปลว่า
มีวิธีถอดถอนองค์ชายลีซานแล้วสิ" "เรื่องนี้ หม่อมฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน" " หึ
คนที่รักษาเสด็จพ่อจนหาย บีบให้องค์ชายลีซานหมดอำนาจคือใคร
พอสมหวังก็จะกีดกันฝ่ายเราไม่ให้มีส่วนร่วมด้วย พระมเหสีเห็นข้าเป็นอะไรน่ะ"
"พระมารดาอย่าเพิ่งโกรธนัก เรื่องนี้ เรายังไม่รู้แน่ชัด" " นี่ยังไม่แน่ชัดอีกหรือ
นางจะฮุบผลประโยชน์ที่เราช่วยกันสร้างมา ความจริงเห็นอยู่แล้ว ยังต้องแก้ตัวอะไรอีก
หึ อีกหน่อยถ้านางได้ว่าราชการ ข้าจะกลายเป็นเสี้ยนหนามทันที
นางคงคิดจะกุมอำนาจไว้คนเดียว หึ ถ้านางไม่เห็นความสำคัญของเราจริง
ข้าคงไม่นั่งรอความตายหรอก หึ เลือกใครก็ได้มาเป็นพระราชาหุ่นเชิด เรื่องง่ายแค่นี้
ข้าก็มีปัญญาทำได้" เวลาเดียวกันนี้ คิมคีจูรายงานพระมเหสีจองซุนว่า "
ตอนนี้คนที่มีอิทธิพลต่อองค์ชายอึนจอน คือว่าที่พ่อตาของเขานามว่า
"โชซอง"หม่อมฉันได้ติดต่อทาบทามไว้แล้ว ไม่นานจะมาเข้ากับพวกเราพ่ะย่ะค่ะ"
"งั้นก็รบกวนพี่ใหญ่หน่อยแล้ว" " แต่หม่อมฉันเห็นว่า
แม้เราจะหมายตาองค์ชายอึนจอนไว้ ก็ควรรอให้ปลดองค์ชายลีซานซะก่อน
เพราะประเด็นไม่ได้อยู่ที่องค์ชายอึนจอน
แต่จะทำไงถึงสามารถปลดองค์ชายลีซานได้ต่างหาก และที่สำคัญกว่านั้น
คือพระดำริของฝ่าบาท ถ้าฝ่าบาทไม่ทรงตัดสินพระทัยในเรื่องนี้ เราก็ทำอะไรไม่ได้เลย"
แชซกจูกล่าว "แล้วยังไง ท่านจะพูดอะไรกันแน่ จะบอกว่าให้เราทำตัวเหมือนปกติใช่ไหม"
พระ มเหสีจองซุนทรงแก้แทนว่า "ไม่ใช่หรอก ท่านเจ้ากรมพูดถูกแล้ว
แม้ว่าเรื่องที่เกิดจะทำให้ฝ่าบาททรงผิดหวัง
แต่ยังมีความเชื่อมั่นต่อองค์ชายลีซานอยู่ ถ้าเราเปลี่ยนความคิดของพระองค์ไม่ได้
การปลดลีซาน ก็เท่ากับวาดวิมานในอากาศ" "เราก็กำจัดเขาซะไม่ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ"
"พี่ใหญ่" "นึกหรือว่าเราไม่เคยคิดทางนี้ เพียงแต่ลองมาหลายครั้ง มีแต่ความล้มเหลว"
แชซกจูว่า " นั่นเพราะพวกท่านไม่มีการเตรียมตัวที่ดี
ให้หม่อมฉันจัดการดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะทำให้ทรงเห็น ว่าองค์ชายลีซานตายยังไง
ถึงตอนนั้น ปัญหาทุกอย่างก็จะจบลง"
วันหนึ่งชองโฮคยอมได้พบกับฮงกุกยองอยู่กับพวกคนงาน เขาทัก "หึ
ไม่น่าเชื่อว่าจะได้พบเจ้า" "ใช่ ใต้เท้าสบายดีหรือเปล่าครับ" "เจอก็ดีแล้ว
ข้ามีเรื่องอยากจะถามหน่อย ทำไมจู่ๆ ขายบ้านทิ้ง ทำตัวหายสาบสูญซะล่ะ" "หึ
ข้ากลับไปอยู่บ้านเดิม คนที่ไม่มีงานการเป็นหลักแหล่ง จะอยู่บ้านหลังใหญ่ได้ยังไง
เฮ่อๆๆ" "หึ เลยยอมลดตัวทำงานพวกนี้หรือ" " ทำไมครับ งานพวกนี้มันเสียหายตรงไหน หึ
ลูกผู้ชายต้องรู้จักยืดหยุ่น เยี่ยอ๋อง "โกวเจี้ยน" ยอมกินดีหมีทุกวัน
เพื่อไม่ให้ลืมความแค้นที่สิ้นชาติ ข้าก็เหมือนกัน
เพื่อไม่ให้ลืมว่าถูกคนโฉดปรักปรำให้ร้าย จึงต้องทำงานหนักเป็นการเตือนตัวเอง
แต่มันแย่ที่ว่า ข้าเป็นคนคลื่นไส้ง่ายๆ ก็เลยทำงานเทถังอึซะ
ให้ชินกับกลิ่นเน่าเหม็นของมนุษย์" "งั้นหรือ แสดงว่า
เจ้าคิดว่าต้นเหตุเกิดจากข้าล่ะสิ หึ ฟังดูก็น่าภูมิใจดี แต่ว่าคนที่หวานอมขมกลืน
ยังรวมถึงนายเจ้าด้วยหรือเปล่า อ๋อ เจ้าอยู่ข้างนอกคงไม่รู้อะไร
ตอนนี้ในวังมีข่าวหนาหูว่าองค์ชายจะถูกปลดในไม่ช้า ถึงบอกว่าม้าที่วิ่งเร็วนัก
เวลาหกล้ม มันจะลุกไม่ขึ้นอีก ยังจำคำพูดของข้าได้ไหม เจ้าเลือกทางเดินที่เสี่ยงมาก
หึ แต่ว่า ข้ายังชื่นชมความสามารถของเจ้าอยู่ เปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็มาหาได้ทุกเมื่อ
แต่ถ้าให้ดี มาก่อนที่ตัวเจ้าจะคลุกคลีกับอาจมให้มากกว่านี้
เพราะข้าก็เป็นคนคลื่นไส้ง่ายเหมือนกัน หึ"
องค์ชายลีซานเรียกนัมซาโชมาถามว่าพระองค์เก็บตัวเป็นวันที่เท่าไหร่แล้ว
นัมซาโชตอบว่าวันที่ 6 "ชักรู้สึกเบื่อ อยากออกไปเดินเล่นหน่อย" นัมซาโชดีใจไม่น้อย
"หา อะไรนะ" เทซูบอกเรื่องที่องค์ชายลีซานจะเสด็จออกนอกวังกับซองซงยอน
"เจ้าจะตามองค์ชายออกจากวังหรือ" "อึม เอ่อ แต่ว่า นี่เป็นความลับ ห้ามไปบอกใครล่ะ"
"อย่าห่วงเลยน่า ข้าไม่พูดหรอก แต่ทำไมองค์ชาย คิดจะออกมาข้างนอกล่ะ" "เฮ่อ
ข้าก็ไม่รู้ จู่ๆ มีรับสั่งให้มหาดเล็กนัมเข้าเฝ้า บอกว่าทรงรู้สึกเบื่อ เอ่อ
สายมากแล้ว ข้าขอตัวก่อนนะ" "เอ่อ เทซู ต้องอารักขาดีๆ อย่าให้องค์ชายเป็นอะไรล่ะ"
"ไม่ต้องห่วงหรอกน่ะ ข้าเป็นใคร ทหารที่เก่งที่สุด ปาร์คเทซูเชียวนะ หึ ไปล่ะ"
คังซกกีกับซอจังบูอาสาคอยถวายอารักขาห่างๆ ให้เทซูถวายอารักขาอย่างใกล้ชิด
ก่อนองค์ชายลีซานจะเสด็จ เทซูตัดสินใจถาม "เอ่อ คือ หม่อมฉันขอบังอาจทูลถาม
จะเสด็จไปไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ" "ทำไม กลัวข้าไปก่อเรื่องที่ไหนอีกหรือไง" "เอ่อ
ไม่หรอกพ่ะย่ะค่ะ ไม่ใช่อย่างงั้น หึๆ" " ว่างๆ
เลยจะไปดูความเป็นอยู่ของชาวบ้านหน่อย คนเราหกล้มที่ไหน ก็ต้องลุกขึ้นจากที่นั่น
ไม่ใช่รอให้คนอื่นมาประคอง เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก
ข้าจะไปดูความเป็นอยู่ของราษฎร สิ่งที่พวกเขาต้องการ ต้องศึกษาให้รู้" "องค์ชาย"
"ไปเถอะ เวลามีน้อย เราต้องไปหลายที่ด้วย"
องค์ชายลีซานออกไปก็พบกับพ่อค้าที่รุมทำร้ายชาวบ้าน
พอไปนั่งที่ร้านอาหารก็ได้ยินเสียงชาวบ้านบ่นเรื่องของพระองค์ "เฮอะ ได้ยินว่า
แม้แต่ตำแหน่งองค์ชายก็จะไปด้วย" "จะบ้าหรือ อย่าพูดส่งเดช" "ทำไมต้องกลัวด้วย"
องค์ชายลีซานทรงกล่าวเองว่า "นั่นสิ องค์ชายที่ไม่รู้อะไร บริหารส่งเดช
ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ถูกปลดก็สมควรแล้ว" ลูกค้า คนนั้นชอบใจ "ฮ่าๆ
พูดแบบนี้ค่อยคุยกันได้หน่อย เจ้าคงเสียไปเยอะสิท่า ข้ายิ่งขาดทุนยับ
เพราะนโยบายขององค์ชาย ทำให้ต้องเผาสินค้าไปหมด" "ที่เสียหายไม่เฉพาะแค่พ่อค้า
ยังมีชาวบ้านตาดำ ๆ ต่างก็ลำบากเพราะความผิดพลาดขององค์ชาย" "ข้าก็ว่างั้น
เขาเคยรู้อะไรบ้าง ปากท้องของชาวบ้านขึ้นอยู่กับพ่อค้าอย่างเรา แค่นี้ยังไม่รู้
แล้วจะเป็นพระราชาได้ยังไงจริงมั้ย" เทซูฟังแล้วโกรธ แต่พยายามระงับอารมณ์ไว้ "มา
ดื่มก่อน ภาษิตว่าเชื้อไม่ทิ้งแถว มีพ่อที่ตายด้วยโรควิกลจริต
เขาก็ต้องเพี้ยนเหมือนพ่อ ยังไงอย่างงั้น จริงมั้ย เฮ่อๆๆ เฮ้ย" ชาย แก่คนหนึ่งดุ
"เจ้าคนปากเสีย พูดจาไม่มีหัวคิด เพราะมีคนอย่างพวกเจ้า บ้านเมืองถึงไม่เจริญซะที
รู้มั้ยเพราะใครเป็นตัวถ่วง ก็คือพ่อค้าหน้าเลือดอย่างพวกเจ้า
และขุนนางหัวเก่าที่ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง" "เจ้าแก่นี่มันวอนซะแล้ว" "ทำไม
จะทำอะไรข้า" "จะสั่งสอนน่ะสิ" เทซูเข้ามาห้าม "เดี๋ยว พี่ชาย อย่าใช้กำลัง
ใจเย็นก่อน" "หลีกไป ไม่ต้องยุ่ง" ชายแก่พูดอีกว่า "ข้าถึงไม่เชื่อคำพูดพวกเศรษฐี
เฮอะ บอกว่ายิ่งรวยจะยิ่งทำบุญ แบ่งปันให้คนอื่น มีแต่เพ้อเจ้อทั้งนั้น"
"ปล่อยข้านะ" ชายแก่ยังไม่หยุด "จริงๆ คือยิ่งรวยยิ่งไม่รู้จักพอ
เอารัดเอาเปรียบก็คือขุนนางกับพวกพ่อค้านี่แหละ" "ยังจะพูดอีก ข้าจะเฉาะปากมัน"
"ถ้าให้ข้าบริหารบ้านเมือง ก่อนอื่นจะเล่นงานพวกพ่อค้าหน้าเลือด
และขุนนางหัวเก่าให้หมดไปซะ ไม่ปล่อยไว้ให้รกโลก" ลูกค้ายังถูกเทซูจับไว้
"เงียบเดี๋ยวนี้นะเจ้าแก่" เทซูปราม "พอทีเถอะ" "ยุ่งอะไรกับเจ้าด้วย"
"อย่าวู่วามได้ไหม" ลูกค้าคนนั้นจ่ายเงินออกจากร้าน ตามชายแก่ไป
องค์ชายลีซานบอกกับเทซูให้ตามไปดูว่าเขาจะทำอะไรต่อ เวลานั้นคิมคีจูไปตามแชซกจู
และชวนออกไปบอกว่าจะให้เขาได้เปิดหูเปิดตา "เปิดหูเปิดตาหรือ" แชซกจูงุนงง "ใช่
ให้รู้ว่า การจะทำงานใหญ่ เขาเตรียมตัวยังไง อยากให้ท่านไปดูหน่อย"
เมื่อไปถึงที่หมายคิมคีจูบอกแชซกจูว่า "ฮึ่ม ก็คือของพวกนี้ อีกไม่กี่วัน
ในวังจะจัดงานรื่นเริงประจำปี ท่านคงรู้ใช่ไหม" "รู้" " เป็นที่รู้กันว่าในวันนั้น
จะมีพิธีฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ทั้งการแสดงสารพัดก็มีให้ชม
และรายการสุดท้ายที่จะแสดงคืออะไรรู้หรือเปล่า การแสดงพลุไฟ
มันเป็นธรรมเนียมเก่าแก่ของราชสำนัก แต่ว่าพลุไฟปีนี้จะต่างจากปีก่อนๆ เพราะปีนี้
ข้าจะให้จบลงด้วยการสิ้นพระชนม์ขององค์ชายลีซาน" "ท่านว่าไงนะ
นี่แปลว่าท่านจะทำอะไรกันแน่" คิมคีจูสั่งให้ลูกน้องแสดงให้แชซกจูดู
และกล่าวกับเขาว่า "หึ จำได้ไหมข้าเคยพูดอะไร
ข้าจะให้องค์ชายลีซานตายอย่างอนาถที่สุด"
องค์ชายลีซานเห็นเทซูกลับมาก็ถามว่าสืบได้เรื่องหรือไม่ "ได้พ่ะย่ะค่ะ
ท่านลุงคนนั้นมีอาชีพเป็นคนแล่เนื้อ บางครั้งก็ดูดวงให้คนอื่นบ้าง" "ดูดวงหรือ"
"พ่ะย่ะค่ะ เอ่อ แต่ว่า เพื่อนบ้านใกล้เคียงบอก ไม่ค่อยได้ทำนายให้ใคร
แต่ถ้าเอ่ยปากเมื่อไหร่ คือแม่นราวกับตาเห็นพ่ะย่ะค่ะ" "มีคนแบบนี้ด้วยหรือ
อยู่หมู่บ้าน "พานชุน" ใช่ไหม" เทซูพาองค์ชายไปที่บ้านของชายแก่
แล้วก็ได้เห็นบทความมากมาย "เฮ่ย หม่อมฉันว่า น่าจะเป็นคนเสียสตินะพ่ะย่ะค่ะ"
เทซูว่า "เดี๋ยวก่อน" "เอ่อ นั่นอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ เขียนอะไรไว้ตั้งเยอะแยะ"
"ข้าก็เพิ่งเคยเห็น หนังสือที่ข้าอ่านมาทุกเล่ม ไม่เคยเห็นบทความแบบนี้มาก่อน"
องค์ชายลีซานว่า "แน่ล่ะซี้ เพราะข้าเขียนจากประสบการณ์ส่วนตัว แล้วพวกเจ้าเป็นใคร"
"เอ่อ ท่านลุง ท่านนี้คือ เอ่อ" องค์ชายลีซานรีบบอก "หึ ขออภัยที่เข้ามาโดยพละการ
แต่ได้ยินว่า ท่านเชี่ยวชาญการทำนาย ข้าจึงอยากมาทำความรู้จักหน่อย"
"พ่อหนุ่มที่เจอตอนอยู่โรงเตี๊ยม" "ใช่ครับ" "รู้จักแล้วก็เชิญกลับไปซะ
เพราะข้าไม่ใช่หมอดู" "ถ้าไม่ใช่หมอดูแล้วเป็นอะไร ท่านมีใจคิดคด
หวังกบฏต่อบ้านเมืองหรือ" "หึ กบฎหรือ คนอย่างข้านี่นะ" "
ไม่งั้นท่านมีจุดประสงค์อะไร นี่คือทฤษฎีการเมืองแบบใหม่
ซึ่งตรงข้ามกับการบริหาร"ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามาจากไหน
แต่เท่าที่เห็นคือความตายตามหลังเจ้าอยู่ตลอดเวลา คำพูดไร้สาระของคนแก่
จะถือว่าไม่ได้ยินหรือไม่ใส่ใจก็ได้ แต่เมื่อมาแล้วไม่ให้เสียเที่ยว
ข้าจะบอกอะไรเจ้าหน่อย จงระวังให้ดี คราวนี้ เจ้าอาจได้เจอเพื่อนเก่า
นั่นก็คือความตายมาเยือนอีก"

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน จบ 23

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน 24

เทซูสอบถามชายชราถึงภัยของตนที่ชายชราเคยทำนายไว้ "เอ่อ ท่านลุง
ท่านเอาอะไรมาพูดน่ะ ความตายอะไรกัน" "ฮึ่ม เฮ่อๆๆ ฮ่าๆๆ ทำไม?
เอ่ยถึงความตายเลยรู้สึกกลัวล่ะสิ" "เอ่อ กลัว กลัวอะไร" "ถ้าฟังแล้วไม่สบายใจ
ไปหาแม่หมอประจำหมู่บ้านก็ได้ นางจะมอบยันต์คุ้มภัยให้" เทซูถอนใจ "เฮอะ
โลกนี้มีคนแบบนี้ด้วยหรือ เฮ่ย ดูยังไงก็เหมือนคนสติไม่เต็มเต็ง อย่าทรงคิดมากเลยนะ
เสด็จกลับวังเถอะ" "ยังก่อน ข้ายังไม่กลับตอนนี้" "เอ่อ องค์ชาย" ชายแก่กล่าวต่อว่า
"ถ้าสงสัยคำพูดข้าจะมาถามอีกละก้อ ขอบอกว่าอย่าเสียเวลาดีกว่า
ข้าไม่ใช่หมอดูเลยพูดส่งไปอย่างงั้น" " ข้าไม่ได้จะมาถามเรื่องดูดวง นี่คืออะไรครับ
เหมือนเป็นจอบกับเคียว แต่หน้าตาดูแปลกๆ ไม่เหมือนที่ใช้อยู่ทั่วไป
ข้าเคยอ่านหนังสือการเกษตร ไม่เคยเห็นเครื่องมือแบบนี้ คืออะไรครับ
ท่านทำไว้ใช้เองหรือเปล่า" "เจ้านี่แปลกจริง ทำไมชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องคนอื่นนัก
ใช่ นี่คือ เคียวที่ใช้สำหรับนาปี ส่วนนี่ใช้สำหรับนาปรัง" "แค่เคียว
ก็มีแบ่งใช้นาปีกับนาปรังด้วยหรือ" องค์ชายลีซานแปลกพระทัย "
ที่นาและผลผลิตไม่เหมือนกันก็ต้องแบ่งใช้ซี่ ถ้าใช้ปะปนกันยุ่ง
ไม่มีการแบ่งแยกอุปกรณ์ ที่ควรได้ผลผลิตเยอะก็จะเหลือน้อย
ที่ควรได้น้อยก็แทบไม่เหลือเลย องค์ชายลีซานน่าจะได้บทเรียนบ้าง พักก่อน
ถูกพวกพ่อค้าสั่งสอนจนหน้าหงาย เพราะที่เราขาดไม่ใช่แค่สินค้าอย่างเดียว
จะเป็นของกินหรือของใช้ก็ช่าง ที่เราขาดคือกำลังซื้อ ถ้าจะไม่ให้ราษฎรลำบาก
เราต้องสอนวิธีหาเงินให้พวกเขาด้วย เฮ่ย" "ถ้าไม่คิดว่ารบกวน ข้าอยากขอยืมหนังสือ
ที่ท่านเขียนได้ไหมครับ" "จะเอาไปทำไม หาว่าข้าคิดกบฎ จะไปแจ้งทางการ
ให้มาจับข้าหรือไง" "หึๆ ไม่หรอกครับ ความคิดท่านแหวกแนวก็จริง
แต่มีหลายอย่างที่เหมาะจะให้ข้าได้เรียนรู้" "งั้นก็ตามใจ ไหนๆ
เก็บอยู่ที่นี่ก็หนอนขึ้น ช้าเร็วจะเอาไปทำฟืนเปล่าๆ เอาไปก็ได้
จะไปใช้เช็ดก้นเวลาเข้าห้องน้ำก็ยังดี"
องค์หญิงวาวานกับชองโฮคยอมทราบจากโอจองโฮว่าคิมคีจูไปพบแชซกจูก็ยิ่งทำให้องค์หญิงวาวานโมโห
"หึ ขนาดเจ้ากรมแชยังรู้ แต่กลับปิดบังข้า นึกหรือว่าข้าจะยอมงอมืองอเท้า หึ
นางประมาทข้าเกินไป เท่ากับดูถูกข้าชัดๆ" " แล้วจะทำไงดีพ่ะย่ะค่ะ ถ้าหาก
เราเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อน เรื่องที่เราสะกดรอยคิมคีจู ก็จะถูกพวกเขารู้เข้า
เรื่องนี้เราจะวู่วามไม่ได้ คงต้องวางแผนให้รอบคอบนะพ่ะย่ะค่ะ" "แล้วยังไง
เจ้ามีแผนอะไรบ้าง" " ขอเวลาให้หม่อมฉันคิดหน่อย ไม่นาน
หม่อมฉันจะทำให้งานนี้เป็นประโยชน์ต่อพระมารดามากกว่า เพราะฉะนั้น
พระมารดาต้องทรงเงียบไว้ อย่าเพิ่งเอะอะ
โดยเฉพาะอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระมเหสีด้วยแล้ว เข้าใจมั้ยพ่ะย่ะค่ะ"
องค์ชายลีซานเห็นพระพันปีเฮคยองยังไม่บรรทมจึงมาหาด้วยความเป็นห่วง
"ไม่ต้องห่วงแม่หรอก เจ้าก็มีเรื่องหลายอย่างให้คิดแล้ว หึ ขอโทษด้วยนะ
แม่ไม่ควรเอาแต่ใจตัวเอง กลับทำให้เจ้าเป็นห่วงอีก" "เสด็จแม่
ทำไมรับสั่งอย่างงั้นล่ะพ่ะย่ะค่ะ คนที่ทำให้เสด็จแม่เป็นห่วงมาตลอด
คือหม่อมฉันต่างหาก" " หึ แม่ไม่ได้ห่วงเจ้าเลย อย่าพูดอย่างงั้นสิลูก
แม่สบายดีทุกอย่าง เพราะมีเจ้า แม่ถึงมีกำลังใจอยู่มาจนทุกวันนี้รู้มั้ย
แม่เสียใจที่ตัวเองไม่เอาไหน ไม่อาจช่วยเจ้าได้มาก
รู้ทั้งรู้ว่าเจ้ามีภาระหนักขนาดไหน ยังไม่อาจให้กำลังใจ หรือเป็นที่พึ่งให้เจ้าได้
เพราะความที่แม่ไม่มีอิทธิพลอะไรเลย" "เสด็จแม่" " หึ แต่ยังไงก็ตาม
แม่ที่ไม่เอาไหนคนนี้ ก็หวังให้เจ้ามีความอดทน อยู่ต่อไปให้เข้มแข็งนะลูกนะ
ถึงรู้ว่าเส้นทางของเจ้ามีขวากหนามและลำบากนัก แม่ก็ได้แต่บอกให้เจ้าเข้มแข็งต่อไป"
"พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะไม่มีวันยอมแพ้ง่ายๆ
จะไม่ให้เสด็จแม่เห็นความอ่อนแอของหม่อมฉัน เสด็จแม่ต้องอยู่อย่างอดทนแค่ไหน
หม่อมฉันรู้ดีกว่าใคร หม่อมฉันจะไม่ยอม ให้เสด็จแม่เผชิญกับความทุกข์ซ้ำสองอีก"
พระพันปีเฮคยองน้ำตาซึม "ลูกซาน ฮือ" ดัลโฮพาลีชองไปเขียนภาพนางโลมที่หอนางโลม
เขาขอบคุณดัลโฮอย่างมาก " พี่ดัลโฮ ข้าไม่รู้จะพูดยังไง นอกจากคำว่าขอบคุณ
นี่แหละคือ สิ่งที่ข้าฝันอยากทำมาตลอด ทุกครั้งที่ถูกแม่เสือที่บ้านรังแก
ข้าจะใช้การเขียนรูปอย่างว่า เพื่อระบายความอัดอั้น แต่ว่า
นั่นเป็นแค่จินตนาการเพ้อฝันไปเรื่อย ไม่เหมือนตอนนี้ ได้เห็นของจริง มีแต่ของสวยๆ
งามๆ ทั้งนั้น พี่ดัลโฮ ขอบคุณมากนะ ขอบคุณเหลือเกิน" " ฮ่าๆๆ แต่ยังไงก็ตาม
ข้าก็รู้สึกอิจฉาท่าน เพราะงานแบบนี้ มันต้องมีพรสวรรค์ถึงจะเขียนได้ จริงมั้ย
ไม่แน่เขียนๆ ไปอาจจะ อึ๊บ หือ เฮ่อๆๆ" "เฮ่อๆๆ เพราะได้ท่านแนะนำ ทีนี้
ข้าไม่ต้องหงอยอีกแล้ว ฮ่าๆๆ" ระหว่างนั้นทั้งสองก็เห็นฮงกุกยองมาเป็นคนเทถังอึ
ก็แปลกใจ ดัลโฮจึงไปบอกเทซู องค์หญิงวาวานสั่งคนมาเรียกซองซงยอนไปพบ
"เจ้าก็คือคนงานที่ทำให้ศูนย์ศิลปะวุ่นวายใช่ไหม" ซองซงยอนตกใจ
"ข้าถามว่าเจ้าคือซองซงยอนใช่ไหม" "เพคะองค์หญิง" " ไม่ต้องกลัวข้านักหรอก นั่งลง
เจ้ากลายเป็นคนดังซะแล้ว
เห็นว่าเป็นผู้หญิงคนแรกที่หาญกล้าขอเขียนรูปด้วยตัวเองใช่ไหม
แถมยังไปแข่งกับคนอื่น จนได้เป็นช่างเขียนเต็มตัว ถือว่าหายากจริงๆ" "เอ่อ
มิบังอาจเพคะ" " หึ ข้ารู้สึกชื่นชมเจ้ามาก ที่บอกว่าผู้หญิงห้ามเป็นจิตรกร
เป็นความคิดเห็นแก่ตัวของพวกผู้ชายทั้งนั้น เพราะฉะนั้น
ข้าจึงอยากสนับสนุนเจ้าเต็มที่ ไว้ข้าจะแจ้งไปทางศูนย์ศิลปะ
ให้เจ้ามาเป็นช่างเขียนส่วนตัว เพราะถึงเจ้าจะรับการฝึกยังไง
เส้นทางเป็นช่างเขียนก็ไม่ง่ายสำหรับผู้หญิงอยู่แล้ว โดยเฉพาะ
เป้าหมายสูงสุดคือเป็นจิตรกรส่วนพระองค์ นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่
แต่ว่าถ้าเจ้ามาอยู่กับข้า จะให้กรมพิธีการคอยหนุนหลัง และข้าก็ช่วยส่งเสริมอีกทาง
จะทำให้เจ้ามีโอกาสได้แสดงฝีมือมากขึ้น" "เอ่อ แต่ว่าองค์หญิงเพคะ
หม่อมฉันยังด้อยประสบการณ์อยู่มาก กลัวว่า จะไม่ได้ตามที่ทรงคาดหวังน่ะเพคะ"
"เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง ติดขัดยังไง ข้าจะช่วยเอง
ตั้งแต่เดือนหน้าก็มาอยู่กับข้าละกัน เข้าใจหรือเปล่า" "เอ่อ เข้าใจเพคะ"
"งั้นก็ออกไปได้แล้ว" "องค์หญิง ใต้เท้าชองมาขอเฝ้าเพคะ" ชองโฮคยอมเห็นซองซงยอน
ก็ถามว่าองค์หญิงวาวานคิดจะทำอะไร "เรื่องนี้ปล่อยเป็นหน้าที่ข้าเถอะ ว่าแต่เจ้า
ทำงานไปถึงไหนแล้ว" "มีคนเห็นคิมคีจู ไปอยู่แถวห้องสรรพวุธ" "ห้องสรรพวุธหรือ"
"นั่นเป็นที่ๆ เก็บวัสดุ ดินดำที่จะทำดอกไม้ไฟ
แสดงว่าคิดวางแผนลอบปลงพระชนม์องค์ชายในงานสำคัญที่ใกล้จะมาถึง" "หา หึ พระมเหสี
ร่วมมือกับคิมคีจูและเจ้ากรมแช ถ้างานนี้สำเร็จละก้อ เราจะเป็นฝ่ายสูญเสียทุกอย่าง
นางต้องหันมาเล่นงานเราแน่" "พระมารดาวางพระทัย หม่อมฉัน
จะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น" คิม
ซังกุงให้คนสืบจนรู้ว่าซองซงยอนเข้าเฝ้าองค์หญิงวาวาน
ก็รีบทูลพระชายาโยอึยให้จัดการซองซงยอนสะ
ไม่เช่นนั้นพระชายาโยอึยจะทรงเดือดร้อนองค์ชายลีซานนำหนังสือให้แชจีคยอมอ่าน
"อ่านแล้วคิดยังไงบ้าง" " เหมือนที่องค์ชายรับสั่ง เป็นผลงานที่น่าศึกษาพ่ะย่ะค่ะ
แม้ว่าความคิดบางอย่าง จะดูพิสดารเกินไป แต่ความลุ่มลึกเกี่ยวกับเรื่องการเมือง
มีนัยยะชวนให้ไตร่ตรองอยู่มากพ่ะย่ะค่ะ" "ข้าดีใจที่แม้แต่ท่านก็เห็นด้วย แสดงว่า
ข้าได้เจอผู้รู้ที่ควรแก่การนับถือจริงๆ" " แต่ว่า
บางอย่างก็ต้องทรงระวังนะพ่ะย่ะค่ะ
เช่นการยกเลิกระบบชนชั้นวรรณะและมีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ราชสำนัก
คงเป็นเรื่องที่รับไม่ได้" "อึม ข้าก็คิดอย่างงั้นเหมือนกัน
แต่ว่าเราก็ไม่ควรตำหนิว่าเขาคิดต่างจากคนทั่วไป เพราะความคิดคนเรา
น่าจะปล่อยให้เป็นไปอย่างอิสระ ข้าเห็นว่า หากแนวคิดไหนมีความถูกต้อง
คนก็จะหนุนให้เป็นรูปธรรม แต่หากไม่ดีหรือเป็นผลร้ายต่อส่วนรวม
ซักวันก็จะถูกต่อต้าน และสูญหายไปจากสังคมเอง ฉะนั้นการจำกัดความคิดของมนุษย์
ข้ามองว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง จริงสิ ข้ามีเรื่องจะถามมหาดเล็กนัมหน่อย"
"หือ พ่ะย่ะค่ะ" "หมู่นี้ มีข่าวฮงกุกยอง ว่าไปทำอะไรที่ไหนหรือเปล่า" "จริงๆ แล้ว
พักก่อนเขาให้คนเอาเงินมาคืน หม่อมฉันจึงรู้ว่า เขาขายบ้านหลังใหญ่ที่ซื้อไว้
และเอาเงินมาถวายคืนองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ" "ขายบ้านหรือ ถ้าอย่างงั้น
ตอนนี้เขาไปอยู่ไหนน่ะ" "เอ่อ คือ เรื่องนี้ เพราะเขาไปกระทันหัน
เลยไม่มีใครรู้เบาะแสพ่ะย่ะค่ะ" ด้าน เทซูก็สืบรู้ที่อยู่ของฮงกุกยอง
จึงชวนซอจังบูกับคังซกกีไปหา พอไปถึงทั้งสามแทบจะทนกลิ่นเหม็นไม่ไหว
พอฮงกุกยองกลับมาเจอก็แปลกใจ "ทำไมเจ้ามาอยู่นี่ได้" "ทำไมน่ะหรือ
ข้าจะมาจับท่านน่ะสิ" ฮงกุกยองหัวเราะหึๆ "เฮ่ย พี่จังบู พี่ซกกี
ใต้เท้าฮงกลับมาแล้ว มาดูเร็วเข้า" "หา จริงหรือ ใต้เท้า" "พวกเจ้า อะไรกันนี่
ไปไงมาไง ทำไมรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ล่ะ" "ทำไมจะไม่รู้
ไม่งั้นท่านจะอยู่นี่ทั้งชาติหรือไง ทำไมทำกับเราแบบนี้
ชาตินี้จะตัดขาดไม่มาเจอหน้าแล้วหรือไง" "ไม่หรอก เทซู ใต้เท้าจะลืมพวกเราได้ไง"
"ทำไมจะไม่ลืม แล้วอยู่แบบนี้หมายความว่าไง" "เฮ่อๆ เจ้านี่ โวยวายซะจริง ใครไม่รู้
นึกว่าเมียเจ้าหนีตามชู้ไปซะอีก" "ใต้เท้า ข้ากำลังโกรธจนหน้ามืด ยังจะพูดตลกอีก
ไม่เห็นขำเลยนะ" เทซูโมโห "ท่านนี่นะ" ทั้งสามพาฮงกุกยองไปเที่ยว
จนฮงกุกยองแปลกใจว่าทำไมมีเงินมาเที่ยว ก่อนจะขอบใจทั้งสาม "ยังไงก็ขอขอบใจ
ถ้าไม่ได้พวกเจ้ามาช่วย ป่านนี้บ้านข้าก็ยังเป็นกองขยะอยู่ หึๆๆ" "จริงสิ พูดก็พูด
ท่านจะอยู่แบบนี้อีกนานมั้ย" "อยู่แบบนี้ยังไง ทำไมหรือ" "ใต้เท้า" " หึ
ถึงข้าจะทำงานที่ต่ำต้อยที่สุด แต่ก็ได้เรียนรู้หลายอย่าง ระหว่างที่แบกถังอึอยู่
ทำให้มองเห็นสัจธรรม ว่าอำนาจก็ไม่ต่างกับอุจจาระ" "หา ท่านบอกว่า
อำนาจเหมือนอุจจาระหรือ" "ไม่เพียงสกปรก ยังมีกลิ่นเหม็นอีกต่างหาก เฮ่อๆๆ"
"ถ้าอย่างงั้น ท่านจะทำไงกับอนาคต เบื่ออำนาจยศศักดิ์
แล้วจะอยู่กับถังอึชั่วชีวิตหรือไง" เทซูถาม " บ้าหรือ พูดอะไรน่ะ
คนอย่างข้าถ้าไม่มีอำนาจ อยู่ไปจะมีความหมายอะไร อุจจาระถึงจะเหม็น แต่ก็มีประโยชน์
เอาไปทำปุ๋ยได้ อ้อ เห็นบอกว่า บางคนใช้เป็นส่วนผสมของดินดำด้วยซ้ำ หึๆ
ถึงมันจะโสโครกยังไง ข้าก็ยังชอบอำนาจอยู่ดี เพียงแต่ว่า
คนที่หลงในอำนาจก็เหมือนตกถังอึ ยิ่งคลุกคลีก็ยิ่งเหม็น จึงต้องคอยเตือนตัวเอง หึๆ
เป็นไง นี่คือสิ่งที่ข้าเรียนรู้จากงานนี้ เรียกว่าทฤษฎีอุจจาระ" "อะไรนะ พูดบ้าๆ
เฮ่อๆๆ" ฮงกุกยองหัวเราะชอบใจ เทซูขัดขึ้น "เอ่อ ว่าแต่ท่าน
จะไม่ถามถึงความเป็นอยู่ขององค์ชายบ้างหรือ" ฮงกุกยองกระแอมนิด "ทุกวันนี้
ข้ายังมีสิทธิ์ถามอีกหรือ" "องค์ชายทรงมีกำลังพระทัยขึ้นมาก เมื่อวานยังพาพวกเรา
ออกไปเยี่ยมชาวบ้านด้วยซ้ำ" "จริงหรือ งั้นก็ดี ข้าก็นึกอยู่ ไม่นานองค์ชาย
ต้องทรงยืนหยัดได้อีกครั้ง" " ใช่ แต่ว่า ข้ามีเรื่องกังวลอย่างหนึ่ง เอ่อ เมื่อคืน
ได้ยินคำพูดที่ไม่เป็นมงคล แม้จะพยายามไม่ไปใส่ใจ แต่ว่า เพราะที่แล้วมา
องค์ชายเคยถูกปองร้ายหลายครั้ง ข้าเลยอดเป็นห่วงไม่ได้น่ะครับ" "หมายความว่ายังไง
เจ้าไปได้ยินอะไรมาน่ะ" เทซูเล่าให้ฟัง และถามฮงกุกยอนง่าคิดว่าควรเชื่อดีหรือเปล่า
" ถึงไม่มีคำทำนายแบบนี้ เราก็ต้องระวังให้มาก เพราะอีกฝ่ายคงไม่รามือแค่นี้แน่
เพราะว่าถ้าทำให้องค์ชายถูกปลดไม่ได้ พวกเขาก็ต้องลอบสังหาร แต่ว่า
ถ้าให้เดาว่าพวกเขา จะลงมือที่ไหนยังไง เราคงไม่สามารถจะรู้ได้ เฮ่อ"
และที่หอนางโลมแห่งนี้ ฮงกุกยองมีโอกาสได้พบกับคิมคีจูจึงเข้าไปทัก
"ใต้เท้าสบายดีมั้ยครับ ไม่ทราบจำข้าได้ไหม" "หือ นี่เจ้าคือ" "ใช่ครับ
ข้าคือฮงกุกยองที่เคยได้รับการสั่งสอนจากท่าน เจอท่านก็ดีแล้ว
ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะบอกท่าน เฝ้ารอโอกาสที่จะได้เจออีก" "หึๆ งั้นหรือ
มีอะไรจะพูดกับข้าล่ะ" " ใต้เท้า ทุกวันนี้ ข้ายังไม่ลืมบทเรียนที่เคยได้รับจากท่าน
เฝ้าคิดอยู่ทุกวัน ว่า จะตอบแทนบุญคุณท่านยังไงดี ฉะนั้นเกิดวันไหนเดินๆ
ไปแล้วตกถังอึ ก็ถือเป็นของขวัญที่ข้ามอบให้ละกัน" คิมคีจูอึ้ง "อะไรนะ
เจ้าหนุ่มนี่ มันกำแหงจริงๆ พูดแบบนี้หมายความว่าไง บ้าชะมัด หนอย"
ฮงกุกยองเดินออกมา เขาบอกกับเทซูว่า "คอยดูไปเถอะ วันไหนถึงทีข้าบ้าง
จะจับหมาบ้าตัวนี้มาถลกหนังแล้วย่างกินให้สะใจ" เทซูตกใจ "อะไรนะ"
องค์หญิงวาวานเสด็จไปเข้าเฝ้าพระมเหสีจองซุน "วันนี้ที่มา เห็นจะเป็นฤกษ์ดีนะเพคะ
เพราะทุกครั้งที่หม่อมฉันมา พระมเหสีมักจะทรงมีแขกอยู่
ทำให้หม่อมฉันต้องผิดหวังกลับไป" "ต้องขอโทษจริงๆ เพราะพี่ชายมาจากต่างเมือง
เราไม่ได้เจอนานเลยมีเรื่องคุยเยอะ ทำให้ลืมคนอื่นไป" " ไม่เป็นไรหรอกเพคะ
พี่น้องที่นานๆ ได้พบกัน ก็ต้องถามไถ่ทุกข์สุขเป็นธรรมดา ว่าแต่ ทำไมใต้เท้าคิมคีจู
ถึงได้ย้ายมาเมืองหลวงล่ะเพคะ" "ไม่มีอะไรหรอก คนเราแก่ตัวก็รู้สึกว้าเหว่
ข้าเลยอยากให้เขามาอยู่ใกล้ๆ" "งั้นหรือเพคะ แต่วันนี้ จริงๆ แล้ว
หม่อมฉันมีเรื่องจะมาทูลพระมเหสีมากกว่า" "ได้สิ เชิญพูดมา" "
ในเมื่อองค์ชายไม่เป็นผู้สำเร็จราชการอีก เราก็ควรจะเตรียมการขั้นต่อไปหรือเปล่า
หม่อมฉันเห็นว่า ถ้าจะกำจัดเขาซะ ตอนนี้คือเวลาที่เหมาะที่สุด เพราะฉะนั้น
ถ้าพระมเหสีทรงเห็นชอบ หม่อมฉันจะหาวิธีเล่นงานเขา
จากนั้นเราก็จะได้กุมอำนาจแทนดีมั้ยเพคะ" " อย่าเพิ่งเลย
ตอนนี้ฝ่าบาทยังทรงเครียดอยู่ ส่วนเราก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไร
ถ้ารีบร้อนจะกลายเป็นได้ไม่คุ้มเสีย ฉะนั้นต้องค่อยๆ คิด อย่าเพิ่งใจเร็วด่วนได้"
"งั้นหรือเพคะ พระมเหสีทรงคิดอย่างงั้นหรือ" "หึ ข้าเข้าใจความหมายขององค์หญิงดี
แต่อีกไม่นานในวังจะมีงานใหญ่ เรื่องของเราไว้พูดทีหลังดีกว่า ตอนนี้
ให้ทำตามคำสั่งข้าเถอะนะ" "เพคะ หม่อมฉันไม่ขัดอยู่แล้ว
ในเมื่อพระมเหสีทรงคิดอย่างงั้น หม่อมฉันก็เห็นด้วย"
องค์หญิงวาวานเสด็จออกมาก็พบกับแชซกจู "หมู่นี้ท่านทำอะไรบ้าง รู้สึกนานๆ
จะได้เห็นหน้าซักครั้งนะ" "มีงานต้องรับผิดชอบเยอะ ทำให้ไม่ว่างไปเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ"
"งั้นหรือ เอ แปลกจริง ข้าได้กลิ่นอะไรไม่รู้ มีกลิ่นเหม็นไหม้ลอยมา
ท่านไม่รู้สึกบ้างหรือ" ซํงกุงที่มากับองค์หญิงวาวานทูลว่า "เอ่อ
หม่อมฉันไม่เห็นได้กลิ่นนี่เพคะ" "ท่านเจ้ากรมได้กลิ่นหรือเปล่า" "เอ่อ ไม่ได้" "
งั้นหรือ หึ แต่ทำไมจมูกข้าไวนัก ได้กลิ่นดินดำจากไหนก็ไม่รู้
สงสัยใครจะเอาไปทำอะไรซักอย่าง หึ ท่านจะมาเฝ้าพระมเหสีใช่ไหม งั้นก็เชิญตามสบาย"
แชซกจูนำความนี้ไปเล่าให้พระมเหสีจองซุนฟัง "งั้นหรือ
องค์หญิงพูดจาประชดประชันต่อหน้าท่านหรือไง" "หม่อมฉันว่าเราน่าจะมีคำตอบบางอย่าง
เพราะทุกคนต่างนิ่งเฉย ทำให้องค์หญิงเกิดความสงสัยนะพ่ะย่ะค่ะ"
"อย่าลืมที่ข้าเคยสั่งไว้นักหนา เรื่องนี้ อย่าให้องค์หญิงรู้เข้าเด็ดขาด"
"แต่เพราะอะไร พระมเหสีถึงไม่ให้องค์หญิงกับชองโฮคยอม
มีส่วนร่วมในงานนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ" " เดิมที
องค์หญิงเป็นเพียงสุนัขจิ้งจอกที่พอมีไหวพริบ ตอนหลัง
พอมาอยู่กับข้าเริ่มมีเขี้ยวเล็บหน่อย ก็นึกว่าตัวเองเป็นแม่เสือร้าย
ในความคิดของนาง คงนึกว่าหาญกล้ามาทาบรัศมีข้าได้ล่ะสิ นั่นเป็นความคิดที่ผิด
นางนึกว่าแค่ตัวเองคนเดียวจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ด้วยเหตุนี้
เลยยอมทำทุกอย่างเพื่อเล่นงานองค์ชายลีซาน จะได้รวบอำนาจไว้ซะเอง" "อะไรนะ
รวบอำนาจหรือพ่ะย่ะค่ะ ทรงหมายความว่ายังไง" "ท่านเจ้ากรม
ที่นางรับชองโฮคยอมเป็นลูกบุญธรรม คอยหนุนอยู่เบื้องหลัง
ท่านยังไม่เข้าใจความหมายอีกหรือ" "พระมเหสี ทรงหมายความว่า"
"นางยังมีประโยชน์ต่อเราเลยต้องอดทนไว้ก่อน แต่นับแต่วันนี้ เราต้องค่อยๆ
ริดรอนกำลังขององค์หญิงและชองโฮคยอม เข้าใจหรือเปล่า"
องค์ชายลีซานทรงพานัมซาโชกับขุนนางท่านหนึ่งออกไปดูพื้นที่ "องค์ชาย
แถวนี้คือแหล่งเกษตรของหลวงพ่ะย่ะค่ะ" "เป็นไง พอจะทำได้ไหม"
องค์ชายลีซานทรงตรัสถามขุนนาง " เรื่องนี้ หม่อมฉันไม่กล้ารับรองพ่ะย่ะค่ะ
ที่ผ่านมามีแต่คอยพลิกดิน แต่ยังไม่ได้ทำฝายกั้นน้ำ โดยเฉพาะ
การวางระบบชลประทานที่ถูกต้อง" "หมายความว่า มันคงยากใช่ไหม" "เอ่อ
โดยเฉพาะหน้าแล้งแบบนี้ หากทำการเพาะปลูกก็ไม่ทราบว่าผลจะ" "
ท่านลองเอาเล่มนี้ไปอ่าน ในนี้บอกว่า การเพาะปลูกบนที่เนิน จะให้ผลผลิตที่ทนทาน
หลังหิมะซาก็เริ่มหว่านเมล็ดพันธุ์ เชื่อว่าจะได้ผลดี" "พ่ะย่ะค่ะ
หม่อมฉันจะลองทำตามรับสั่งดู"0000000000000000000 แชจีคยอมเข้าเฝ้าพระเจ้ายองโจ
และทูลว่า "การไต่สวนคดี จะให้ซักไซ้ด้วยคำพูด ยกเลิกวิธีรุนแรง
ไม่มีการทรมานให้นักโทษยอมรับความผิดพ่ะย่ะค่ะ" "ข้าเห็นด้วย ไปจัดการตามนี้"
"พ่ะย่ะคะฝ่าบาท" "หมู่นี้องค์ชายทำอะไรอยู่ เห็นว่าออกจากวังไปข้างนอกบ่อยๆ
งั้นหรือ" " หลังถูกปลดจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ เหมือนจะทรงคิดอะไรได้มากขึ้น
ด้วยเหตุนี้จึงเสด็จไปดูความเป็นอยู่ของชาวบ้าน
หาทางช่วยเหลือในส่วนที่ขาดพ่ะย่ะค่ะ" "ทำอะไรโง่ๆ
ภาษิตว่าวัวหายล้อมคอกไม่มีประโยชน์แล้ว เฮ่ย เอาเถอะ ไหนๆ ก็ไหนๆ
ให้เขาเรียนรู้ด้วยตัวเองจะได้หลาบจำซะบ้าง"
เทซูพาองค์ชายลีซานกลับไปหาชายแก่อีกครั้ง ชายแก่คนนั้นดุว่า
"เจ้านี่มันปัญญาอ่อนจริงๆ" เทซูโกรธ "อะไรนะ ว่าองค์ชายปัญญาอ่อนหรือ เจ้าแก่นี่"
องค์ชายลีซานรีบขอโทษ "เอ่อ ขอโทษครับ
ข้าอยากรู้ว่าทำไมมันถึงสูบน้ำจากใต้ดินขึ้นมาได้ ไม่เข้าใจก็เลยลองใช้ดูว่า"
"ไม่เข้าใจก็ถามซี่ อยู่ดีๆ มายุ่งกับของๆ ข้าทำไม" "แล้วมันเสียหายมากหรือครับ"
"ถ้าเสียจริง เจ้ามีปัญญาซ่อมมั้ยล่ะ" เทซูอึ้ง องค์ชายลีซานตอบว่า "มาให้ข้าได้
ข้าจะลองซ่อมดู" "ช่างเถอะ ไม่ต้องหรอก ขยับนิดหน่อยก็เข้าที่แล้ว ว่าแต่เจ้าเถอะ
รีบกลับบ้านได้ไหม วันๆ ว่างมากไม่มีอะไรทำหรือไง" "แต่ว่า
ท่านมีที่นาพอให้ทดสอบมั้ยครับ ถ้าไม่มี ขอข้าไปลองใช้หน่อยได้ไหม" "แล้ว
เจ้ามีที่นาเรอะ" "ก็ พอมีบ้างครับ ตกทอดมาจากบรรพชน" "โธ่เอ๊ย นึกแล้วไม่มีผิด
เป็นลูกเศรษฐีที่หาของเล่นฆ่าเวลาไปวันๆ" "ยังไงก็ช่าง
ท่านกล้าให้คนไม่เอาไหนอย่างข้า ไปลองใช้มั้ยล่ะ" ที่ศูนย์ศิลปะ
ปาร์คยองมุนเรียกทุกคนมาประชุม " ทุกคนคงรู้ว่า อีก 5
วันในวังจะจัดงานรื่นเริงประจำปี ซึ่งงานนี้ จะต้องมีการเขียนรูป ให้หัวหน้าคัง
ช่างเขียนตั๊กและช่างเขียนลี เตรียมตัวให้พร้อมด้วยล่ะ" "ครับใต้เท้า"
"ส่วนเรื่องคนงาน ก็ให้โชบีคัดเลือกละกัน" "ค่ะใต้เท้า ว่าแต่
เมื่อไหร่จะเข้าวังนะคะ" "อ้อ พรุ่งนี้เช้า" "หา พรุ่งนี้หรือคะ" "ทำไม?
มีอะไรหรือ" "เอ่อ ไม่มีค่ะ" "เอาล่ะ งั้นทุกคนก็แยกย้ายไปทำงาน" โช
บีสั่งให้ซองซงยอนนำภาพไปมอบให้เทซู และสั่งให้นัดเทซูไปเจอที่สะพานกวางทง
วันนี้นางจึงถามว่าซองซงยอนนัดให้หรือยัง ซองซงยอนยังไม่ได้นัด นางรีบขอตัวไปนัดให้
แต่ซองซงยอนกลับเข้าใจว่าโชบีชอบลีชอง พอลีชองไปตามนัด และบอกให้โชบีเลิกรักเขา
ทำให้โชบีตกใจมาก และนางก็รู้ว่าซองซงยอนเข้าใจผิด เทซูแอบมาหาชายแก่ตามลำพัง
และขอให้ชายแก่เลิกด่าว่าองค์ชายลีซาน "อะไรนะ ให้ข้าเลิกด่านายเจ้างั้นหรือ"
"ใช่ครับท่านลุง คือ ถือว่าเห็นแก่ข้า ขอร้องล่ะนะ เพราะนายข้า
ไม่ใช่คนธรรมดาที่ท่านจะจิกหัวเรียกใช้ได้" "เฮอะ เกิดมาไม่เคยเห็นคนอย่างเจ้า
อะไรกัน เรื่องแค่นี้ต้องเสียเวลาย้อนมาหาข้าอีกหรือ" " เอ่อ ไม่ใช่หรอกครับ
ไม่แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว จริงๆ แล้ว ข้ามีอีกเรื่องจะขอถาม คราวก่อน
ท่านบอกว่าองค์ เอ่อ ไม่ใช่ ตอนเจอคุณชายครั้งแรก ท่านบอกว่าเขาจะมีอันตรายถึงชีวิต
บอกให้ระวังตัว แต่ว่าองค์ชาย เอ๊ย ไม่ใช่ คุณชายของเรา แทบไม่ใส่ใจเรื่องนี้เลย
กลับทำให้ข้าเป็นห่วงมากกว่าน่ะครับ เอ่อ คือ คำทำนายของท่าน
แม่นจริงอย่างเขาว่าหรือเปล่า ถ้าหาก เป็นหมอดูเล่นๆ พูดส่งไปอย่างงั้น
ท่านก็บอกข้าตามตรงได้ ข้าไม่ถือหรอกนะ" "หุบปาก ใครไปพูดเล่นกับเจ้า ฟังให้ดีนะ
ถ้าเจ้าเป็นห่วงนายจริงอย่างปากว่า ต่อไป ก็จงดูแลเขาดีๆ
ไม่เว้นแม้แต่กลางวันหรือกลางคืน เพราะครั้งแรกที่ข้าเจอเขาก็ได้เห็น
ภาพร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด อยู่ท่ามกลางกองไฟ และผู้คนรุมล้อมอีกมากมาย
ที่สำคัญ ภาพนี้ มันจะอยู่ไม่ไกล อีกไม่นานก็มาถึงแล้ว" "หา อะไรนะ"
เทซูไปปรึกษากับฮงกุกยองว่าจะทำยังไงดี "ทำไงดีล่ะใต้เท้า ถึงจะเป็นหมอดูสมัครเล่น
แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อหรือเปล่า" "ข้าก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้
แต่ถ้าถือว่าเป็นคำเตือน ก็ไม่มีอะไรเสียหาย เขาบอกว่า
จะเกิดเรื่องต่อหน้าผู้คนหรือ" " ใช่ แถมยังว่า ท่ามกลางกองไฟอะไรก็ไม่รู้ เฮ่ย
ยิ่งฟังก็ยิ่งงง ไม่เห็นเข้าใจเลย ถ้าเป็นอย่างเขาว่า ก็เหมือนในวังจะเกิดไฟไหม้
แต่ใครจะเสียสติ กล้าวางเพลิงในวังได้ล่ะ เฮ่ย" "เดี๋ยวก่อน ใช่แล้ว
มีคนเสียสติจริงๆ มันกล้าที่จะทำเรื่องแบบนี้" เทซูแปลกใจ "อะไรนะ" "หึ เทซู
เจ้ากลับไปเดี๋ยวนี้ สืบดูว่าเจ้ากรมพิธีการ “ลีคยองแท” หมู่นี้ทำอะไรบ้าง"
"เจ้ากรมพิธีการหรือ" " ใช่ เขาต้องมีงานใหญ่ให้รับผิดชอบแน่ ไปสืบว่าคืออะไร
แล้วรีบมาบอกข้า อีกอย่าง ให้ซอจังบูและคังซกกี ไปจับตาดูชองโฮคยอม
และใต้เท้าคิมคีจูไว้ทุกฝีก้าว เข้าใจหรือเปล่า" "เข้าใจครับ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้"
ปาร์คยองมุนกล่าวกับพวกช่างเขียนว่า " ภาพที่เรากำลังจะเขียน
นอกจากจะได้ติดทั่ววังเพื่อความเป็นมงคลแล้ว ยังจะมอบเป็นของที่ระลึก
ให้บรรดาเชื้อพระวงศ์และทูตจากเมืองอื่น เพราะฉะนั้น ต่อให้เหนื่อยแค่ไหน ภายใน 4
วันนี้ก็ต้องเขียนให้ได้ 200 ภาพล่ะ" "200 ภาพหรือครับ ที่แล้วมา
แค่ร้อยภาพก็พอแล้วนี่ อีกอย่าง แค่ 4 วันจะเสร็จทันได้ยังไง" "นั่นสิครับใต้เท้า
เรามีคนอยู่แค่นี้ เขียนไม่ทันหรอกครับ" "แต่ยังไงมันก็เป็นหน้าที่
ข้าจะหาทางแก้ปัญหาให้ พวกเจ้าเขียนไปก่อนละกัน หึ" "ซงยอน เจ้ามีงานเข้าอีกแล้ว
ดีใจด้วยนะ" ลีชองแซวซองซงยอน ปาร์คยองมุนเรียกซองซงยอนมาพบ และส่งกระดาษให้
"นี่คืออะไรหรือคะใต้เท้า" " นี่เรียกว่ากระดาษมัน นอกจากจะบางใสแล้ว
ถ้าวางทาบกับกระดาษอื่น มันจะเห็นลายเส้นที่อยู่ข้างล่าง
จากนั้นให้เขียนตามก็จะเป็นอีกรูปหนึ่ง" "เอ่อ แล้ว ทำไมมาให้ข้าล่ะคะ"
"ภาพเขียนที่จะใช้ในงานรื่นเริงคราวนี้ คงต้องให้คนงานช่วย" "อะไรนะคะ"
"ช่างเขียนจะร่างเป็นแม่แบบ แล้วพวกเจ้าเอากระดาษมันไปวางทับ
เขียนลวดลายให้เหมือนและระบายสีก็พอ" "เอ่อ แต่ว่าใต้เท้าคะ
นี่เป็นภาพที่ต้องใช้ในงานสำคัญ เกิดให้คนอื่นจับได้ จะเป็นความผิดของเราหรือเปล่า"
" ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ข้าจะรับผิดชอบเอง แต่จะว่าไปแล้ว
ข้าเปิดโอกาสให้คนงานได้เขียนรูปด้วย เพราะหมู่นี้ เห็นฝีมือของพวกนางดีขึ้น
แสดงว่าที่เจ้าสอน เริ่มจะเห็นผลบ้างแล้ว" "เอ่อ ใต้เท้าคะ" ปาร์คยองมุนตัดบทว่า
"ถ้าคนงานช่วยกัน ทำให้งานนี้สำเร็จได้ ต่อไปจะมีโอกาสได้ทำงานใหญ่อีก เพราะฉะนั้น
ต้องตั้งใจหน่อยนะ" ทางด้านนัมซาโชทูลถามองค์ชายลีซานว่า "วันนี้
จะเสด็จออกอีกมั้ยพ่ะย่ะค่ะ" "ว่าจะออกไปช่วงบ่ายหน่อย
จะไปดูว่าเครื่องมือทดลองที่ใช้กับการเพาะปลูก พวกเขาใช้เป็นหรือเปล่า"
"หมู่นี้รู้สึกองค์ชายจะสบายพระทัย พระพักตร์เปล่งปลั่งนะพ่ะย่ะค่ะ" "ข้าน่ะหรือ
จริงหรือเปล่า" "พ่ะย่ะค่ะ" " อาจเพราะว่า ข้าไม่ต้องว่าราชการแทนฝ่าบาทอีก
พอข้าถอยออกมา พวกที่เตรียมฟาดเขี้ยวฟาดงาใส่ ก็เริ่มรามือไปบ้าง ป่านนี้
คงไม่เห็นความสำคัญของข้าอีก อาจจะคิดว่า ปล่อยข้าเอ้อระเหยไปเรื่อยๆ
ซักวันจะถูกปลดจากรัชทายาทด้วยซ้ำ" "เอ่อ ทำไมรับสั่งอย่างงั้นล่ะพ่ะย่ะค่ะ" " หึๆ
ไม่ต้องห่วงหรอก พวกเขาไม่สนใจ ข้าก็ยิ่งสบายใจ ทุกวันนี้ถึงข้าจะไปไหน
ก็ไม่มีใครมาจ้องจับผิดอีก ถือโอกาสไปพัฒนาที่ดินใหม่ๆ สร้างที่ทำกินให้ราษฎร
เมื่อก่อนอยู่ในวัง ทำอะไรก็เอาแต่ใจตัวเอง นั่นถือว่าโง่มาก" "องค์ชาย
พอมีงานรื่นเริง ในวังค่อยคึกคัก มีชีวิตชีวาหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ เฮ่อๆๆ"
องค์ชายลีซานได้พบกับซองซงยอนจึงเข้าไปทักทาย "มาเพราะงานรื่นเริงในวังใช่ไหม"
"เพคะ" "ยังดีที่ได้เจอเจ้าเป็นบางครั้ง ไม่หายไปซะทีเดียว ถืออะไรมาน่ะ"
"กระดาษมันเพคะ ใต้เท้าปาร์คสั่งว่า ให้คนงานช่วยช่างเขียนเขียนรูป
ที่ต้องใช้ในงานพิธีน่ะเพคะ" "งั้นหรือ" "เพคะ" "งั้นก็ถือว่าดีแล้วนี่
ข้าเห็นรูปที่เจ้าฝากเทซูมาให้แล้ว รู้หรือเปล่า เหมือนเจ้าชี้ทางสว่างให้ข้า
ทำให้มีกำลังใจอีกครั้ง" "อะไรนะเพคะ" " ขนาดคนงานอย่างเจ้ายังไม่ยอมแพ้โชคชะตา
แล้วข้าเป็นถึงองค์ชาย เก็บตัวอยู่ในห้อง ไม่อายคนอื่นบ้างหรือ
นี่คือความหมายของเจ้าใช่ไหม" "เอ่อ ไม่ใช่นะเพคะ หม่อมฉันไม่กล้า
หม่อมฉันเพียงแต่ให้ดูผลงานที่ทุกคนเขียนไว้" "เฮ่อๆๆ เจ้าก็ยังเหมือนเดิม
ข้าพูดเล่นกับเจ้า ยังไม่เข้าใจอีก" "เอ่อ อะไรนะเพคะ องค์ชาย" "
นี่คือข้อเสียของการเป็นองค์ชาย ขนาดจะล้อเล่นกับเพื่อน คนก็ยังตกอกตกใจ
แต่ยังไงเจ้าก็เป็นเพื่อนที่ดีของข้า ถ้าเราอยู่ด้วยกัน ข้าอยากให้เจ้าทำตัวตามสบาย
อยากให้เจ้าพูดเล่น ไม่ต้องเคร่งครัดมากนัก" "หึๆ องค์ชาย หึ"
"ข้าว่าตัวเองโชคดีที่มีเพื่อนอย่างเจ้าและเทซู
อยู่ในวังที่มีแต่แรงเสียดทานรอบด้าน พวกเจ้าทำให้ข้าได้หายใจโล่งหน่อย"
ซองซงยอนหัวเราะ "หึๆๆ" เทซูไปสืบแล้วกลับมาบอกฮงกุกยองว่า "เจ้ากรมพิธีการลีคยองแท
รับผิดชอบงานรื่นเริงประจำปีของวังหลวง"
เมื่อฮงกุกยองได้ยินเช่นนั้นถึงกับหน้าถอดสีเลยทีเดียว "งานรื่นเริงหรือ" "ใช่ครับ
ตอนนี้หลายฝ่ายกำลังเตรียมตัว ชุลมุนวุ่นวายไปหมด
แม้แต่ทหารอย่างเราก็ต้องช่วยงานด้วย" "งานรื่นเริงหรือ"
"ข้าก็เพิ่งเคยได้ยินเหมือนกัน เห็นว่างานนี้มีจุดพลุด้วยแน่ะครับ"
เวลานั้นคิมคีจูคุยกับเจ้าหน้าที่เรื่องดินระเบิดว่ามีอะไรแตกต่างบ้าง "ครับ
ถุงนี้ใช้กับพลุ ส่วนนี่คือดินระเบิดรุนแรง ถุงนี้จะน้อยหน่อย อานุภาพก็เบาบาง
ใช้ทำดอกไม้ไฟได้น่ะครับ" เจ้าหน้าที่ตอบ "ถ้าอย่างงั้น
ถุงนี้ใช้ทำระเบิดสังหารใช่ไหม" "ใช่ครับ นี่คือ ดินดำซึ่งมีอานุภาพรุนแรง
ใช้นิดเดียวก็ทำลายในวงกว้างได้" "ข้ารู้แล้ว มอบให้ข้าจัดการ ท่านไปทำงานเถอะ"
พอดีองค์ชายลีซานเห็นก็ทัก "ใต้เท้าคิม" คิมคีจูถึงกับอึกอัก "หา เอ่อ"
"มาทำอะไรอยู่นี่คนเดียว" "เอ่อ องค์ชาย" "นั่นคืออะไร" คิมคีจูยิ่งอึกอัก "เอ่อ
นี่คือ"

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน จบ 24

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน 25

คิมคีจูอึกอักก่อนจะบอกว่า "เอ่อ
ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ เป็นแค่ดินดำเท่านั้น" "ดินดำหรือ" "พ่ะย่ะค่ะ" "ปกติของพวกนี้
ไม่ให้ส่งผ่านมือง่ายๆ แล้วทำไมท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่" "เอ่อ เฮ่อๆๆ ถึงจะเป็นดินดำ
แต่อานุภาพเบาบาง ไม่น่ากลัวหรอกพ่ะย่ะค่ะ เพราะในงานรื่นเริง
ต้องใช้เพื่อการทำพลุ" "ทำพลุหรือ" "พ่ะย่ะค่ะ เจ้ากรมพิธีการ
เป็นผู้รับผิดชอบงานนี้ หม่อมฉันเห็นเขามีงานยุ่ง เลยช่วยแบ่งเบาภาระน่ะพ่ะย่ะค่ะ"
"ท่านเพิ่งกลับมาก็ต้องเหนื่อยอีกแล้ว" "ไม่เป็นไรมิได้พ่ะย่ะค่ะ เป็นหน้าที่ขุนนาง
ที่ต้องรับใช้ทางการอยู่แล้ว" "การจุดพลุถือเป็นส่วนสำคัญของงาน ต้องดูแลให้ดี
อย่าให้ผิดพลาดล่ะ" " พ่ะย่ะค่ะ งานนี้เราจะจัดให้ยิ่งใหญ่กว่าทุกปี
มีการแสดงหลากหลายและแปลกตามากขึ้น
หม่อมฉันจะให้องค์ชายเก็บเป็นความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน" "เฮ่อๆๆ งั้นก็ดีแล้ว
ข้าจะรอดู" คิมคีจูได้แต่หัวเราะแหะๆ
ทางด้านฮงกุกยองก็บอกเทซูว่าจะมีการปองร้ายองค์ชายลีซานในงานแน่
เทซูตกใจย้ำถามว่าจริงหรือ " ใช่ ถ้าเดาไม่ผิดต้องเป็นอย่างงั้นแน่
งานรื่นเริงประจำปีถือเป็นงานใหญ่ ไม่เพียงมีการจุดพลุเท่านั้น
ยังมีการยิงปืนไฟและทหารทุกกรมกองก็จะแสดงฝีมือ
เป็นโอกาสเดียวที่กองทหารได้เข้าวังอย่างเปิดเผย ถ้ามีใครคิดร้าย
นี่คือช่องทางที่สะดวกกับการลงมือ" "หา เอ่อ แต่ แต่ว่า
ใต้เท้าคิมคนนี้เป็นเชษฐาของพระมเหสีไม่ใช่หรือครับ ถ้าเป็นอย่างท่านว่าจริง
แสดงว่าพระมเหสีก็รู้เห็นด้วยสิ" " เรื่องนี้ ข้าก็ไม่เข้าใจ เพราะตลอดเวลาที่ผ่าน
ทรงเป็นพระมเหสีที่แสนประเสริฐ แต่ว่าคนที่ยิ่งดีพร้อม ข้ากลับรู้สึกมีอะไรแปลกๆ
แต่ที่เรามั่นใจก็คือ คิมคีจูเป็นพวกเดียวกับขุนนางหัวเก่า ที่สำคัญ จู่ๆ
เขากลับมาเมืองหลวง และไปยุ่งเกี่ยวกับงานรื่นเริง แสดงว่า
เบื้องหลังต้องมีอะไรบางอย่าง" "เอ่อ ถ้าอย่างงั้น เมื่อเรารู้แล้ว
เรื่องนี้ต้องไปทูลองค์ชายหรือเปล่า" "เจ้าไปบอกมหาดเล็กนัมกับใต้เท้าแชดีกว่า
อย่างน้อย พวกเขาจะได้มีการเตรียมตัว แต่ว่าอย่าบอกว่าข้าเป็นคนสั่งเจ้าล่ะ" "หา
อะไรนะ ทำไมไม่ให้รู้ล่ะครับ" "ถ้าพวกเขารู้ว่าข้ายังไม่วางมือ
บางทีองค์ชายอาจไม่เชื่อเรื่องนี้ก็ได้ ไปบอกซอจังบูและคังซกกี
ให้จับตาคิมคีจูต่อไป" "ได้" "อีกสองวันจะถึงวันงาน ในสองวันนี้
เราต้องสืบให้รู้ว่า พวกเขาคิดทำอะไรกันแน่" เทซูรีบไปบอกคังซกกีกับซอจังบูทันที
ทั้งสองตกใจไม่น้อย "ฮ้า จริงหรือเปล่านี่ ถ้าอย่างงั้น
งานรื่นเริงก็ต้องยกเลิกน่ะสิ" "เราแค่คาดการณ์แต่ไม่มีหลักฐานยืนยัน" "จะหาหลักฐาน
เวลาก็ไม่พออีก เพราะงานนี้ หลายฝ่ายก็มีส่วนร่วม เราจะสืบว่าใครคิดปองร้าย
มิเป็นเรื่องยากหรอกหรือ" "พี่จังบูไปจับตาคิมคีจูไว้ ส่วนพี่ซกกีก็ไปดูชองโฮคยอม
มีอะไรผิดปกติ รีบบอกใต้เท้าฮงทันที" "อ้อ ได้เลย"
เวลานั้นคิมคีจูนัดเจ้ากรมพิธีการไปพบกันที่หอนางโลมของเบเฮียง "อ้อ หึ
ข้ามาช้าไปหน่อย" คิมคีจูกล่าวเมื่อเข้าไปพบเจ้ากรม "ข้าก็เพิ่งมาเหมือนกัน"
เบเฮียงบอกทั้งสองท่านว่า "งั้นข้าไปเตรียมอาหาร และหาสาวๆ มาปรนนิบัติน่ะคะ"
"ไม่ต้องวันนี้ไม่ต้องการอาหารและผู้หญิง อย่าให้ใครมายุ่งก็พอ" คิมคีจูสั่ง "อ้อ
ได้ค่ะใต้เท้า" เจ้ากรมพิธีการฟังแล้วถอนใจ คิมคีจูกล่าวขึ้นทันทีที่เบเฮียงออกไป
"ทุกอย่างเรียบร้อย เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ตอนนี้ ก็เหลือแต่หน้าที่ของท่าน"
"อะไรบ้าง" "ถึงวันงาน ให้องค์ชายกับพระชายาสลับที่นั่ง" "แต่ว่า
เรื่องแบบนี้เราต้องจัดตามธรรมเนียมปฎิบัติน่ะครับ"
"ถึงต้องให้ท่านออกหน้าด้วยตัวเองไง ถ้าจะให้งานนี้สำเร็จ เราก็ต้องทำแบบนี้ให้ได้"
เจ้ากรมพิธีการรู้สึกหนักใจมากกับงานที่คิมคีจูสั่ง
ซอจังบูเห็นเบเฮียงออกมาก็รีบเข้าไปถามว่าคิมคีจูอยู่ข้างในใช่ไหม "อ้าว
ท่านรู้ได้ไงน่ะ" "แหะ เขามาพบกับใคร" "เห็นว่านั่นเป็นเจ้ากรมพิธีการ
มีอะไรหรือเปล่า" "เอ่อ พวกเขา คุยอะไรกันบ้าง ไปแอบฟังหน่อยได้ไหม" "หึ
ถึงขนาดสั่งงดอาหารและผู้หญิง ไม่ให้คนไปรบกวนการสนทนา" "งั้นหรือ"
"ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน มีเรื่องอะไรกันน่ะ" "เอาน่า ไม่เกี่ยวกับเจ้าหรอก
วันหลังค่อยคุยนะ ไปล่ะ’ "ตามใจ ไม่บอกก็ช่าง ฮึ" ทาง
ด้านชองโฮคยอมสั่งให้คนเฝ้าติดตามคิมคีจูเหมือนกัน
เขาเองก็รู้สึกหนักใจกับการกระทำที่วู่วามของคิมคีจูไม่น้อย
พอทราบเรื่องก็รายงานองค์หญิงวาวาน "อะไรนะ จะใช้ระเบิดกลางงาน ท่ามกลางคนมากมาย
เขามีหัวคิดหรือเปล่า วิธีบุ่มบ่ามขนาดนี้ พระมเหสีก็เห็นด้วยหรือ" "
ภาษิตว่าความรีบร้อน แม้แต่เดินทางเรียบยังอาจสะดุดหกล้ม
ตอนนี้พระมเหสีคงร้อนพระทัยเต็มที ซึ่งก็น่าอยู่หรอก เพราะไม่รู้ว่าฝ่าบาท
วันไหนทรงประชวรขึ้นมาอีกก็แย่แล้ว" "หึ ถ้าอย่างงั้น ฝ่ายเราควรทำไงดี
เรื่องมาถึงขั้นนี้ เราจะรอดูความเปลี่ยนแปลงหรือไง" "ถึงสำเร็จก็ใช่ว่าจะหมดปัญหา
แต่ถ้าล้มเหลว ปัญหายิ่งตามมามากกว่า เผลอๆ เราจะติดร่างแหไปด้วย
ยังไงก็ต้องขัดขวางนะพ่ะย่ะค่ะ"
ทางด้านนัมซาโชกับเทซูก็บอกเรื่องลอบปลงพระชนม์องค์ชายลีซานให้แชจีคยอมรับทราบ
"ท่านมีความเห็นยังไงครับ" นัมซาโชถาม " การจะถือโอกาสแบบนี้
ลอบปลงพระชนม์องค์ชายคงไม่ใช่เรื่องแปลกเพียงแต่เราอาจแค่สันนิษฐาน
ไม่มีหลักฐานยืนยัน ว่ามีผู้ลงมือจริงหรือเปล่า ที่สำคัญต้นตอการคาดเดา
มาจากตาแก่คนหนึ่งซะด้วย" "อึม แต่ยังไงงานแบบนี้ก็ถือว่ามีความเสี่ยง
นี่คือความจริงเหมือนกันนะครับ" "ถ้าอย่างงั้น เราต้องทำไงบ้างล่ะ" เทซูตอบว่า
"ครับ ตอนนี้สำคัญก็คือ เราต้องรู้ก่อนว่าขั้นตอนของงานมีอะไรบ้าง" "หือ
ขั้นตอนของงานหรือ" " เอ่อ ใช่ครับ ข้าหมายถึงว่า ถึงจะไม่รู้งานเบื้องหน้า
รู้เบื้องหลังก็ยังดี แหะ เอ่อ ยกตัวอย่างเช่น ใครรับผิดชอบส่วนไหน
มีข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น อาหารการกินอะไรบ้าง
ที่สำคัญทหารทุกหน่วยที่จะมาแสดงแสนยานุภาพ ก็ควรมีการตรวจสอบให้ดี ไม่แน่ว่า
จากรายละเอียดเหล่านี้ เราอาจรู้ว่าใครที่ไม่ชอบมาพากล
มีแผนคิดร้ายยังไงบ้างน่ะครับ" "มันก็จริงนะ เจ้าพูดมีเหตุผล งั้นที่เจ้าเสนอมา
ข้าจะไปสั่งการเอง" แชจีคยอมว่า "หึ ขอบคุณใต้เท้ามากครับ" นัมซาโชชมว่า
"เดี๋ยวนี้ชักจะเก่งขึ้น รู้จักวางแผนรับมือคนอื่นด้วยนะ" "เอ่อ
ไม่ใช่แผนอะไรหรอกครับ ข้าก็พูดไปอย่างงั้น" "อึม เราจะเอาเรื่องนี้
ไปทูลให้องค์ชายรู้ล่วงหน้าก่อนดีมั้ย" นัมซาโชถาม แชจีคยอมบอกว่า "อึม ก็ได้
หึ"00000000000000000
องค์ชายลีซานกำลังสั่งให้คนเอาหนังสือและเครื่องมือไปให้เจ้ากรมเกษตรอันเซจง
แชจีคยอมก็มาขอเข้าเฝ้า "ท่านมาก็ดีแล้ว ข้ามีเรื่องสำคัญจะปรึกษากับท่านหน่อย"
"อะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ" "ข้าจะเอาความรู้ที่ได้จากลุงคนนั้น
เรียบเรียงให้เป็นวิชาการแล้วเผยแพร่ต่อไป ท่านว่าทำแบบนี้ดีหรือเปล่า"
"หม่อมฉันเห็นว่า การเพาะปลูกก็ควรมีวิทยาการใหม่มาช่วยพัฒนา
ถึงจะได้ผลผลิตมากขึ้นพ่ะย่ะค่ะ" "ถ้าท่านเห็นด้วยกับความคิดนี้
งั้นข้าก็จะดำเนินการต่อไป" "หมู่นี้ รู้สึกองค์ชายทรงเบิกบานขึ้นมากนะพ่ะย่ะค่ะ"
"เฮ่อๆๆ งั้นหรือ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ชีวิตก็ไม่จำเจ" "เอ่อ องค์ชาย" "ทำไมหรือ
ท่านมีอะไรจะพูดใช่ไหม" "เอ่อ ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ ถ้ามีเวลา
หม่อมฉันก็อยากพบกับลุงคนนั้น ที่องค์ชายมีรับสั่งชมนักหนา" "ก็ไปด้วยกันสิ
ถ้าได้เจอเขา คิดว่าท่านต้องชอบแน่" พอออกมานัมซาโชก็รีบถามแชจีคยอมว่า
"เป็นไงครับใต้เท้า ได้ทูลองค์ชายหรือเปล่า" "ไม่ได้ทูล" "หา ทำไมล่ะครับ
ฃมีอะไรให้ต้องลังเลอีก" "เพราะถูกปองร้ายมาหลายครั้ง
ทำให้องค์ชายทรงเหนื่อยล้าเต็มที ทุกวันนี้ทรงสบายพระทัยขึ้นมาก
ข้าเลยไม่อยากทูลอีก" "เอ่อ แต่ว่า" "ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริง
ข้าว่าเรื่องนี้อย่าเพิ่งให้องค์ชายทรงทราบดีกว่า" แชจีคยอมสงสารองค์ชายลีซานมาก
พวกเทซูพากันไปดูการฝึก เทซูเอ่ยถามว่า "หน่วยปืนไฟเป็นทหารที่เก่งทั้งนั้น
จะไปร่วมแสดงด้วยใช่ไหม" "นี่แหละที่ปวดหัว เราจะไม่รู้ว่า คนไหนเล็งไปที่องค์ชาย
และจะยิงพระองค์หรือเปล่า" "ถ้าอย่างงั้น ก็อย่าให้มีการแสดงยิงปืนสิครับ
แค่นี้ก็ป้องกันการคิดร้ายได้แล้ว" "มันก็จริง แต่ใครกล้าสั่งพวกเขาล่ะ"
พระเจ้ายองโจทรงตรัสถามเจ้ากรมพิธีการว่า "งานประจำปีเตรียมการถึงไหนแล้ว"
"พ่ะย่ะค่ะ ทุกอย่างเรียบร้อยไม่มีปัญหา" " ก่อนหน้านี้
เศรษฐกิจในเมืองหลวงตกต่ำถึงขีดสุด แถมยังมีเหตุจราจลให้ชาวบ้านล้มตายอีก จู่ๆ
มาจัดงานใหญ่โต รู้สึกไม่ค่อยเหมาะนัก ถ้าไงยกเลิกการจุดพลุ
จัดงานให้เรียบง่ายหน่อยดีมั้ย" "เอ่อ ฝ่าบาทเพคะ งานประจำปี ถือเป็นงานรื่นเริง
เสริมสร้างความเป็นมงคลให้แก่บ้านเมือง ยิ่งเป็นเวลานี้
เพื่อให้บ้านเมืองเป็นปึกแผ่นและแสดงถึงอำนาจของเรา
น่าจะจัดให้ยิ่งใหญ่เหมือนเดิมนะเพคะ" พระมเหสีจองซุนทูล "เจ้าพูดก็มีเหตุผล
ถือว่าสะเดาะเคราะห์ให้บ้านเมืองมีความผาสุก เอาอย่างงั้นก็ได้" ใต้
เท้าฮันกล่าวกับแชซกจูว่าจะฝากความหวังไว้กับคนอย่างคิมคีจูหรือ
ทำให้แชซกจูได้คิดว่าแผนของคิมคีจูเสี่ยงมาก จึงทูลพระมเหสีจองซุน "แล้วยังไง
ความหมายของท่านคือให้ยุติแผนของเราหรือ" พระมเหสีจองซุนตรัสถาม "
หม่อมฉันขอบังอาจทูลว่า ใช่พ่ะย่ะค่ะ เพราะการใช้ระเบิดนั้น
ต่างจากส่งนักฆ่าไปลงมือโดยสิ้นเชิง แถมงานนี้ต้องทำต่อหน้าคนจำนวนมาก เกิดโชคร้าย
มีอะไรผิดพลาดขึ้นมา เราจะรับผิดชอบไม่ไหวนะพ่ะย่ะค่ะ" "นี่แปลว่าท่าน
เห็นข้าเป็นเด็กอมมือถึงไม่รู้ผลที่ตามมาใช่ไหม" "พระมเหสี" "
ข้าก็รู้ว่าทำแบบนี้เป็นการบุ่มบ่ามนัก
แต่ว่าข้ามองว่าถึงเวลาที่เราต้องทำอะไรให้มันเฉียบขาดหน่อย
จึงได้เรียกตัวพี่ชายกลับมา ฝ่าบาททรงชรามากแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะประชวรอีก
และถึงตอนนั้น องค์ชายลีซานจะขึ้นแทนหรือเปล่า
ไม่มีเวลาให้เราห่วงหน้าพะวงหลังอีกแล้ว คราวนี้ไม่ว่ายังไง
ข้าต้องการเห็นจุดจบของเรื่องให้เร็วที่สุด"
ลีชองไปเขียนภาพให้หญิงนางโลมเสร็จก็มาหาดัลโฮ "พี่ดัลโฮ" "อ้าว มาเมื่อไหร่นี่"
"พวกนี้คืออะไร อย่าบอกนะว่า จะไปขายของอีกล่ะ" "ใช่ ข้าอยากหาเงินด้วยตัวเอง
คิดไปคิดมาไม่รู้ทำไง กลับไปขายของอย่างเก่าดีกว่า" "งั้นหรือ มันก็ดีนะ"
"ดีบ้าอะไร ขายได้เท่าไหร่ จะถูกพ่อค้าคนกลางหักไปครึ่งหนึ่ง
คนมันไม่มีทางเลือกก็อย่างงี้ ต้องกัดฟันทู่ซี้ไปก่อน" "แย่จริง
ท่านช่วยให้ข้ามีความหวังใหม่ แต่ตัวเองกลับต้องลำบาก ข้ารู้สึกละอายต่อท่านจริงๆ"
ดัลโฮตาโต "หา จริงหรือ นี่ งานที่หอนางโลมดีมากหรือไง อย่าลืมเผื่อให้ข้าดูบ้างนะ"
"ฮ่าๆๆ ท่านไม่รู้อะไร ทุกวันนี้ข้ามีเงินไปให้เมียเป็นกอบเป็นกำ ส่วนพวกสาวๆ
ก็ช่างใจกล้า ถอดเป็นถอด แก้เป็นแก้" ดัลโฮยิ่งตาโต "โห ฮ่าๆๆ" "เฮ่อๆๆ อ้อ จริงสิ
ลืมบอกไป ซูเฮียงบอกว่ารอท่านอยู่หลายวัน ถ้ามีเวลาก็ไปหาหน่อยนะ" "ซูเฮียงหรือ
ฮ่าๆๆ" ดัลโฮหัวเราะ พอดีมักซูเข้ามาได้ยินก็ถามว่าคือใคร "ใครคือซูเฮียง
บอกมาเดี๋ยวนี้ หา" "นั่นสิ ใคร ใครคือซูเฮียง" "เมื่อกี้ได้ยินเขาพูดชัดแจ๋ว
บอกว่ามีผู้หญิงชื่อซูเฮียงรอเจ้าอยู่" "หา เอ่อ ซูเฮียงไหนเล่า
ไม่เคยรู้จักซักหน่อย เอ่อ ซงยอนมั้ง เขาพูดถึงซงยอน ใช่ไหมท่านลี" "ใช่ๆ ถูกต้อง
ซงยอน เรากำลังคุยถึงซงยอน" "ฮึ่ม ถ้าอย่างงั้น อะไรคือถอดเป็นถอด แก้เป็นแก้น่ะ"
ดัลโฮอึกนึกไม่ทัน ลีชองช่วยแก้แทน "เอ่อ อ้อ คืออย่างงี้ เจ๊กับพี่ดัลโฮ
ใกล้จะแต่งงาน ร่วมหัวจมท้ายแล้วไม่ใช่หรือ" ดัลโฮตกใจ "เฮ้ย" ลีชองไม่สนพูดต่อ
"ทีนี้จะแก้ผ้าหรือแก้อะไรก็ตามสบาย จริงหรือเปล่า เฮ่อๆๆ" มักซูได้ยินก็ดีใจ "อุ๊ย
แต่งงานหรือ นี่ จริงหรือเปล่าน่ะ" ดัลโฮรีบแก้ "เอ่อ ท่าน ท่านลี ไม่จริงนะ
มานี่ๆๆ นี่ ท่านลี พูดอะไรออกมาน่ะ หือ ใครให้ไปพูดเรื่องแต่งงานกับนาง"
"ไม่งั้นจะให้ทำไง รู้จักคำว่าขายผ้าเอาหน้ารอดหรือเปล่า" "มันก็จริง
แต่ว่าพูดเรื่องแต่งงานทำไม" " ก็เห็นกุ๊กกิ๊กมานานแล้วไม่ใช่เรอะ
ทำไมไม่แต่งให้เป็นเรื่องเป็นราวล่ะ ผู้หญิงก็รอจนเหนียงยาน ไหนๆ เอ่ยปากแล้ว
รีบแต่งไปก็สิ้นเรื่อง" "โธ่เอ๊ย ไม่ได้หรอก คือข้า ข้าไม่สามารถ
แต่งงานกับผู้หญิงคนไหนได้เข้าใจมั้ย" "เพราะอะไร" "เฮอะ โอ๊ย ตายๆ ๆ อยากจะบ้า
ข้าต้องเป็นบ้าแน่ โอย ไม่ไหวแล้ว" หญิง คนหนึ่งนำภาพไปให้ช่างเขียนตั๊กช่วยดู
ช่างเขียนตั๊กต่อว่าภาพที่เขียนมาลายเส้นตีกันยุ่งไปหมด ระบายสีไม่ได้
แล้วก็ไล่หญิงคนนั้นไป ซองซงยอนเห็นก็เข้าไปถามว่า "เอ่อ คือ โทษนะคะ ขอถามหน่อยว่า
ภาพนี้ใช้ไม่ได้ยังไง บอกหน่อยได้ไหมคะ" "หา อะไรนะ เจ้าไม่รู้หรือ" "ค่ะ
ลายเส้นอาจจะผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่ด้วยความสามารถของช่างเขียน
แก้ไขซักนิดก็ใช้ได้แล้วนี่คะ" "หึ เจ้าไม่รู้หรือว่า
นี่เป็นการทำให้เสียกระดาษเปล่าๆ แถมพวกเจ้ามาวุ่นวาย ทำให้ข้าต้องทำงานเพิ่มอีก" "
เอ่อ แต่ว่า เวลาพวกท่านเขียนรูป ก็เคยไม่ได้ดั่งใจ ทิ้งกระดาษหลายแผ่นเหมือนกัน
ขนาดช่างเขียนยังพลาดได้ แล้วสาอะไรกับคนงานล่ะคะ" "หา ว่าไงนะ"
ช่างเขียนตั๊กเริ่มโกรธมากที่โดนว่า " ถ้าภาพนี้ออกมาไม่ถูกใจ เราจะแก้แล้วแก้อีก
จนว่าท่านจะพอใจดีมั้ยคะ เพราะฉะนั้นอย่าโกรธซีบีเลยนะ ถือว่าให้โอกาสนางแก้ตัว
เราอาจทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง แต่ก็เพราะหวังดี อยากช่วยแบ่งเบาภาระน่ะค่ะ ตกลงนะคะ"
ช่างเขียนตั๊กได้แต่กระแอมนิด พูดไม่ออก
ขณะที่ซีบีหญิงคนนั้นออกไปร้องไห้เสียใจที่โดนดุ ซองซงยอน
โชบีและคนอื่นช่วยกันปลอบไม่ให้เสียใจ "ขอโทษด้วยนะ ข้าทำให้ทุกคนโดนว่าหมด ฮือ"
"ถึงบอกให้ตั้งใจเขียนไง" โชบีดุ "หนอย แล้วเจ้าล่ะ
ไม่เคยเขียนรูปจนใช้ไม่ได้หรือไง" หญิงคนนั้นจ๋อย "อย่างน้อยก็ดีกว่าซีบีล่ะ"
มีซูว่า "พวกเราโดนว่าไม่เป็นไรหรอก ห่วงแต่ซงยอนคนเดียว
มีเรื่องให้พวกช่างเขียนเหม็นหน้าอีกแล้ว เพราะออกหน้าแทนพวกเราดีนัก"
"พูดอะไรอย่างงั้น ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้าเลย ข้าชอบแส่เรื่องชาวบ้านมากกว่า หึๆๆ"
โชบีชมว่า "แต่ก็อย่างว่า ซงยอนเป็นพวกอดทนสูง จริงมั้ย" "ใช่ เพราะฉะนั้น
ใครจะมองข้ายังไงก็ช่าง แต่ทุกคนห้ามท้อแท้ เราต้องสู้ต่อไปถึงจะประสบความสำเร็จ"
ซองซงยอนให้กำลังใจทุกคน หญิงพวกนั้นเห็นด้วย "ใช่" "แน่นอน สู้อยู่แล้ว หึๆๆ
ทำงานต่อเร็วเข้า"0000000000000 คิมซังกุงชี้ชวนให้พระชายาโยอึยชม "พระชายา หึๆ
ทอดพระเนตรโน่นสิเพคะ เป็นคณะกายกรรมชื่อดัง จะมาแสดงในวันงานแน่ะค่ะ หึๆ" "ใช่
ข้างนอกมีการแสดงหลายอย่างที่เราไม่เคยเห็น" "หึๆๆ ในแต่ละปี
หม่อมฉันก็รอวันนี้แหละเพคะ มีคนเข้าออกค่อยดูคึกคักหน่อย
ช่วยให้ในวังดูมีชีวิตชีวาขึ้น" "อึม ใช่" คิมซังกุงเห็นซองซงยอนก็ไม่ค่อยพอใจ
"นั่น ทำไมนางมาวุ่นวายอีกแล้ว น่าเบื่อจริง,ชอบทำให้เสียอารมณ์เรื่อย"
ซองซงยอนทักพระชายาโยอึย "พระชายาทรงสำราญดีมั้ยเพคะ" "สบายดี
เจ้าก็มาช่วยงานด้วยหรือ" "เพคะ" "งั้นก็ตามสบายเถอะ ข้าขอตัวก่อน"
พระชายาโยอึยเสด็จไป คิมซังกุงทูลพระชายา "หึ ทรงทำถูกแล้วเพคะ
พระชายาต้องเย็นชาเข้าไว้ นางถึงไม่กล้ามาตีสนิทอีก หึๆ" "ท่านพูดอะไร ใครเย็นชา
เมื่อกี้ข้าทำอย่างงั้นหรือ" "เอ่อ พระชายา ไม่ได้จงใจหรือเพคะ
เมื่อกี้เห็นมีรับสั่งเรียบเฉย หม่อมฉันยังนึกว่าทรงคิดได้แล้วซะอีก พระชายา"
"ต่อไปข้าจะไม่ฟังท่านอีกแล้ว" "อะไรนะเพคะ"
"ข้ายังไม่ทันฟังนางอธิบายเรื่องที่เราสงสัย ก็ปักใจเชื่อแล้วว่า
นางคงทำอะไรผิดแน่" "แต่ว่า หม่อมฉันไม่ได้ใส่ร้ายนางนะเพคะ
เพราะนางมีพฤติกรรมน่าสงสัยจริงๆ ถึงได้มาทูลน่ะ" พระชายาโยอึยทรงไม่สนใจฟังแล้ว
องค์ชายลีซานเสด็จไปหาผู้เฒ่าอีกครั้ง เพื่อบอกเรื่องอุปกรณ์ที่ยืมไป
"เจ้าเอาอุปกรณ์ของข้าไปใช้กับการทำนาจริงหรือ" " โธ่ ข้าจะโกหกท่านทำไมล่ะครับ
แม้แต่วิธีเพาะปลูกอื่นๆ ที่เขียนในตำราข้าก็กำลังลองอยู่ ไว้มีข้อสรุปเมื่อไหร่
ข้าจะรีบมาบอกท่านทันที" "ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ เจ้าเป็นใครกันแน่บอกได้ไหม"
"ข้าเป็นใคร? หมายความว่าไงหรือครับ" ทันใดนั้นมีเสียงชายคนหนึ่งดังเข้ามา
"มีใครอยู่มั้ย เฮ่ย" ผู้เฒ่าเปิดประตูให้ "อ้าว ทำไมมาถึงนี่ได้ล่ะ" "เห็นเงียบหาย
ไม่ส่งข่าวตั้งนาน กลัวว่าจะเป็นอะไรในบ้านหรือเปล่า เฮ่ย ก็เลยมาดูหน่อย"
ผู้เฒ่าดุ "บังอาจ มีสายเลือดชนชั้นสูงอยู่ครึ่งหนึ่ง ยังกล้ามาโอหังกับข้าอีกหรือ"
ชายสองคนที่เข้ามาพากันหัวเราะ ชายแก่พลอยหัวเราะไปด้วย ก่อนจะถามว่า
"อาจารย์สบายดีหรือเปล่าครับ" ผู้เฒ่าไม่พูดอะไร "เฮ่อๆๆ" "ว่าแต่
เจ้าหนุ่มคนนี้เป็นใคร ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน" องค์ชายลีซานแนะนำตัวเองว่า "อ้อ ข้า
ข้าชื่อลีบูต๊อก เมื่อก่อนอยู่เมือง "ชองวอน" เพิ่งย้ายมาเมืองหลวงไม่นาน"
"ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าชื่อ "คังวอนแฮ" ถ้าเป็นคนเพิ่งมาเมืองหลวง
ทำไมรู้จักที่นี่ได้ล่ะ" "นั่นสิน้องชาย อนาคตอีกยาวไกล อย่ามาเสียคนที่นี่ล่ะ"
ผู้เฒ่าดุ "เพ้อเจ้ออะไรน่ะ ฮ่าๆๆ" ชายสองคนพลอยหัวเราะไปด้วย
แล้วองค์ชายลีซานก็ทราบว่าชายทั้งสองคนนี้ผู้เฒ่าได้ช่วยชีวิตไว้ "อะไรนะครับ
ท่านบอกว่าช่วยชีวิตพวกเขาไว้หรือ" "คนหนึ่งจะโดดสะพาน อีกคนจมน้ำไปแล้ว
ข้าเป็นคนช่วยขึ้นมาเอง คนเรานี่แปลก อยู่ดีๆ ชอบคิดสั้นเรื่อย"
"แล้วทำไมต้องคิดสั้นล่ะครับ" " เมื่อกี้ไม่ได้ยินหรือ
เรามีสายเลือดชนชั้นสูงเพียงครึ่งเดียว เพราะน้อยใจที่เกิดเป็นลูกอนุฯ
ทำอะไรก็ไม่มีใครยอมรับ เลยอยากตายให้รู้แล้วรู้รอด
แต่กลับคิดได้เพราะอาจารย์ท่านนี้ ตั้งแต่วันนั้น เราเลยนับถือเขามาก" "โธ่เอ๊ย
นับถือส่วนนับถือ ไม่ต้องเรียกอาจารย์ก็ได้ แต่อย่าพูดมากเลย
เล่าสิ่งที่พวกเจ้าพบเห็นดีกว่า ตอนนี้ราชสำนักเป็นไงบ้าง" ผู้เฒ่าถาม
"ก็เหมือนเดิมล่ะครับ อ้างว่ามีงานประจำปี หาเรื่องจัดเลี้ยงให้สิ้นเปลืองอีก"
"เฮ่ย จุ๊ๆๆ ข้างนอกมีคนอดตายแทบไม่เว้นวัน ทางการไม่เคยเหลียวแลบ้างเลย"
ผู้เฒ่าว่า " ไม่เพียงแค่นี้ องค์ชายลีซานซึ่งมีข่าวว่าถูกปลด
ก็ทำงานแบบผักชีโรยหน้า พักก่อนเก็บตัวอยู่ในวัง หลังๆ
ก็เริ่มออกมาเที่ยวเตร่น่ะครับ" องค์ชายลีซานทรงแก้ว่า "เอ่อ
เห็นว่ามีการริเริ่มนโยบายใหม่ แต่ถูกขัดขวางไม่ใช่หรือ" "ริเริ่มแล้วทำอะไรบ้าง
ครึ่งๆ กลางๆ สู้อย่าทำให้เสียเวลาดีกว่า ปากก็บอกว่าห่วงราษฎร จริงๆ
ก็ไม่ต่างกับพวกขุนนางนั่นแหละ" ผู้ เฒ่าตัดบท "พอที อย่าสักแต่ปากพูด
เจ้าลองไปทำดูมั้ยล่ะ หา ในเมื่อเรียนหนังสือมาเยอะ ก็ไปทำอะไรเพื่อบ้านเมือง
อย่าเอาแต่วิจารณ์คนอื่นให้มากนัก" "เราจะทำอะไรได้ล่ะครับอาจารย์ เกิดเป็นลูกอนุฯ
รับราชการก็ได้แค่ตำแหน่งปลายแถวเท่านั้น" องค์ ชายลีซานค้านอีก "เอ่อ
ใครว่าได้แค่ตำแหน่งปลายแถว ไม่จริงซักหน่อย ทางการได้ออกกฎใหม่ตั้งนาน ให้ลูกอนุฯ
ก็มีสิทธิ์รับราชการ ที่สำคัญ ขึ้นถึงตำแหน่ง "ชองโย" ยังได้เลย" "ถามจริงเถอะ
เจ้ามาจาก "ชองวอน" จริงหรือเปล่า" "ทำไม จะไม่จริงล่ะ"
"เหมือนคนไม่รู้จักโลกภายนอกน่ะสิ ข้าว่าไม่ได้มาจากชองวอนหรอก
แต่มาจากหลังเขามากกว่า" " คนที่รับเราทำงานเป็นใครรู้มั้ย ก็พวกขุนนางในวัง
ชนชั้นสูงแต่กำเนิด ถ้าตอนนี้เป็นท่าน จะยอมให้ลูกอนุฯ ข้ามหน้าข้ามตามั้ย"
ชายสองคนพากันถอนใจ เทซูกลับมารายงานฮงกุกยองว่าไม่มีอะไรให้ผิดสังเกต
ฮงกุกยองไม่อยากจะเชื่อ "จริงหรือ ไม่มีอะไรผิดสังเกตเลย" "ใช่ครับ
ทั้งทหารและคนนอก เครื่องมืออุปกรณ์ ไม่มีอะไรผิดปกติ" "ข้ากับจังบูก็เหมือนกัน
ตามดูชองโฮคยอมและคิมคีจู แต่พวกเขาก็ไม่มีอะไรน่าสงสัย" "งั้นก็น่าแปลก
มีกลิ่นตุชัด ๆ แต่ไม่มีใครสนใจ" "เอ่อ ใต้เท้า แล้วจะทำไงดีล่ะครับ ใกล้ถึงวันงาน
แต่เราสืบอะไรไม่ได้เลย" "ใจเย็นไว้ วู่วามไม่ช่วยแก้ปัญหาหรอก
เจ้ากลับไปคอยดูคิมคีจูต่อไป ไม่ถึงวันสุดท้าย ห้ามประมาทเด็ดขาด" "ครับ ใต้เท้า"
"เจ้าอีกคน ไปขอระเบียบการจัดงานมาให้ข้าดู แค่บอกใต้เท้าแชก็ได้แล้ว"
คังซกกีรับคำแล้วรีบออกไป เทซูถามฮงกุกยองว่า "หึ ใต้เท้า ข้าว่า
เราจะเดาผิดหรือเปล่า" " ข้าเชื่อว่าไม่ผิด สุนัขเวลาไปที่ใหม่ มันจะทำอะไร
ทำเครื่องหมายไว้ ห้รู้ว่านี่คือเขตของมัน มคีจูก็เหมือนกัน รีบร้อนจะแสดงผลงาน
โอกาสแบบนี้ เขาไม่ปล่อยให้หลุดมือหรอก" ซอจังบูตามคิมคีจูไป แต่กลับถูกตีหัว
พอได้สติก็กลับมาหาฮงกุกยอง "คิมคีจู ไปพบเจ้าหน้าที่อาวุธจริงหรือ" " หึ ครับ
ข้าเห็นกับตา พอออกจากวังปุ๊บก็ไปบ้านหมอนั่น ข้าเห็นว่า เป็นขุนนางผู้ใหญ่
ไปเยี่ยมทหารปลายแถวถึงบ้าน รู้สึกมีพิรุธ เลยไม่ได้ตามคิมคีจู
แต่สะกดรอยหมอนั่นแทน ปรากฎว่าไม่ทันไร ก็มีคนมาโป๊ะหัวข้า
จากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกน่ะครับ เฮ่ย" "ข้ากลับไปหาทหารคนนั้นอีก
ปรากฏว่าหายสาบสูญไปเลยครับ" "หมายความว่า ที่เราสะกดรอยพวกเขา
ถูกไหวตัวทันหรือเปล่า" "อึม มันก็อาจเป็นได้นะ โอย" "งั้นก็แย่แล้ว"
ฝ่ายชองโฮคยอมที่จับเจ้าหน้าที่อาวุธไปก็สั่งให้ปล่อยตัวไปเช้าวันรุ่งขึ้น
พระพันปีเฮคยองทรงฝันร้าย พอตื่นก็รีบเสด็จไปหาองค์ชายลีซานทันที
"ทำไมมาดึกป่านนี้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ ทรงมีธุระอะไรหรือเปล่า" "หึ
แม่นอนไม่หลับเลยมาหาเจ้า ลูกซาน" "พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่"
"รู้ใช่ไหมว่าคิมคีจูกลับจากเมืองเปียงยางแล้ว" "พ่ะย่ะค่ะ เราเคยพบกันด้วยซ้ำ"
"ตั้งแต่เขามายุ่มย่ามในวัง แม่แทบไม่ได้นอนหลับเลยซักวัน" "ทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะ
เขามีอะไรให้เสด็จแม่ไม่สบายพระทัยถึงบรรทมไม่หลับหรือ" " ลูกซาน
สมัยก่อนคนที่ให้ร้ายเสด็จพ่อของเจ้า เป็นใครรู้มั้ย ก็คือคิมคีจูคนนี้แหละ
เขายุยงให้ฝ่าบาททรงผิดใจกับรัชทายาท ทำให้เสด็จพ่อเจ้าต้องตายอย่างอนาถ"
"เรื่องนี้ จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ" " จริงแท้แน่นอน แล้วอยู่ดีๆ เขากลับมาอีก
จะให้แม่วางใจนอนหลับได้ยังไง ลูกซาน คนๆ นี้เหลี่ยมจัดน่ากลัว กล้าทำได้ทุกอย่าง
ต้องหาวิธีเล่นงานเจ้าแน่ เจ้าต้องระวังให้ดีนะลูก ลูกซาน"0000000000000000
องค์หญิงวาวานกับชองโฮคยอมเข้าเฝ้าพระมเหสีจองซุน
"ทำไมมาพบข้าทั้งสองคนพร้อมกันล่ะ" "ขอทรงอภัยเพคะ
แต่ว่าเพราะมีเรื่องที่รอช้าไม่ได้ แม้จะรู้ว่าเสียมรรยาท ก็ต้องมาเฝ้าเพคะ"
"มีเรื่องที่รอช้าไม่ได้ หมายถึงอะไรน่ะ นี่คืออะไร" "ทอดพระเนตรก่อนสิเพคะ" ชอง
โฮคยอมทูลว่า "เป็นดินดำที่ใต้เท้าคิม มอบให้ทหารที่อยู่หน่วยอาวุธ
ถุงนี้เกือบจะถูกลูกน้องขององค์ชายลีซานจับได้ ถ้าไม่เพราะ
คนของหม่อมฉันตามไปเห็นก่อน คงเป็นเรื่องใหญ่แน่พ่ะย่ะค่ะ"
"เจ้าบอกว่าคนของเจ้าหรือ" "พ่ะย่ะค่ะ พอรู้เรื่องเข้า หม่อมฉันรู้สึกตกใจมาก" "
ทรงทราบมั้ยว่า นี่เป็นเรื่องอันตรายแค่ไหนน่ะเพคะ
ถ้าไม่เพราะชองโฮคยอมรู้ทันซะก่อน ป่านนี้พวกเราคงมีภัยถึงตัวแน่
และไม่เพียงแต่ใต้เท้าคิม แม้แต่พระมเหสีก็จะทรงเดือดร้อนตาม หึ
ทหารที่ถูกจับให้การว่า ใต้เท้าคิมเป็นคนสั่งการ ให้ใช้ดินระเบิดแทนพลุ
ในงานประจำปีของวังหลวง หม่อมฉันสงสัยว่า ทำไมเรื่องใหญ่ขนาดนี้
หม่อมฉันไม่เห็นรู้อะไรซักนิดล่ะเพคะ" "หมายความว่า
ข้าต้องปรึกษาองค์หญิงหรือไม่ก็ชองโฮคยอมทุกเรื่อง ถึงจะทำงานได้หรือไง"
"ไม่ถึงอย่างงั้นหรอกเพคะ เพียงแต่ว่า เรื่องจะลอบสังหารองค์ชาย
พระมเหสีน่าจะให้เรารับรู้บ้าง" "ที่ข้าไม่บอกให้รู้ก็เพราะว่า
อยากให้พวกเจ้าได้พักผ่อน" "ให้เราได้พักผ่อนหรือ" " ก็เหมือนที่องค์หญิงบอก
เมื่อก่อนเรื่องเสี่ยงภัยทั้งหลาย มีแต่ให้องค์หญิงออกหน้าทั้งนั้น
คราวนี้เลยให้พักผ่อนบ้างเพราะไม่อยากรบกวนอีก" "หึ ทรงคิดอย่างงั้นหรือเพคะ
ถ้าทรงห่วงเราสองคนจริง เราจะไม่ลืมน้ำพระทัยของพระมเหสีเลย
แต่ว่าความรู้สึกที่เป็นห่วงอนาคตของบ้านเมือง หม่อมฉันก็ไม่ต่างกับพระมเหสี
สิ่งใดที่เป็นผลดี หม่อมฉันไม่รอช้าที่จะรีบทำทันที เพราะฉะนั้น
ทีหลังถ้ามีเรื่องอะไรอีก ขอให้ทรงปรึกษากับหม่อมฉันหรือไม่ก็ชองโฮคยอม
เพื่อรับประกันความผิดพลาด ไม่ให้เรื่องในวันนี้เกิดซ้ำอีก
พาให้ทุกคนเดือดร้อนนะเพคะ" "ข้าเข้าใจ แล้ว
ต่อไปจะทำตามความเห็นชอบขององค์หญิงทุกอย่าง
ส่วนความหวังดีที่เป็นห่วงข้าและบ้านเมืองของเรานั้น ชาตินี้ข้าจะไม่มีวันลืม"
"ขอบพระทัยเพคะ" พอออกมาองค์หญิงวาวานทรง กล่าวกับชองโฮคยอมว่า "หึ
เห็นสีหน้าตกใจของพระมเหสีหรือเปล่า รับรองว่านับแต่นี้
นางจะไม่กล้ามองข้ามข้าอีก"พระมเหสีจองซุนทรงเรียกคิมคีจูมาเฝ้าด่วน "เฮ่อๆๆ เฮ่อๆๆ
ได้ยินว่าพระมเหสีมีรับสั่งให้หา หม่อมฉันเลยรีบมาทันที มีอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ"
"ยังมีหน้ามาถามข้าอีก เกิดอะไรขึ้นบ้าง ท่านไม่รู้เลยหรือไง" "หา เอ่อ คือ
หมายความว่าไงหรือพ่ะย่ะค่ะ เฮ้ย เอ่อ ถุงนี้ทำไมถึง"
"รู้มั้ยว่าใครเอาถุงนี้มาให้ข้า" คิมคีจูอึ้ง "ชองโฮคยอมกับองค์หญิงวาวาน
บอกว่าพอดีเจอเข้าเลยไม่ไปอยู่กับองค์ชายซะก่อน" คิมคีจูตกใจ "หา" "เพราะอะไร
ทำไมถึงทำงานสะเพร่าขนาดนี้" "เอ่อ ทรงอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ ทรงประหารหม่อมฉันด้วยเถอะ
ฮือๆๆ" "หึ ยกเลิกแผนนี้ซะ ข้าจะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น อยู่เฉยๆ เพื่อรอโอกาสใหม่"
"แต่ว่าหม่อมฉัน ได้เตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้ว ให้ยุติกลางคันมิน่าเสียดาย"
พระมเหสีจองซุนทรงจ้องหน้าคิมคีจู "ฮึ่ม" "เอ่อ ฮือ" "ไม่ได้ยินที่ข้าสั่งใช่ไหม
ตอนนี้แม้แต่ทางองค์ชายก็รู้ระแคะระคายแล้ว วิธีนี้ ไม่สามารถจะฆ่าเขาได้หรอก"
คิมคี จูโกรธจัดไปจัดการเจ้าหน้าที่อาวุธที่ถูกชองโฮคยอมจับตัวไปและปล่อยตัวกลับ
มาแล้ว เจ้ากรมพิธีการห้ามไว้ไม่ให้คิมคีจูฆ่าชายคนนั้น "ข้าไม่ยอมรามือแค่นี้หรอก"
"ไม่ยอมรามือแค่นี้ หมายความว่าไงน่ะ" "ทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้
ท่านก็ไปทำงานเหมือนเดิม" "แต่พระมเหสีรับสั่งว่า" " ทำไม
คำพูดข้าไม่มีความหมายใช่ไหม ก็เพราะเห็นแก่พระมเหสี เราถึงต้องทำแบบนี้
ถ้าปล่อยให้เรื่องนี้เงียบหาย องค์หญิงวาวานกับชองโฮคยอมจะยิ่งเหิมเกริมไม่หยุด
ถึงตอนนั้น พระมเหสีจะเอาพระพักตร์ไปไว้ไหน
ต่อให้องค์ชายรู้ว่าจะมีการวางระเบิดก็ปล่อยให้รู้ไป
เราจะไม่บอกว่าวางที่ไหนและเมื่อไหร่ ฉะนั้นโอกาสยังเป็นของเราอยู่
ขอแค่บรรลุเป้าหมายก็พอ ขอเพียงสังหารองค์ชายได้ ปัญหาทุกอย่างก็จะคลี่คลายเอง"

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน จบ 25

โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ และก็ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านค่ะ

เครดิต :www.oknation.net/blog/lakorn

Readlakorn
เว็บเรื่องย่อละครรายตอนตามบทโทรทัศน์ช่อง3,5,7,นิยาย ไทยรัฐ,
ละครเกาหลี,ละครไต้หวัน (Series), ลิ้งค์(Links) ดูละคร Youtube, ลิ้งค์ดาวน์โหลด
(Download) เพลงละคร OST. และ เพลง MP3 ทั่วไป ทั้งVampires (แวมไพร์) Sumo อื่นๆ
เรื่องย่อละคร
ลีซานจอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน เมียหลวง บริษัทบำบัดแค้น
แม่ค้าขนมหวาน สายสืบดิลิเวอรี่ คุณแม่จำแลง เมนูรักเชฟมือใหม่ ดำขำ ปอบผีฟ้า
ตะวันชิงดวง คุณชายไฮโซกับคุณหนูโอท็อป Hello! My Lady

Readlakorn

Related Posts



3 comments:

Anonymous said...

ทำไมอ่านได้เฉพาะตอนที่ 23 ล่ะคะ ตอน 24-25 ไม่เห็นมีเลย เสียดายจัง

Anonymous said...

คุณทำได้เยี่ยมมากที่หาเนื้อเรื่องย่อมาให้อ่าน ขอบคุณน่ะ

Anonymous said...

ชอบมาก ขอบคุณค่ะ

 

Recommended Product

  • ads
  • ads
  • ads
  • ads
  • ads
  • ads
  • ads
  • ads

My Blog List

Read Lakorn Copyright © 2009 Shopping Bag is Designed by Ipietoon Sponsored by Online Business Journal