ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน 19
ชองโฮคยอมรีบไปเฝ้าพระมเหสีจองซุน และทูลว่าองค์ชายลีซานยอมให้พระเจ้ายองโจเสวยยาที่เรานำไปถวายแล้ว
องค์ ชายลีซานกำลังจะเข้าเฝ้าพระเจ้ายองโจ มหาดเล็กก็หน้าตาตื่นมาทูลว่า พระเจ้ายองโจเสวยยาแล้วมีไข้สูง จนหมดสติไป องค์ชายลีซานรีบสั่งให้หมอหลวงช่วยพระเจ้ายองโจ
ทางด้านฮงกุกยองก็รีบไปหาหมอที่ให้ยานี้มา หมอคนนั้นขอทราบรายละเอียดการประชวรของพระเจ้ายองโจก่อน ถึงจะบอกได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด
ขณะที่องค์หญิงวาวานทราบก็รีบมาที่วังหลวงทันที และทันได้ยินองค์ชายรับสั่งกับหมอหลวง
"เฮ่ย นอกจากยาชุดใหม่แล้ว ไม่ได้ให้เสวยอย่างอื่นใช่ไหม"
"พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย เพราะว่า ทรงกำชับให้เสวยแต่ยาชุดใหม่ ตลอด 3 วันที่ผ่าน หม่อมฉันจึงไม่ได้สั่งยาอื่นเลย"
"งั้นหยุดยาชุดนี้ซะ กลับไปรักษาเหมือนเดิม"
องค์หญิงวาวานเข้ามา "ไม่ได้นะเพคะองค์ชาย หึ"
"องค์หญิงวาวาน"
"หึ องค์ชาย อย่าให้หมอหลวงหยุดยาเลย เพราะถ้าหยุดตอนนี้ เท่ากับเริ่มต้นรักษาใหม่ จะยิ่งลำบากขึ้นนะเพคะ"
"รู้หรือเปล่าว่าทรงทำอะไร ลืมรับสั่งของฝ่าบาทที่ไม่ให้เข้าวังแล้วหรือ"
" เปล่าเลย หม่อมฉันไม่ได้ลืม พระบัญชาของฝ่าบาท หม่อมฉันจะลืมง่ายๆ ได้ยังไง แต่ถ้าไม่เข้าวังมา หม่อมฉันต้องสูญเสียเสด็จพ่อแน่ จึงยอมเสี่ยงตายเข้ามาซักครั้ง องค์ชายโปรดอย่าระงับยาชุดนี้ ถ้าคิดจะช่วยฝ่าบาทจริง ก็ต้องให้เสวยต่อไป" องค์หญิงวาวานขอร้อง
"เลิก พูดซะที เพราะยาของเสด็จป้า ทำให้ฝ่าบาททรงหมดสติจนถึงป่านนี้ แล้วยังยืนกรานให้เสวยต่ออีก หม่อมฉันไม่รู้ว่าต้องการอะไรกันแน่"
"ที่ทรงเป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะทรุดหนัก แต่เพราะฤทธิ์ยากำลังทำงาน ร่างกายมีการตอบสนองต่างหาก"
"อะไรนะ"
" การที่ฝ่าบาททรงหลับสนิท แสดงว่าพระอาการเริ่มจะดีขึ้น ขณะที่ฤทธิ์ยากำลังทำงาน ร่างกายต้องขับพิษออกมาถึงได้เป็นแบบนี้ อาจจะดูทรุดหนักก็เพียงชั่วคราว ถ้ารอซักพัก ฝ่าบาทจะทรงมีไข้ลดลงและรอยแผลก็จะจางลง พร้อมกับรู้สึกพระองค์มากขึ้น ขอเพียงใช้เวลาเท่านั้น องค์ชาย"
องค์ชายลีซานถามหมอหลวง "องค์หญิงรับสั่งถูกหรือเปล่า"
"ขอทรงอภัย ที่องค์หญิงรับสั่ง เหมือนเป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่ร่างกายได้รับยาพ่ะย่ะค่ะ"
"ข้าก็รู้ว่านั่นหมายถึงอะไร เพียงแต่จะถามว่า ที่ฝ่าบาทมีอาการทรุดลง หมายถึงฤทธิ์ยาจะช่วยให้ดีขึ้นใช่หรือเปล่า"
" เรื่องแบบนี้ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ ต้องใช้เวลาในการพิสูจน์พ่ะย่ะค่ะ เพราะที่ดูจากตอนนี้ หม่อมฉันก็ไม่อาจด่วนสรุปได้เหมือนกัน"
"ทรงได้ยินแล้วใช่ไหม หม่อมฉันไม่อาจเอาชีวิตฝ่าบาท ไปเสี่ยงกับเสด็จป้าได้อีก เชิญกลับไปได้แล้ว"
" ขอเวลาให้หม่อมฉันหนึ่งวันได้ไหมเพคะ ขนาดหมอหลวงยังไม่กล้าด่วนสรุป ก็แสดงว่าอาการที่เห็น อาจจะค่อยๆ ดีขึ้น หม่อมฉันจึงอยากขอว่าอย่าเพิ่งเปลี่ยนยาที่ให้ฝ่าบาทเสวยเลย แม้หม่อมฉันจะถูกขับออกจากวังก็จริง แต่ยังไงฝ่าบาทก็คือเสด็จพ่อ แล้วหม่อมฉันจะกล้าปองร้ายเสด็จพ่อตัวเองได้ยังไง ฮือ ถ้าตอนนี้เราเปลี่ยนยา สิ่งที่ทำมาก็เท่ากับเสียเปล่า หม่อมฉันจึงอยากขอเวลาแค่วันเดียวเท่านั้น ถ้าหาก ผ่านวันนี้แล้วยังไม่ดีขึ้น หม่อมฉันก็จะมอบชีวิต ให้องค์ชายลงโทษยังไงก็ได้ ฮือๆๆ ฮือๆๆ ฮือๆๆ"
องค์หญิงวาวานร้องไห้อย่างหนัก องค์ชายลีซานลำบากใจไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไรดี
ฮงกุกยองกลับมารายงานให้องค์ชายลีซานและทุกคนฟังว่า
" นี่คือ รายงานการรักษาของหมอชาวบ้านพ่ะย่ะค่ะ หมอคนนั้นบอกว่า แม้จะมีส่วนน้อย แต่ก็มีบางรายที่ไข้ขึ้นสูงและหายใจติดขัด แต่ไม่นาน ผู้ป่วยจะค่อยๆ เข้าสู่ภาวะปกติพ่ะย่ะค่ะ"
"แต่ยังไง ก็ไม่ควรวางใจมากนะพ่ะย่ะค่ะ เพราะยาชุดนี้มีส่วนผสมของโสมแดง แม้ว่ามีสรรพคุณในการบำรุงกำลังชั้นเลิศ แต่ยังไม่ได้ผ่านการรับรองจากสำนักหมอหลวง เมื่อเห็นท่าไม่ดี ก็ควรหยุดยาไว้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ" แชจีคยอมว่า
องค์ชายลีซานทรงลังเล "แต่ว่า ถ้ามันช่วยให้ดีขึ้นจริงล่ะ"
"องค์ชาย"
" ข้าเคยอ่านตำราเล่มหนึ่ง บอกว่าการที่หายใจติดขัด เพราะผู้ป่วยที่อ่อนแรง พยายามจะสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไป ร่างกายจึงต้องทำงานหนักเพื่อปรับสภาพตัวเอง หากเป็นอย่างงั้นจริง ไม่แน่ยาชุดนี้อาจเห็นผลก็เป็นได้ ไหนๆ หมอหลวงก็บอกว่าจนปัญญาแล้ว เผื่อบางที มันอาจเป็นความหวังใหม่ของเรา"
"ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ มันเป็นความเสี่ยงที่น่ากลัว ต้องเข้าพระทัยอย่างหนึ่งว่า ถ้าไม่รับสั่งให้หยุดยาตอนนี้ อย่าว่าแต่องค์หญิงเลย แม้แต่องค์ชายก็จะทรงเดือดร้อนตามพ่ะย่ะค่ะ"
ขณะที่พวกแชซกจู ชองโฮคยอม ต่างวิตกกังวลกับอาการของพระเจ้ายองโจ พระมเหสีจองซุนเสด็จมา
"องค์หญิงยังอยู่ที่ตำหนักใหญ่หรือ"
ชองโฮคยอมทูล "พ่ะย่ะค่ะ เราต่างรู้สึกเสียใจที่ทำให้พระมเหสีทรงเป็นห่วง"
" ทำไงได้ล่ะ เรื่องแบบนี้ใครก็ไม่อยากให้เกิด แต่ว่า ถ้าฝ่าบาททรงมีอันเป็นไปจริง อย่าว่าแต่องค์หญิง แม้แต่พวกเราก็จะไม่รอดด้วย....เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ให้คนของเรามาซุ่มอยู่ที่นอกเมืองก่อน เข้าใจมั้ย"
"พ่ะย่ะค่ะ พระมเหสี"
องค์ชายลีซานสั่งให้หมอหลวงจัดยาต่อ ทำให้องค์หญิงวาวานทรงดีใจและยอมกลับไปรอฟังข่าวที่บ้าน
ทุกคนเฝ้าคอยฟังข่าวพระเจ้ายองโจแทบจะทุกวินาที องค์ชายลีซานแทบจะอยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้ายองโจตลอดเวลา พระเจ้ายองโจทรงหอบ
"นี่มันเวลาอะไรแล้ว" องค์ชายลีซานถาม
"ใกล้ถึงเที่ยงคืนแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
"ไปบอกท่านหมอใหญ่ที่ต้มยา ไม่ต้องนำมาถวายอีกแล้ว ท่านถอยไปก่อน ข้าจะดูแลเอง"
"เอ่อ แต่ว่า"
"ไม่เป็นไร ถอยไปเถอะ"
"พ่ะย่ะค่ะ" หมอหลวงยอมถอยไป
"เดี๋ยวก่อน"
"อะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ"
"ผ้าผืนนี้มาวางตั้งแต่เมื่อไหร่"
"ครึ่งชั่วยามก่อนพ่ะย่ะค่ะ เพราะทรงมีไข้สูง จึงเปลี่ยนผ้าครั้งละครึ่งชั่วยาม ไม่งั้นผ้าจะร้อนพ่ะย่ะค่ะ"
"แต่มันเย็น ผ้าผืนนี้ยังเย็นอยู่ หา หึ มหาดเล็กอยู่ไหน ไปตามหมอใหญ่มาเดี๋ยวนี้"
หมอหลวงเข้ามาตรวจพระอาการ องค์ชายลีซานตรัสถามว่า เป็นไงบ้าง
"อาการไข้ ดูจะลดลงไปเยอะ และพระชีพจรก็เต้นเป็นปกติพ่ะย่ะค่ะ"
"หา เป็นความจริงหรือนี่"
" จริงพ่ะย่ะค่ะ ที่ทรงหายพระทัยติดขัด หากเป็นเพราะร่างกายตอบสนอง มันจะค่อยๆ ดีขึ้น ตอนนี้ถ้าให้หม่อมฉันสันนิษฐาน น่าจะพ้นขีดอันตรายแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
องค์ชายลีซานทรงดีพระทัยไม่น้อย "หึ หึ"
ทางด้านองค์หญิงวาวาน พระมเหสีจองซุน ต่างดีพระทัยกันมากที่พระเจ้ายองโจอาการดีขึ้น พระมเหสีจองซุนรับสั่งกับองค์หญิงวาวานว่า
"หึ ขอบใจมากนะ นี่เป็นความดีความชอบของเจ้า เจ้าช่วยชีวิตฝ่าบาทและพวกเราไว้ด้วย"
"ฮือ พระมเหสี ฮือ"
แชจีคยอม นัมซาโช และฮงกุกยอง แสดงความยินดีกับองค์ชายลีซาน
"ขอบใจมาก นี่เป็นความสามัคคีของพวกเราทุกคน"
แชจีคยอมกล่าวว่า "มิได้พ่ะย่ะค่ะ ทั้งหมดเป็นเพราะ ความกตัญญูขององค์ชายที่ทำให้สวรรค์ตื้นตันมากกว่า"
"ไม่หรอก ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย ว่าไปแล้ว เป็นความชอบขององค์หญิงวาวาน ถ้าไม่ได้นาง ฝ่าบาทคงไม่หายเร็วขนาดนี้"
" แต่ว่า การตัดสินพระทัยเลือกวิธีรักษา ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก รู้ทั้งรู้ว่าหากผิดพลาดหมายถึงชีวิต แต่คนที่รับผิดชอบก็คือองค์ชาย" ฮงกุกยองกล่าว
"แม้ว่าจะพ้นขีดอันตราย แต่ฝ่าบาทยังทรงอ่อนแออยู่มาก รอให้ทรงหายเป็นปกติแล้ว ยังมีงานอีกมากต้องรบกวนท่านอีก"
"พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันยินดีรับใช้ ขอทรงวางพระทัย"
ชองโฮคยอมพบกับฮงกุกยองเขาจึงทัก
"จะกลับบ้านแล้วหรือ"
"ใช่ครับ ยินดีกับใต้เท้าด้วย"
"หึ นี่คงเป็นการร่วมมือครั้งแรกของเรา และอาจเป็นครั้งสุดท้ายด้วย"
"หึ ใช่ น่าจะเป็นอย่างงั้น หมดเรื่องแล้ว ข้าน้อยขอตัวก่อนน่ะครับ"
พอฮงกุกยองเดินไปแล้ว แชซกจูถามว่า
"คนนี้น่ะหรือคือที่ปรึกษาขององค์ชายน่ะ"
"ใช่ครับ เขาก็คือฮงกุกยอง"
"อายุยังน้อยอยู่นี่"
" ใช่ครับ แต่ว่า ความสามารถของหนุ่มคนนี้ ทำให้หลายคนแทบจะปาดเหงื่อไม่ทัน หมอนี่ไม่ใช่คนธรรมดา ถ้าเอามาเป็นพวกไม่ได้ เราต้องให้เขาอยู่ห่างจากองค์ชายให้มากที่สุด"
แชซกจูมองตามไป แล้วเห็นด้วยกับคำพูดของของโฮคยอม
000000000000000
หมอหลวงเห็นองค์ชายลีซานเฝ้าพระเจ้ายองโจหลายวันติดกันจึงทูล
"องค์ชาย ทรงไม่ได้กลับตำหนัก 4 วันติดต่อกัน และฝ่าบาทก็พ้นขีดอันตรายแล้ว เสด็จกลับไปพักผ่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ"
"ไม่ ข้าไม่เป็นไร ท่านไม่ต้องห่วง"
พระเจ้ายองโจทรงรู้สึกพระองค์พอดี "ทำตามที่หมอหลวงบอกเถอะ"
องค์ชายลีซานได้ยินก็ตกใจ "ฝ่าบาท"
พระเจ้ายองโจทรงถอนพระทัย "เฮ่อ"
"หึ ฝ่าบาท รู้สึกพระองค์แล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ หึ ฝ่าบาท"
"ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าดีขึ้นแล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถอะ"
"ไม่พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะอยู่กับฝ่าบาทอีกหนึ่งวัน"
" อย่าฝืนตัวเองเลย ไปซะ ดูหน้าตาเจ้าซิ แค่ไม่กี่วันเท่านั้น ทำไมดูทรุดโทรมขนาดนี้ เฮ่อ เอาเป็นว่าขอบใจ ที่เป็นห่วงข้า อุตส่าห์มาเฝ้าตั้งหลายวัน"
"ฝ่าบาท"
ช่างเขียนรายงานปาร์คยองมุนว่า
"เจ้ากรมการศึกษา ให้เราเขียนภาพนิทานคติธรรม ส่วนแผนกเครื่องปั้น ให้ส่งช่างเขียนที่ถนัดด้านลวดลายปูนปั้น ไปช่วยทำงานน่ะครับ"
"งานเราก็เยอะอยู่แล้ว ยังต้องส่งคนไปอีก" ปาร์คยองมุนว่า
ซองซอยอนเข้ามาบอกว่า "ภาพงานพิธีรวบรวมเสร็จแล้วค่ะ"
"อ้อ ขอบใจ อ้อ ใช่ รูปพวกนี้ เจ้าช่วยเอาไป เรียงลำดับหน่อยนะ" ปาร์คยองมุนสั่ง
ซองซอยอนรับคำ "ค่ะ"
"อึม จริงสิ ฉากกั้นที่พระชายาเฮคยองรับสั่ง เขียนเสร็จหรือยัง"
ช่างเขียนรายงานว่า "เป็นเพราะว่า ต้องตามเสด็จไปสุสานหลวงและฝ่าบาททรงประชวรอีก ทำให้เสร็จแค่ครึ่งเดียวน่ะครับ"
"เวลาที่กำหนดคือวันที่ 10 เดือนนี้ เหลืออีกแค่ 3 วัน แต่ยังมี 4 ภาพไม่ได้เขียนใช่ไหม"
"ขอโทษด้วยครับ"
"เฮ่ย แล้วจะทำไงดีล่ะนี่ เจ้าคิดว่า มีใครพอให้ช่วยงานต่อได้ไหม"
"แต่ว่า ทุกคนมีหน้าที่ของตัวเอง จะให้มาช่วยอีก"
"แย่จริง แล้วจะทำไงดี อ้อ เจ้ามานี่ซิ" ปาร์คยองมุนเรียกซองซอยอน
"อ้อ ค่ะ"
"เหลือภาพสุดท้าย ให้เด็กคนนี้ช่วยได้ไหม"
ซองซอยอนอึ้ง "ใต้เท้าคะ"
ช่างเขียนเองก็อึ้ง "หมายความว่าไงหรือครับ"
"เพราะเราสองคน ต่างก็ไม่มีเวลาเขียนรูปไม่ใช่หรือ"
"เอ่อ แต่ว่า นางเป็นแค่คนงาน จะให้รับผิดชอบภาพเขียนที่จะส่งเข้าวังได้ไงล่ะครับ"
"นั่นสิคะใต้เท้า ข้าไม่บังอาจหรอก"
"ไม่เป็นไร ลองดูก่อน คนที่เสนอให้เปลี่ยนแนวคิดในการเขียนภาพ คือเจ้านี่นา" ปาร์คยองมุนว่า
"แต่ว่า ใต้เท้าคะ"
"ทำไม ไม่อยากลองหรือไง"
ซองซอยอนอึ้งไป "เอ่อ คือ"
โชบีตั้งใจจะมาเยี่ยมเทซู แต่กลับเห็นเขาใส่ชุดทหาร
"ใส่ชุดทหารแล้วนี่ แสดงว่าจะเข้าวังแล้วหรือ แผลเจ้าหายดีหรือยัง"
"หา แผลหรือ หายดีแล้ว เอ่อ เจ้าฝากยามากับซงยอนใช่ไหม ขอบคุณมาก เพราะกินยาเลยยิ่งหายเร็ว"
โชบีหัวใจพองโตทันที "หา จริงหรือคะ เพราะยาของข้า ช่วยให้หายจริงหรือ หึๆๆ"
"อึม ใช่"
"แหม หึๆๆ" โชบีเขินๆ เทซูกระแอมนิด
มีซูเฝ้าสังเกตและมาเล่าให้ซองซอยอนฟัง
"ข้าว่าโชบี คงหลงเสน่ห์เทซูเข้าแล้ว เห็นใครๆ บอกว่าทุกวันนี้ นางมีแต่พูดถึงเทซูอย่างงั้นอย่างงี้ ซงยอน"
ซองซอยอนไม่ทันฟัง "หา"
"เป็นไรไป ไม่ได้ฟังที่ข้าพูดเลยหรือ"
"หา อ้อ มีซู ข้ามีธุระ ขอตัวเดี๋ยวนะ"
มีซูมองตามอย่างงวยงง "หา นี่ เป็นอะไรของนาง"
ซองซอยอนมาพบช่างเขียนแล้วบอกว่าอยากลองเขียน
"แล้วยังไง แปลว่าเจ้าอยากลองเขียนดูหรือ"
"ใช่ค่ะ ถ้าท่านยอมอนุญาตละก้อ"
" แย่ชะมัด ข้าเองก็ไม่มีเวลาจะวาด กลับต้องฝากความหวังไว้กับคนงานอย่างเจ้า เอาเถอะ ข้าจะเบิกสีและกระดาษให้ ภายใน 3 วัน เขียนรูปกล้วยมาให้ดู แน่ใจว่า เจ้าจะทำได้ล่ะ"
"หึ ค่ะ ข้าจะตั้งใจทำให้ดี"
พระมเหสีจองซุนเสด็จมาหาองค์ชายลีซานถึงตำหนัก สร้างความแปลกใจให้องค์ชายลีซานมาก
"พระมเหสี ทำไมเสด็จมาถึงนี่ได้ล่ะ"
"ที่มาเพราะมีเรื่องบางอย่างจะคุยกับเจ้า หวังว่า คงไม่ได้มารบกวนหรอกนะ"
"ไม่พ่ะย่ะค่ะ โปรดอย่ารับสั่งอย่างงั้น"
" องค์ชาย สิ่งที่ข้าทำ คงทำให้เจ้ารู้สึกอึดอัดไม่น้อย แต่นั่นเป็นเพราะว่า ฝ่าบาททรงประชวรหนัก ข้าไม่มีทางเลือกจึงต้องทำแบบนี้ หวังว่าเจ้าคงจะเข้าใจ"
"พระมเหสี รับสั่งจนหม่อมฉันรู้สึกละอายใจ"
"ไม่หรอก มานึกดูอีกที ข้าก็ทำเรื่องผิดต่อเจ้าหลายอย่าง"
"พระมเหสี"
" แต่ว่า ที่ข้าออกหน้าแทนองค์หญิงและเจ้ากรมปกครองก็เพราะว่า ไม่อยากให้พลาดความหวังสุดท้ายที่จะรักษาฝ่าบาท โดยไม่คิดว่าจงใจขัดคำสั่งเจ้า แต่ว่า เพราะเราร่วมแรงร่วมใจ ทำให้ฝ่าบาททรงปลอดภัยได้ ถือเป็นเรื่องที่โชคดีนัก"
"พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันก็เห็นด้วย"
" เพราะฉะนั้น มีอีกเรื่องหนึ่ง ที่ข้าอยากปรึกษากับเจ้าหน่อย หรือเจ้าคิดยังไง เมื่อทุกอย่างจบลงด้วยดี ให้องค์หญิงวาวานกลับมาอีกครั้งดีมั้ย คราวนี้ถ้าไม่ได้องค์หญิง ฝ่าบาทคงไม่หายประชวรเร็วขนาดนี้ เพราะฉะนั้น ถือว่านางได้ทำคุณไถ่โทษเถอะนะ หรือเจ้ามีความเห็นยังไง"
"แต่ว่า นั่นเป็นรับสั่งของฝ่าบาท"
" ทางด้านฝ่าบาทไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยทูลให้เอง องค์หญิงเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อช่วยฝ่าบาท ถึงจะทรงกริ้วแค่ไหน อย่างน้อยควรเห็นแก่ความดีของนางบ้าง"
องค์ชายลีซานกล่าวอะไรไม่ออก ขณะที่พวกนัมซาโชรู้ก็บอกองค์ชายลีซานว่า
"จะให้องค์หญิงกลับมาหรือพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้จะทรงเห็นชอบไม่ได้"
ฮงกุกยองแย้งว่า "แต่จะทำไงได้ล่ะ เราไม่มีเหตุผลที่จะอ้าง"
"ไม่มีเหตุผลก็หาเข้าซี ยังไงก็ไม่ควรให้นาง"
องค์ชายลีซานตัดบทว่า "เรื่องนี้ ข้าเห็นด้วยกับอาลักษณ์ฮง"
นัมซาโชอึ้ง "หา"
"ยังไงก็ตามแต่ องค์หญิงก็ได้ช่วยฝ่าบาทไว้ น่าจะมีบำเหน็จให้นาง ไม่ใช่ไปขัดขวางอีก"
" องค์ชาย ผู้หญิงคนนี้อาจคิดร้ายได้ตลอดเวลา ถ้าให้นางมาอยู่ใกล้ เหมือนเป็นหอกข้างแคร่นะพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้ หม่อมฉันไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง"
"พอที อย่าพูดมากอีกเลย"
"องค์ชาย"
" ตอนฝ่าบาทประชวรหนัก ข้าเคยคิดไว้ว่า ขอเพียงรักษาพระองค์ได้ ให้เผชิญกับเรื่องเลวร้ายแค่ไหนก็ไม่กลัว เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ไม่ต้องพูดอีก"
"องค์ชาย" นัมซาโชจะพูดแต่องค์ชายลีซานไม่ทรงฟังแล้ว
ไม่กี่วันต่อมา คิมซังกุงก็ชี้ชวนให้พระชายาโยอึยดู
"พระชายา ดูนั่นสิเพคะ"
"นั่นองค์หญิงวาวานนี่นา"
"หึหลายวันก่อนมีข่าวว่าองค์หญิงจะได้กลับมาอีกครั้ง ที่แท้เป็นเรื่องจริงหรอกหรือ ดูสิเพคะ เอาสัมภาระกลับมาด้วย"
"องค์หญิงวาวานกลับมาอีกหรือ"
"ใช่แล้วเพคะ ตอนนี้อยู่ที่ตำหนักใหญ่ ส่วนตำหนักเดิมก็มีบ่าวไพร่ไปเก็บกวาดเพคะ"
องค์หญิงวาวานเข้าเฝ้าพระเจ้ายองโจและพระมเหสีจองซุน
"นั่งลงเถอะองค์หญิง"
"หึ เสด็จพ่อ ทรงรู้สึกดีขึ้นมั้ยเพคะ ทรงแข็งแรง เสวยได้มากขึ้นบ้างมั้ย"
พระเจ้ายองโจทรงนิ่งไป พระมเหสีจองซุนทูล "ฝ่าบาท"
พระเจ้ายองโจทรงตรัสว่า "ใช่ ข้ารู้สึกดีขึ้นมาก เห็นว่าคราวนี้ เป็นเพราะเจ้าวิ่งเต้นเหนื่อยกว่าใครหรือ"
"เสด็จพ่อ"
"เจ้าคงยังไม่หายโกรธที่ถูกข้าลงโทษสินะ ขอบใจมาก"
" ฮือ หม่อมฉันจะกล้าโกรธได้ยังไงเพคะ โปรดอย่ารับสั่งอย่างงั้น หม่อมฉันจะกล้าโกรธเสด็จพ่อได้ยังไง ป่านนี้แล้ว เสด็จพ่อยังไม่เข้าพระทัยความกตัญญูของหม่อมฉันอีกหรือ ฮือ แค่ได้มาเฝ้าเสด็จพ่ออีกครั้ง หม่อมฉันก็รู้สึกดีใจมากแล้ว เพราะหม่อมฉัน กลัวว่าจะไม่มีวันได้เฝ้าเสด็จพ่ออีก ฮือ ถ้าเป็นอย่างงั้นจริง ฮือๆๆ"
"องค์หญิง วันนี้เป็นวันดี อย่าร้องไห้ต่อหน้าพระพักตร์สิ" พระมเหสีจองซุนเตือน
"ฮือ หม่อมฉันขออภัยเพคะ"
"ฝ่าบาท องค์หญิงเสียใจขนาดนี้จะไม่เห็นพระทัยบ้างหรือเพคะ มีรับสั่ง ปลอบใจนางบ้างเถอะ"
"นั่นสิ อย่าร้องไห้อีกเลย ตอนนี้ข้า ก็หายดีแล้วนี่นา"
"ฮือ เสด็จพ่อ เสด็จพ่อเพคะ ฮือๆๆ ฮือๆ"
000000000000000
แชซกจูกล่าวกับองค์หญิงวาวานที่ได้เสด็จเข้าวังหลวงอีกครั้ง
"ช่างลำบากองค์หญิงจริงๆ คราวนี้เป็นเพราะความคิดขององค์หญิง เราถึงได้รอดพ้นหวุดหวิด"
" ข้าทำเพื่อตัวเองก็จริง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ยังไงเสด็จพ่อก็ทรงเป็นผู้ให้กำเนิดที่มีพระคุณ แม้จะเกิดเรื่องแบบนี้อีกครั้ง การตัดสินใจของข้าก็ยังเหมือนเดิม"
พระ มเหสีจองซุนตรัสว่า "ข้าเข้าใจ ความคิดองค์หญิงเป็นยังไง ข้าก็รู้ แต่ยังไงก็ตาม คราวนี้ถือว่าเจ้าเป็นคนช่วยพวกเราไว้ ผลงานชิ้นนี้ ข้าจะไม่มีวันลืม"
"หึ ขอบพระทัยพระมเหสีเพคะ"
"ต้องขอบใจเจ้าอีกคน ถ้าไม่ได้เจ้า องค์ชายคงไม่ยอมเปลี่ยนใจง่ายๆ" พระมเหสีจองซุนทรงชื่นชมชองโฮคยอม
"ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ"
ออกจากตำหนักของพระมเหสีจองซุนมา องค์หญิงวาวานกล่าวกับชองโฮคยอมว่า
" หึ ไม่บอกก็รู้ ตอนเสด็จพ่อหมดสติไป ทุกคนในวังตกอกตกใจแค่ไหน หึ ตอนข้าตกยาก ไม่มีใครเหลียวแล มาตอนนี้ก็ว่าข้ามีบุญคุณ ช่างตลบตะแลงเก่งนัก"
"หึ จะเสด็จกลับตำหนักหรือเปล่า"
"ยังก่อน ข้ามีงานต้องทำอีก"
"มีงานต้องทำหรือ"
"ได้กลับมาอีกครั้ง เจ้าคิดว่าข้าอยากทำอะไรที่สุด"
องค์หญิงวาวานเสด็จไปหาพระพันปีเฮคยอง
"เอาของถวายให้พระชายา"
ซังกุงส่งให้ "เพคะ"
" พักก่อนพระชายาไปบ้านหม่อมฉัน มอบยาที่ช่วยให้จิตใจสงบขึ้น แต่ตอนนี้ดูแล้ว หม่อมฉันคงไม่จำเป็นต้องใช้อีก ดูๆ แล้วคงเป็นยาแพง จะทิ้งก็น่าเสียดาย มาคิดอีกที น่าจะเป็นประโยชน์ต่อพระชายามากกว่า หม่อมฉันกินไปสองชุด รู้สึกจะเห็นผลทันตา แม้จะขมไปหน่อยก็เถอะ แต่ว่าเมื่อหม่อมฉันได้กลับมาอีกครั้ง ยาขมที่เคยให้ไว้ ก็อยากให้พระชายาได้ลองเสวยดูบ้าง"
"หึ เมื่อเป็นความหวังดีขององค์หญิง หม่อมฉันก็จะรับกลับคืน แต่ว่า ความขมสำหรับหม่อมฉันถือเป็นเรื่องธรรมดามาก เพราะสมัยก่อนด้วยบารมีขององค์หญิง หม่อมฉันขมมานักต่อนักแล้ว ยาแค่นี้ไม่ทำให้หม่อมฉันรู้สึกอะไรหรอกเพคะ ถ้าไงหม่อมฉันจะเผื่อไว้ให้ในยามฉุกเฉิน เกิดวันไหนองค์หญิงจำเป็นต้องเสวยก็บอกได้ หม่อมฉันคิดว่าคงไม่นานเกินรอนักหรอก ไม่เชื่อก็ดูกันไป"
เวลานั้นองค์ชายลีซานเข้าเฝ้าพระเจ้ายองโจ และองค์ชายลีซานก็แปลกพระทัย
"ราชโองการ? หม่อมฉันไม่เข้าใจที่ฝ่าบาทรับสั่ง"
" ไม่เข้าใจอะไรกัน ข้ายังจะถามเจ้าด้วยซ้ำ ข้าสั่งไปทางราชเลขาให้มีประกาศถึงเจ้า แล้วทำไมเหมือนไม่รู้ไม่เห็น ทำตัวเป็นปกติ เพราะไม่กล้ารับไว้ หรือไม่อยากทำตามคำสั่งข้ากันแน่"
" ฝ่าบาท พระอาญาไม่พ้นเกล้า หม่อมฉันไม่ทราบจริงๆ ว่าทรงหมายถึงเรื่องอะไรกันแน่ หม่อมฉัน ไม่เคยเห็นราชโองการซักฉบับ เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ"
"อะไรนะ แปลว่าราชเลขาไม่ได้ไปถ่ายทอดคำสั่งจากข้าหรอกหรือ มหาดเล็กเข้ามาหน่อยซิ"
มหาดเล็กเข้ามา "พ่ะย่ะค่ะ"
"ไปตามราชเลขา "คิมจองโฮ" มาพบข้าเดี๋ยวนี้"
มหาดเล็กน้อมรับคำสั่งแล้วออกไปบอกซังกุง แล้วก็ตกลงว่าต้องไปทูลให้พระมเหสีจองซุนทรงทราบก่อน
พระมเหสีจองซุนทรงรับทราบ แต่ไม่ทรงวิตกใดๆ ผิดกับแชซกจู
"พระมเหสี ทำไงดีพ่ะย่ะค่ะ ถ้าราชเลขาไปเข้าเฝ้า เรื่องที่พระมเหสีทรงเก็บราชโองการไว้ ต้องรู้ไปถึงฝ่าบาทแน่"
"แน่นอน ข้าก็รู้ เรื่องนี้ช้าเร็ว ฝ่าบาทต้องทรงทราบอยู่ดี"
"พระมเหสี ถ้าฝ่าบาททรงทราบเรื่องจริง ต้องทรงกริ้วพระมเหสีอย่างมาก แล้วจะทำไงดีพ่ะย่ะค่ะ"
พระมเหสีจองซุนเสด็จไปเฝ้าพระเจ้ายองโจ
"มีธุระอะไร ข้าบอกให้ราชเลขามาพบอยู่ ถ้าไม่มีเรื่องด่วน เดี๋ยวค่อยเข้ามาได้ไหม"
"ไม่ต้องให้ราชเลขามาเฝ้าหรอกเพคะ นี่คือราชโองการที่รับสั่งถามถึงอยู่"
"นี่มันอะไรกัน ทำไมไปอยู่กับเจ้าได้ล่ะ"
"เพราะหม่อมฉัน ถือวิสาสะเอามาจากราชเลขาเพคะ"
"รู้มั้ยว่านี่คือราชโองการอะไร"
"ทราบเพคะ ทรงแต่งตั้งให้องค์ชายเป็นผู้สำเร็จราชการแทน"
"หึ ใช่ แต่ว่า เรื่องสำคัญขนาดนี้ ทำไมไม่อยู่กับองค์ชาย กลับไปอยู่ในมือเจ้าได้ล่ะ"
" ฝ่าบาท หม่อมฉันทำเพราะความหวังดีต่อองค์ชายและราชสำนัก ไม่ได้มีเจตนาเป็นอื่น โปรดฟังหม่อมฉันอธิบายก่อน แล้วค่อยลงอาญาได้ไหมเพคะ"
"หวังดีหรือ แค่บอกว่าหวังดี ก็จะยึดราชโองการโดยพละการได้หรือไง"
" ถ้าฝ่าบาทจะลงอาญาหม่อมฉัน หม่อมฉัน ก็ยินดีรับทุกอย่างเพคะ แต่ว่าฝ่าบาท ขณะที่มีรับสั่งให้เขียนราชโองการนั้น หม่อมฉันคิดว่าพระองค์ ไม่ทรงมีสติครบถ้วนบริบูรณ์ ในภาวะเช่นนั้นจะมีราชโองการได้ยังไงเพคะ ถ้าประกาศออกไป ให้เหล่าขุนนางรู้เข้า องค์ชายจะตกที่นั่งลำบากทันที ฝ่าบาทไม่ทรงคิดถึงจุดนี้บ้างหรือเพคะ เหล่าขุนนางต้องรวมตัวคัดค้าน ไม่เห็นด้วยและทำให้องค์ชายกลายเป็นเป้าโจมตีสำหรับพวกเขา ในขณะที่ฝ่าบาท ก็ไม่สามารถที่จะ ให้การปกป้ององค์ชายได้เลย เพราะฉะนั้น หม่อมฉันจึงถือวิสาสะเก็บราชโองการไว้ก่อน เพื่อปกป้ององค์ชาย และไม่ให้ราชสำนักเกิดความวุ่นวายเพคะ"
"ถึงอย่างงั้นก็เถอะ นี่เป็นเรื่องของบ้านเมือง ไม่เหมาะที่ฝ่ายในจะมาก้าวก่ายหรอกนะ"
"หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ"
องค์ ชายลีซานทูลขึ้น "หม่อมฉันขอบังอาจทูลซักนิด หม่อมฉันเห็นว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของพระมเหสี ที่จะให้หม่อมฉันว่าราชการแทน ถือว่าไม่ควรอย่างยิ่ง ที่สำคัญ ตอนนี้ฝ่าบาทก็ทรงแข็งแรงดีแล้ว น่าจะถอนรับสั่งคืนดีกว่า"
"ข้าไม่คิดถอนคำสั่ง ที่ข้าตัดสินใจให้เจ้า เป็นผู้สำเร็จราชการแทน ยังไงก็ไม่มีการเปลี่ยน"
พระมเหสีจองซุนตกพระทัยมาก "ฝ่าบาท"
"ฝ่าบาท ทรงทบทวนใหม่เถอะพ่ะย่ะค่ะ" องค์ชายลีซานทูล
" คำสั่งฉบับนี้จะมีการประกาศในวันนี้ และข้าจะแถลงกลางที่ประชุมเอง ให้ขุนนางทุกคนมาเข้าประชุมพร้อมหน้า ได้ยินมั้ย" พระเจ้ายองโจทรงรับสั่งเสียงเฉียบขาด
พระมเหสีจองซุนเสด็จกลับไปด้วยความผิดหวัง องค์ชายลีซานยังคงทูลพระเจ้ายองโจอีกว่า
"ฝ่าบาทๆ ให้หม่อมฉันดูแลราชกิจแทน ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะ ขอได้โปรด ถอนรับสั่งคืนเถอะพ่ะย่ะค่ะ"
"หลายวันนี้เจ้าสามารถทำงานได้ดี การเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ก็ไม่ต่างจากนี้นักหรอก อย่าพูดมากอีกเลย"
" แต่ว่า หลายวันก่อนเพราะฝ่าบาททรงประชวรหนัก แต่ในเมื่อทรงหายดีแล้ว ยังจะให้หม่อมฉันทำงานแทนได้ยังไง การเป็นผู้สำเร็จราชการหมายถึงภาพลักษณ์ของบ้านเมือง หม่อมฉันยังด้อยประสบการณ์อยู่มาก แล้วจะให้รับภาระสำคัญได้ยังไง"
"อย่ามัวแต่พูดเรื่องไร้สาระเลย กลับไปคิดเรื่องทำงานเพื่อบ้านเมืองดีกว่า"
"ฝ่าบาท"
"อีกอย่าง เจ้าไม่ต้องไปที่ท้องพระโรงหรอก เสียงคัดค้านของเหล่าขุนนาง ข้ามีวิธีปิดปากเองได้ ไปเถอะ"
"ฝ่าบาท"
เหล่าขุนนางต่างตื่นตระหนกว่ามีเรื่องอะไรด่วน ขณะที่แชซกจูก็บอกว่าต้องขัดขวางให้ถึงที่สุด
นัมซาโชเรียกฮงกุกยองไว้เมื่อพบหน้ากัน
"ข้ากำลังอยากพบ มาอยู่นี่เองหรือ"
"ตำหนักใหญ่มีอะไรหรือเปล่า ทำไมเรียกประชุมขุนนางล่ะครับ"
"ได้ยินว่าฝ่าบาท จะทรงแต่งตั้งให้องค์ชาย เป็นผู้สำเร็จราชการแทน"
ฮงกุกยองตาโต "อะไรนะครับ สำเร็จราชการหรือ"
"ใช่ เพราะฉะนั้น รีบไปตำหนักตงกุงเร็วเข้า ไม่แน่องค์ชายอาจมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า"
"ไม่ล่ะ ข้ายังไม่ไปเฝ้าตอนนี้"
"ไม่ไปตอนนี้หรือ ทำไมล่ะ"
ที่ประชุมเหล่าขุนนาง พระเจ้ายองโจทรงประกาศ
" เพราะฉะนั้น ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าจะให้องค์ชายลีซาน เป็นผู้สำเร็จราชการ ดูแลทุกอย่างแทนข้า พวกท่านก็จงเตรียมตัว ให้ความร่วมมือและช่วยองค์ชายแบ่งเบาภาระ เข้าใจหรือเปล่า"
แชซกจูค้าน คนแรก "เอ่อ ฝ่าบาท พระอาญาไม่พ้นเกล้า พวกเราไม่อาจเห็นชอบกับพระดำริในเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทยังทรงแข็งแรง ปกครองบ้านเมืองได้อีกนาน แล้วจะมอบงานให้พระนัดดาได้ยังไง เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดมาก่อนและเป็นพระดำริที่ไม่สมควร ขอทรงพิจารณาใหม่ด้วยเถอะ"
เหล่าขุนนางพร้อมใจกันทูล "ทรงพิจารณาใหม่ด้วยเถอะๆๆ"
"คนอื่นอาจจะมองว่า ข้าแข็งแรงดีแล้ว แต่ข้ารู้สภาพตัวเองดี เอาตามนี้แหละ"
เหล่าขุนนางตกใจ "ฝ่าบาท"
" และจะขอบอกอีกว่า ต่อให้มีฎีกาท่วมหัว หรือไปคุกเข่ากดดันที่หน้าตำหนักใหญ่ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดข้าได้ ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป องค์ชายจะว่าราชการแทนข้า ใครมีอะไรรายงานก็จงเตรียมมาให้พร้อม เข้าใจแล้วนะ"
"ฝ่าบาท ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้ถือว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง ขอทรงไตร่ตรองใหม่ด้วยเถอะ"
"ทรงไตร่ตรองใหม่ด้วยเถอะๆๆๆ"
เหล่าขุนนางต่างวิพากษ์วิจารณ์ แล้วทูล "ทรงถอนรับสั่งด้วยเถอะ"
พระเจ้ายองโจทรงรับสั่งกับแชจีคยอมว่า
"พวกนี้น่าเบื่อจริงๆ บอกแล้วว่าไม่มีประโยชน์ก็ไม่ยอมฟัง"
" ฝ่าบาท หม่อมฉันเชื่อว่าแม้แต่องค์ชายก็ยากจะทำตามพระประสงค์ได้ เพราะฝ่าบาทยังทรงแข็งแรง จะให้ว่าราชการแทน ใครเห็นเข้าก็ว่าไม่เหมาะทั้งนั้น"
"รู้มั้ยคราวนี้ข้าได้บทเรียนอะไร ข้าจะอยู่ได้อีกไม่นาน"
"ฝ่าบาท รับสั่งอะไรอย่างงั้น ฝ่าบาทต้องทรงอยู่ถึงร้อยปีนะพ่ะย่ะค่ะ"
"อยู่ถึงร้อยปี แล้วใครจะมีปัญญาทำงานจนถึงร้อยปีได้ล่ะ"
"ฝ่าบาท"
"ข้าต้องการพิสูจน์ศักยภาพขององค์ชาย อยากเป็นพี่เลี้ยงให้เขา ถ่ายทอดประสบการณ์ให้เขาให้มากที่สุด"
"ฝ่าบาท" แชจีคยอมทูลอะไรไม่ถูก
พระมเหสีจองซุนทรงรับสั่งกับแชซกจูว่า
"คราวนี้ฝ่าบาททรงหนักแน่นยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ขืนเป็นแบบนี้ เราจะไม่อาจพลิกสถานการณ์กลับคืน ไปบอกทุกคน ให้มาประชุมเดี๋ยวนี้"
"พ่ะย่ะค่ะ"
เมื่อทุกคนมาพร้อมแล้ว ฮงนิมฮันกล่าวว่า
"ตอนนี้องค์ชายยิ่งได้ใจ เพราะมีฝ่าบาททรงหนุนหลังอย่างเปิดเผย เกิดพลาดพลั้ง เราจะไม่มีอะไรเหลืออีก"
องค์หญิงวาวานจ้องฮงนิมฮัน "ทำไม พอรู้ว่าองค์ชายจะได้ครองราชย์ ท่านเริ่มเปลี่ยนใจแล้วสิ"
"องค์หญิง ทำไมรับสั่งอย่างงั้นล่ะพ่ะย่ะค่ะ"
"จะทำไงก็ช่าง เราต้องอย่าให้องค์ชายสำเร็จราชการแทน ไม่เพียงแต่เหล่าขุนนาง ยังต้องให้บัณฑิตช่วยต่อต้านอีกแรง"
"แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ เรากะไว้ว่า ไม่เพียงแต่การประชุมพรุ่งนี้ งานไหนๆ ที่มีองค์ชายเป็นประธาน เราจะไม่เข้าร่วมด้วย"
พระ มเหสีจองซุนทรงค้าน "นั่นไม่ใช่ทางออกที่ดี นั่งลง ถึงเราจะร่วมกันแข็งข้อ ประท้วงยังไงก็ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่อาจขัดพระบัญชาของฝ่าบาท ฉะนั้น ถ้าฉลาดก็ต้องทำตามซะดีๆ"
"แต่ว่าตอนนี้"
"ปล่อยให้เขาว่าราชการแทน ก็ได้ แต่ว่า เราต้องหาวิธีทำให้องค์ชายกลายเป็นคนที่ไร้ประสิทธิภาพ และมันจะเป็นการพิสูจน์ ว่าเขาไม่คู่ควรที่จะสืบทอดบัลลังก์ต่อจากฝ่าบาท เป็นโอกาสที่ดีด้วยซ้ำ หลังจากนั้นฝ่าบาท ก็จะทรงตระหนักว่าพระองค์คิดผิด ข้าเชื่อว่าทุกท่าน น่าจะช่วยกันทำงานนี้ได้ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก สมัยก่อนปียินมู ก็เคยเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้มาแล้วไม่ใช่หรือ"
พระพันปีเฮคยองเองก็ทรงไม่สบายพระทัยกับเรื่ององค์ชายลีซานอย่างมาก พระชายาโยอึยเห็นจึงเข้าไปหา
"เสด็จแม่"
"พินกุง"
"ทำไมมาอยู่ข้างนอกล่ะเพคะ กลางคืนลมเย็นมาก"
"งั้นหรือ ไม่รู้เพราะข้าร้อนใจหรือเปล่า ทำให้ไม่รู้สึกลมเย็นซักนิด"
"เสด็จแม่"
" ได้ข่าวว่าลูกซานจะเป็นผู้สำเร็จราชการ น่าเป็นห่วงเหลือเกิน เฮ่อ สมัยก่อนอดีตรัชทายาท ก็เคยว่าราชการแทนฝ่าบาท สุดท้ายก็ทำให้พระองค์เกิดความไม่พอพระทัยขึ้นมา"
"เสด็จแม่เพคะ ตอนนี้ฝ่าบาท ทรงโปรดปรานและไว้วางพระทัยองค์ชายนัก หม่อมฉันคิดว่าไม่ต้องห่วงหรอกเพคะ"
"หึ ใช่ ข้าก็รู้ดี คิดว่าสภาพของลูกซานน่าจะต่างจากเสด็จพ่อของเขา แต่ว่า ไม่รู้ทำไม ข้ากลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก"
"เสด็จแม่เพคะ"
พระพันปีเฮคยองทรงถอนพระทัย "เฮ่อ หึ"
พระเจ้ายองโจทรงเรียกองค์ชายลีซานมาพบ
"ว่าไง เตรียมตัวไว้หรือยังว่าพรุ่งนี้จะรับมือกับการประชุมยังไงดี"
" ฝ่าบาท ทรงถอนรับสั่งที่หลายฝ่ายไม่เห็นด้วยกลับคืนเถอะพ่ะย่ะค่ะ เพราะหม่อมฉัน ไม่มีความสามารถที่จะบริหารราชกิจแทนฝ่าบาทได้จริงๆ"
"แล้วยังไง ถ้าข้าบอกว่าไม่เปลี่ยนใจล่ะ เจ้าจะไปเอะอะมะเทิ่งเหมือนพวกขุนนางข้างนอก คุกเข่าสามวันสามคืนให้ข้าถอนคำสั่งหรือเปล่า"
"ฝ่าบาท"
" เลิกคิดเรื่องไร้สาระซะที ถ้าอยากให้พ่อของเจ้า ได้เห็นเจ้าเป็นพระราชาที่ดีจริง เอาเวลาที่มัวแต่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้ ไปหาความรู้ใส่ตัวยังดีซะกว่า ที่ข้าเปิดโอกาสให้เจ้าได้เรียนรู้ เพื่อหวังให้มีประสบการณ์ ก่อนจะขึ้นครองราชย์จริงๆ แค่นี้ยังไม่เข้าใจความประสงค์ของข้าอีกหรือ"
"ฝ่าบาท"
"พรุ่งนี้จะ มีการประชุมขุนนาง ถ้าไม่อยากเป็นตัวตลกให้พวกเขาเห็นว่าเจ้าเป็นไก่อ่อน เตรียมตัวทั้งคืนยังไม่พอด้วยซ้ำ จำไว้ให้ดี เจ้าไม่ได้ทำงานเพื่อมาเอาใจข้า และไม่ต้องกลัวว่าเหล่าขุนนางจะท้าทายรูปแบบไหน จงกล้าที่จะแสดงความคิดเห็น ในสิ่งที่เจ้าอยากทำ เมื่อได้ครองราชย์ เข้าใจหรือเปล่า"
เมื่อกลับตำหนักองค์ชายลีซานทรงเรียกฮงกุกยองมาพบ
"สำนักหมอหลวงบอกว่าจะมีการปรับใช้ ดีหมีและหวงเหลียน เพิ่มยาบำรุงพระกำลังให้ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ"
"งั้นหรือ แต่ว่า"
"มีอะไรรับสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ"
"มันน่าแปลกนะ"
ฮงกุกยองไม่เข้าใจ "หา"
"ข้าหมายถึงท่าน"
"หมายถึงหม่อมฉันเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ"
"ด้วยนิสัยของท่าน ตั้งแต่เมื่อวาน น่าจะเป็นคนแรกที่มาชี้แนะโน่นนี่ให้ข้าด้วยซ้ำ แต่ทำไมไม่เห็นพูดอะไรซักคำล่ะ"
" อ๋อ ทรงหมายถึงเรื่องสำเร็จราชการน่ะหรือ เรื่องนี้องค์ชายทรงมองทะลุอยู่แล้ว ทำไมต้องให้หม่อมฉันแนะนำอีก ตั้งแต่วันแรกที่มาเฝ้า องค์ชายทรงเห็นความทะเยอทะยานของหม่อมฉัน ยังจำได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ"
"จำได้"
"ถ้าอย่างงั้น หม่อมฉันขอทูลว่า ได้เห็นบางอย่างในตัวองค์ชายเช่นกัน หม่อมฉันจะขอทูลได้ไหม"
"ลองว่ามา ท่านเห็นอะไรบ้าง"
" มองเห็น ความมุ่งมั่นอันแรงกล้า แต่ว่า เป้าหมายขององค์ชายไม่ใช่ราชบัลลังก์ หากแต่เป็น อุดมการณ์อื่นที่อยู่ในพระทัย เป็นเรื่องดีหรือร้าย หรือทรงดำเนินการถึงไหน หม่อมฉันไม่อาจคาดเดาได้ แต่เชื่อว่าองค์ชาย ก็มีเป้าหมายบางอย่างที่ไม่ต่างกับหม่อมฉัน และตอนนี้ ก็ทรงมองออกว่าโอกาสได้มาถึงแล้ว จริงมั้ยพ่ะย่ะค่ะ"
การประชุมกำลังจะเริ่ม พระเจ้ายองโจทรงถามหาองค์ชายลีซานที่ยังไม่มี
"นี่มันเลยเวลาแล้วนี่ องค์ชายทำอะไรอยู่ ถึงยังไม่มา มหาดเล็กไปตามหน่อยซิ ไม่ว่ายังไงก็ต้องหาให้พบล่ะ"
"หม่อมฉัน มาประชุมแล้วพ่ะย่ะค่ะ" องค์ชายลีซานเสด็จเข้ามา
จบ 19ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน 20
พระ เจ้ายองโจทรงมอบหมายให้องค์ชายลีซานบริหารราชการแผ่นดินแทนพระองค์ นับเป็นครั้งแรกที่ องค์ชายลีซานต้องเผชิญกับขุนนางใหญ่เป็นจำนวนมาก
พระเจ้ายองโจตรัสว่า "ใครมีเรื่องรายงานก็ให้พูดกับองค์ชายเหมือนปกติ ข้าจะนั่งฟังเงียบๆ เริ่มได้แล้ว"
"พะยะค่ะ เริ่มการประชุมได้แล้ว"
ขุน นางท่านหนึ่งเริ่ม "หมู่นี้ มีตลาดมืดหลายแห่ง ขายสินค้าที่นอกเหนือการควบคุมของทางการพะยะค่ะ นอกจากไม่ได้รับอนุญาตแล้ว ยังกำหนดราคาถูกกว่าความเป็นจริง ทำให้ตลาดเกิดความวุ่นวายพะยะค่ะ ด้วยเหตุนี้กรมการค้า จึงต้องให้ความคุ้มครองพ่อค้าที่จ่ายภาษีถูกต้อง ป้องกันการตีตลาดที่ไม่เป็นธรรม และเรียกเก็บภาษีจากการค้านอกระบบ เพื่อไม่ให้ผลประโยชน์ไปตกแก่พ่อค้า"
องค์ชายลีซานทรงแทรกขึ้น "เดี๋ยวก่อน ข้ามีเรื่องจะถามหน่อย การค้านอกระบบคืออะไร"
"เอ่อ การค้านอกระบบก็คือ สินค้าที่ขายโดยไม่ได้แจ้งต่อทางการ และถ้าเรารู้ก็มีสิทธิ์เข้ายึดได้พะยะค่ะ"
"งั้นหรอกหรือ ถ้าอย่างงั้น หากพบการค้านอกระบบ เราต้องทำไงบ้าง"
"เอ่อ ก็คือ หากพบคนเหล่านี้ พ่อเขาก็มีสิทธิ์เข้ายึดสินค้า โดยทันทีทันควันพะยะค่ะ"
"อ้อ งั้นหรอกหรือ ถ้าเป็นอย่างท่านว่าจริง ข้าว่าเรื่องนี้ออกจะแปลกนะ"
ขุนนางท่านนั้นงง "เอ่อ คือ แปลกยังไงหรือพะยะค่ะ"
" เท่าที่ข้ารู้ การค้าผิดกฎหมาย เป็นหน้าที่ของกรมคุ้มครองผลประโยชน์ ส่วนการจับกุมก็เป็นหน้าที่ของหน่วยปราบปราม เพื่อกันไม่ให้พ่อค้ากำหนดราคาตามใจชอบ ทำให้ตลาดยากแก่การควบคุม แต่แม้ว่าพ่อค้านอกระบบจะถือว่าทำผิด แต่สิ่งที่พวกเขาขาย ล้วนเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ฉะนั้น แทนที่เราจะให้ความคุ้มครอง กลับไปจำกัดสิทธิ์ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนของชาวบ้าน แล้วไปหนุนเหล่าพ่อค้าซึ่งร่ำรวยอยู่แล้ว เท่ากับให้พ่อค้า มีอำนาจพอกับทางการ ที่จะกำหนดทิศทางการตลาด และถ้าทำอย่างท่านว่า คิดว่าการค้านอกระบบจะหมดไป เพิ่มผลประโยชน์ให้ทางการ พ่อค้าที่แท้จริงได้กำไรเต็มเม็ดเต็มหน่วย ส่วนทางการจะได้ภาษีเพิ่มหรือไม่ ข้อนี้ยังไม่เห็น ข้าว่าเหมือนยกประโยชน์ ให้พ่อค้ามีแต่ได้ ทั้งทางตรงและทางอ้อม มากกว่า ซึ่งก็น่าแปลกจริงๆ ทำไมท่านเจ้ากรมการค้า เห็นใจเหล่าพ่อค้าซะจริง ทีเวลาขึ้นราคาสินค้า ไม่เห็นมารายงานบ้างเลย หรือว่า ท่านมีส่วนได้ส่วนเสียบางอย่าง กับคนพวกนี้หรือเปล่า"
"เอ่อ อะไรกันนี่ องค์ชาย ทำไมรับสั่งอย่างงั้นล่ะพะยะค่ะ"
แช ซกจูช่วยพูด "จริงอยู่ เรามีหน่วยงานสำหรับดูแลเรื่องการค้าอยู่แล้ว รับสั่งขององค์ชายถือว่าถูกต้อง แต่นโยบายบางอย่างที่มีมานาน ต้องใช้เวลาในการปรับปรุงแก้ไขใหม่ การควบคุมการค้านอกระบบ เป็นสิ่งที่มีมานานแล้วพะยะค่ะ"
องค์ชายลีซานตรัสว่า "ใต้เท้า สิ่งที่ข้ากำลังจะพูด คือความเคยชินที่ไม่ยอมเปลี่ยน"
ชองโฮคยอมทูลว่า "แต่ว่าเรื่องนี้ แม้แต่ฝ่าบาทก็ทรงทราบ ว่ามันยากจะแก้ไข จึงมีมาถึงทุกวันนี้พะยะค่ะ"
พระเจ้ายองโจทรงแทรกว่า "ตอนนี้ผู้มีอำนาจเต็มคือองค์ชายลีซาน เรื่องของข้าไม่ต้องพูดถึง ไม่ต้องคิดมาก ประชุมต่อไปได้"
องค์ ชายลีซานตรัสต่อว่า "ข้ารู้สึกว่าบ้านนี้เมืองนี้ มีธรรมเนียมปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมหลายอย่าง และทุกท่าน มักถือคติเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ปล่อยให้เลยตามเลยซะดีกว่า ทั้งที่มันไม่ยากที่จะแก้ไข เป็นเพราะทุกคน ไม่อยากแก้หรือเคยชินกับระบบที่สืบทอดมานานกันแน่ แต่ข้าจะไม่ให้ค่านิยมที่เลวร้าย มาเป็นตัวกัดกร่อนราชสำนักอีก นับแต่นี้ ข้าจะจัดระเบียบการทำงาน และปรับโครงสร้างราชสำนักใหม่ ข้าจะไม่หลับหูหลับตาฟังรายงานโดยไม่มีข้อเท็จจริงมาอ้างอิง แต่จะมีการติดตามผลงานของทุกท่าน และจะให้ขุนนางระดับล่าง มีส่วนในการแสดงความคิดเห็น เสนอแนวทางแก้ไข พร้อมกับออกเยี่ยมราษฎรให้บ่อยขึ้น"
หลังจากประชุมเสร็จ พระเจ้ายองโจทรงรับสั่งว่า
" เฮ่อๆๆ เฮ่อๆๆ เห็นหรือยัง สมแล้วที่เป็นทายาทของข้าหรือเปล่า แค่เริ่มต้นก็ทำให้ทุกคนอ้าปากค้างเถียงไม่ออก ความสามารถเหนือกว่าข้าซะอีก เฮ่อๆๆ"
"ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ" แชจีคยอมทูล
"ข้าอยากจะบอกว่า การประชุมครั้งแรกถือว่าทำได้ดี"
" ขอบพระทัยที่ทรงชม แต่ว่า สิ่งที่หม่อมฉันแสดงความเห็น มีคำแนะนำมั้ยพะยะค่ะ ความคิดหม่อมฉัน ไม่ทราบว่าถูกผิดประการใด" องค์ชายลีซานทูล
"ข้าเคยบอกอะไรเจ้าบ้าง ไม่จำเป็นต้องถือตามแนวคิดของข้า ไปว่าราชการเสมอไป เจ้าต้องปรับตัวตามสถานการณ์ ยึดประโยชน์ของราษฎรเป็นที่ตั้ง ถ้าจำเป็นต้องมองหน้าใคร ก็ขอให้นึกถึงใบหน้าของราษฎรมากกว่าเหล่าขุนนาง และวิธีการทำงานของเจ้า จะถูกหรือไม่ถูกยังไง ออกไปถามราษฎรก็จะรู้คำตอบเอง เข้าใจหรือเปล่า"
"พะยะค่ะ หม่อมฉันจะจำไว้"
"หมดเรื่องแล้ว เจ้าออกไปก่อน"
องค์ชายลีซานทูลลา "พะยะค่ะ"
พระเจ้ายองโจทรงรับสั่งกับแชจีคยอมต่อว่า "เฮ่อๆๆ ท่านเป็นไรไป มีอะไรจะพูดกับข้าใช่ไหม"
"หม่อมฉัน ไม่ทราบว่าจะทูลดีมั้ยพะยะค่ะ"
"เชิญพูดมาได้"
" ทำไมไม่มีรับสั่งกับองค์ชาย ถึงเรื่องนั้นล่ะพะยะค่ะ หม่อมฉันได้ยินฝ่าบาทตรัสว่า มีเรื่องสำคัญ จะรับสั่งกับองค์ชายไม่ใช่หรือพะยะค่ะ"
"คิดว่ายังไม่ถึงเวลา อย่าเพิ่งพูดหมดเปลือกในคราวเดียวดีกว่า ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาหรอก"
เหล่าขุนนางต่างไม่พอใจองค์ชายลีซานนัก พากันบ่นไม่หยุดจนชองโฮคยอมเตือนว่า
"ใต้เท้าใจเย็นก่อน อย่าเพิ่งโวยนักเลย เรื่องเล็กน้อย ทำไมต้องโมโหขนาดนี้"
"นี่หรือเรื่องเล็กน้อย แล้วมีอะไรใหญ่กว่านี้หรือไง"
"ยังมีเรื่องน่ากลัวกว่านี้อีก จะมีการตรวจสอบทรัพย์สินที่เหล่าขุนนางถือครองอยู่ เรื่องพวกนี้ เป็นแค่ปฐมบทของเขาเท่านั้น"
องค์ชายลีซานบอกกับฮงกุกยองว่า
"ข้าจะส่งท่าน ไปทำงานในสภาตรวจสอบ"
"องค์ชาย"
"รู้มั้ยว่าเพราะอะไร ข้าให้ทำงานสำคัญขนาดนี้"
" ได้ยินว่าที่ประชุม องค์ชายทรงแสดงความเห็นคัดค้านต่อการปกป้องสิทธิ์ของเหล่าพ่อค้า คนพวกนี้มีเงินใต้โต๊ะให้ขุนนางจนเป็นปกติวิสัย พอขุนนางได้ประโยชน์ ก็หาทางปกป้องพวกเขา เป็นเรื่องที่เด็กสามขวบก็รู้ว่าเกิดขึ้นมานาน หรือก็แปลว่า ให้หม่อมฉันหาวิธีเล่นงานขุนนางที่มีผลประโยชน์กับพ่อค้า เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป"
"ที่เราทำแบบนี้ ไม่ใช่เล่นงานเพื่อความสะใจ แต่เพราะทุกวันนี้ขุนนางและพ่อค้า รวมหัวกันใช้อิทธิพลเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองตามใจชอบ สุดท้ายคนที่ลำบาก คือราษฎรที่หมดทางต่อสู้ ข้าจะไม่ให้มันเป็นเนื้อร้ายต่อไปอีก"
"แต่ว่า นี่เป็นการทำศึกที่ยากเย็น สุนัขที่ถูกแย่งชามข้าว มันจะหันมาแว้งกัดเจ้าของด้วยซ้ำ"
"ข้ารู้ แต่ท่านไม่ต้องห่วงมาก ข้าพอมีฝีมือ ป้องกันสุนัขได้"
ฮงกุกยองหัวเราะ "หึๆ"
ทางด้านแชซกจูถอนใจด้วยความกังวล ชองโฮคยอมบอกกับเขาว่า
" สิ่งที่ข้าคิด คือความหมายที่องค์ชายรับสั่งออกมา เท่ากับว่านี่คือการส่งสาส์นท้ารบชัดๆ ให้พวกเรา ตัดขาดแหล่งที่มาของรายได้,โดยการเล่นงานเหล่าพ่อค้า"
"ข้าก็คิดอย่างงั้น"
"ข้าจะลองไปคุยกับสามกรมใหญ่ คนที่มีอำนาจในวัง ยากนักที่จะปฏิเสธความร่วมมือกับเราได้ ข้าจะลองไปคุยก่อน"
" งั้นก็รีบหน่อย เพราะทุกวันนี้ฝ่าบาทเหมือนจะทรงวางมือ ให้องค์ชายออกหน้า ยังมีหนุ่มที่ชื่อฮงกุกยองอีกคน ข้าไปสืบมาแล้ว เขาเป็นญาติกับเจ้ากรมอาญา ฮงนิมฮัน”
"ใช่ครับ เหมือนจะเป็นญาติห่างๆ"
"เขาเป็นที่ปรึกษาขององค์ชาย แสดงว่างานสำคัญจะมอบหมายให้เขาทำ ต้องส่งคนไปดูความเคลื่อนไหวของเขาหน่อย"
"ส่งใครไปดีครับ"
แชซกจูแนะนำฮงนิมฮันให้ตีสนิทฮงกุกยอง
"ใต้เท้า ท่านบอกว่าไงนะ ให้ข้าไปตีสนิทกับฮงกุกยองหรือ" ฮงยินฮันแปลกใจ
"คนๆ นี้มักทำให้เราเสียงานบ่อยครั้ง เลยต้องรบกวนให้ท่านออกหน้าหน่อย"
" ข้าหรือ แต่ว่า คือ เรื่องนี้รู้สึกจะไม่ค่อย เจ้า เจ้าหนุ่มคนนี้ มันหยิ่งยะโสยังกะอะไรดี ทุกครั้งที่นึกถึงมัน ข้าจะรู้สึกเดือดดาลนัก"
"มิน่าถึงมีคนบอกว่าท่านเริ่มจะเอนเอียงแล้ว"
"หา เอนเอียง เอียงอะไรกันครับ ข้าไม่เข้าใจความหมายของท่าน"
" ถ้าไม่เอนเอียง ก็ไปทำงานตามที่ข้าสั่ง นี่เป็นแค่งานเล็กๆ จะกลัวอะไรนักหนา ถ้างานแค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะคลายความสงสัยของคนอื่นได้ไง" แชซกจูขู่ในที
"เอ่อ ก็ได้ ข้าจะทำ แต่ว่า แต่ว่าเขา เฮ่ย แย่ชะมัด ทำไมต้องเป็นข้าด้วยนะ เฮ่ย"
ขณะที่ชองโฮคยอมก็เรียกขุนนางท่านหนึ่งมาพบ
"รบกวนให้ท่านมาถึงนี่ ต้องขออภัยด้วยครับ"
"ไม่เป็นไร ข้าก็กำลังอยากพบท่านอยู่"
"งั้นเชิญข้างในก่อน"
"อึม ได้ แต่ว่า ใต้เท้าชอง หมู่นี้ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น สภาตรวจสอบของเรา ได้รับคำสั่งให้ตรวจเรื่องการค้า"
"ท่านก็มอบให้ “คิมวอนโย” และ “ฮงจองพยอ” จัดการไปละกัน สองคนนี้รู้หน้าที่ดี"
"อึม งั้นก็ได้ แต่ว่า แล้วต่อจากนี้ล่ะ เราจะปล่อยให้องค์ชายลีซาน กำแหงอยู่อย่างงี้หรือ"
"สภาขุนนางและสำนักบัณฑิต กลายเป็นพวกเดียวกันแล้ว"
"อึม ข้าไม่มีปัญหาหรอก สภาตรวจสอบก็ขอร่วมด้วย เพื่อไม่ให้บ้านเมืองต้องวุ่นวายมากกว่านี้"
"งั้นเชิญข้างในก่อน แล้วเราค่อยคุยรายละเอียด"
เวลานั้นฮงนิมฮันไปของพบกับฮงกุกยอง
"เชิญครับใต้เท้า"
"อึมๆ แหม ไม่เจอกันนานนะ แหะ เป็นไง สบายดีหรือเปล่า เฮ่ย"
"สบายดีครับ ก็เรื่อยๆ หึๆๆ"
"งั้นหรือ เอ่อ แหะๆๆ เอ่อ คือ แหะ นี่ ข้าเอามาให้ แหะ เฮ่อๆๆ"
"ที่มานี่เพื่อจะมอบของสิ่งนี้ให้ข้าหรือ"
"ใช่ แน่นอน เอ่อ ทำไมหรือ มองหน้าทำไม ไม่ถูกใจหรือไง"
"อ้อ ไม่ครับ ข้าเพียงแต่คิดว่า พรุ่งนี้เช้าพระอาทิตย์จะขึ้นทางตะวันตกหรือเปล่า"
ฮงนิมฮันหน้าเจื่อนๆ "หา แหะๆๆ"
" ข้าดูแล้ว ด้วยนิสัยอย่างท่าน ฆ่าให้ตายก็ไม่มีน้ำใจเผื่อแผ่ใคร แล้วทำไม หนังเสือหายากผืนนี้ ตัดใจให้ข้าได้หรือ เฮ่อๆๆ เหลือเชื่อจริงๆ" ฮงกุกยองพูดตรงๆ
ฮงนิมฮันกระแอมนิด "คือ คืองี้ ข้ามาเพื่อจะ ปรับความเข้าใจเรื่องบางอย่างกับเจ้า เอ่อ เฮ่อๆๆ คือ ได้ข่าวว่า เจ้ามีโอกาสได้ช่วยองค์ชายทำงาน ในขณะที่ข้า แม้จะเป็นเจ้ากรมอาญา แต่ไม่ค่อยมีอำนาจสั่งการมากนัก จึงอยากจะขอฝากเนื้อฝากตัวกับเจ้าหน่อย อ้อ จริงๆ แล้ว จ้าเองก็รู้ใช่ไหม ว่าข้ากับองค์ชาย มีศักดิ์เป็นตาหลานเหมือนกัน จริงมั้ย เฮ่อๆๆ ในขณะที่เจ้า ลำบากตรากตรำทำงานเพื่อองค์ชาย ว่าไปก็เหมือนได้ช่วยข้าทางอ้อมด้วย เพราะฉะนั้น นับแต่นี้ไป ข้าจะขอรับใช้องค์ชายเหมือนกัน ถ้ามีอะไรให้ช่วยละก้อ มาหาข้าได้ทุกเมื่อล่ะ รู้มั้ย"
"หึ ได้ ไม่มีปัญหา เมื่อท่านอาสาแบบนี้ เท่ากับองค์ชายได้ผู้ช่วยมือดีมาอีกคน"
"แน่นอน ถูกต้อง ใช่เลย เฮ่อๆๆ ฮ่าๆๆ เฮ่อๆๆ"
คนของศูนย์ศิลปะมารายงานชองโฮคยอม
"ให้คนงานชื่อซองซงยอนมีสิทธิ์เขียนภาพ หมายความว่าไงน่ะ" ชองโฮคยอมไม่เข้าใจ
"ก็เหมือนที่บอกครับ หัวหน้าศูนย์ศิลปะ ใต้เท้าปาร์ค สั่งให้เด็กที่ชื่อซองซงยอน เขียนภาพฉากบังลมตามที่พระชายาเฮคยองมีรับสั่ง"
"แต่คนงานจะเขียนรูปได้ยังไง ไม่เคยมีมาก่อนนี่นา"
"ถึงบอกว่าเป็นเรื่องเหลวไหล อีกอย่าง ใต้เท้าปาร์คกับองค์ชายลีซาน เหมือนจะเป็นพวกเดียวกัน เรื่องนี้ น่าจะมีสาเหตุน่ะครับ"
"อึม ถ้าอย่างงั้น ข้ามีเรื่องจะให้ท่านช่วย"
"ได้ครับ เชิญว่ามาได้เลย"
"เอาเรื่องนี้ ไปประกาศให้ทั่ว เรื่องแบบนี้ ถือว่าผิดกฎของศูนย์ศิลปะ คงไม่ยากสำหรับท่าน เป็นไง พอทำได้หรือเปล่า"
0000000000000
ซองซงยอนถามลีชองว่าเคยเขียนรูปกล้วยหัตถ์พระหรือเปล่า
"หา กล้วยหัตถ์พระก็คือ ที่เกาะเป็นกลุ่ม เปลือกหนากว่ากล้วยทั่วไปใช่ไหม"
"ใช่ค่ะ"
"งั้นหรือ มันเป็นกล้วยที่หายาก ข้าอาจจะเคยเขียน แต่จำไม่ได้แล้วว่า หน้าตาเป็นไง ตอนนี้นึกภาพไม่ออกน่ะ"
"งั้นหรอกหรือ"
"เจ้าถามไปทำไม"
"เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร"
"เขียนแต่รูปผลไม้ก็ตายน่ะซี้ เฮ่ย"
ช่างเขียนตั๊กเห็นภาพที่ซองซงยอนเขียนแล้วก็ย้ำถามว่า
"ทั้งหมดนี้ เจ้าเขียนเองจริงหรือ"
"ใช่ค่ะ"
ช่างเขียนตั๊กอึ้ง "โห"
"มีความเห็นยังไงบ้าง" ปาร์คยองมุนถามช่างเขียนตั๊ก
"ไม่น่าเชื่อว่า นางเป็นแค่คนงาน จะมีความสามารถ เขียนภาพได้ขนาดนี้น่ะครับ"
"งั้นหรือ นี่คือความเห็นของเจ้าใช่ไหม"
"ใช่ครับ"
"ไม่ถูกหรอก ในสายตาข้า ภาพนี้ใช้ไม่ได้ มันไม่ใช่งานศิลปะ"
ช่างเขียนตั๊กงุนงง "หา อะไรนะครับ"
" นางลอกเลียนมาจากหนังสือภาพเขียน แต่ทำให้มีสีสันมากขึ้น เลยแต่งแต้มให้ดูฉูดฉาด เพราะการแต่งเติมที่มากไป ทำให้ขาดจิตวิญญาณของความเป็นจริง ถ้านี่เป็นผลงานของเจ้าจริง แสดงว่าข้าดูเจ้าผิดซะแล้ว"
"เอ่อ ขอโทษค่ะใต้เท้า"
"เอาไปแก้ใหม่ซะ ที่สำคัญ ข้าจะให้เวลาแค่วันเดียว แก้ให้ดูดีขึ้น"
"หา เอ่อ" ซองซงยอนอึ้งไป
ทันใดนั้นก็มีคนงานเข้ามารายงานว่าข้างนอกเกิดเรื่อง ทุกคนรีบออกไปดู
"เกิดอะไรขึ้นน่ะ" ปาร์คยองมุนถาม
ช่างเขียนคนหนึ่งกล่าวว่า "เมื่อกี้ เราได้ยินข่าวบางอย่างที่ไม่น่าเป็นไปได้ อยากรู้ความจริงเลยมาชุมนุมน่ะครับ"
"มีข่าวอะไรอีก"
"เจ้าถืออะไร มาดูซิ" ขุนนางที่ชองโฮคยอมใช้มาบอกซองซงยอน "ฮึ่ม นี่ก็คือ ผลงานของเจ้าใช่ไหม"
ซองซงยอนตกใจ "หา"
"ทุกคนเห็นหรือยัง"
ทุกคนมองอย่างตะลึง "โห เป็นไปได้ไงนี่"
"นี่ก็คือ ผลงานของผู้หญิงคนนี้"
"ให้นางเขียนได้ไง นางเป็นแค่คนงานนะ" ทุกคนพร้อมใจกันถาม
"ใต้เท้าคัง ทำแบบนี้หมายความว่าไงน่ะ" ปาร์คยองมุนถาม
" ขออภัย นี่คือสิ่งที่ข้าจะถามท่านเหมือนกัน นางเป็นแค่คนงาน ทำไมอนุญาตให้เขียนภาพในวัง ท่านเห็นงานที่สูงส่งของเรา กลายเป็นของเด็กเล่นหรือยังไง"
"พูดแบบนี้ แปลว่าจะมาสอนข้าทำงานใช่ไหม แม้จะเป็นแค่คนงานก็จริง แต่เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ไม่ต่างกับช่างเขียน ขอเพียงมีผลงานดี จะมาจากช่างเขียนหรือคนงานก็ไม่เห็นจะแปลก"
"ท่านบอกว่าไงนะ นี่แปลว่าท่าน จะทำลายกฎของศูนย์ศิลปะหรือ นางเป็นใคร แค่คนงานต่ำต้อย คนแบบนี้ จะทำงานระดับบ้านเมืองได้ไงครับ"
"อย่าเอาเรื่องชนชั้นวรรณะมาพูดเลย เทียบกับชนชั้นสูงแต่ไม่มีผลงานอย่างเจ้า นางยังดีกว่าเป็นร้อยเท่า"
ซองซงยอนอึ้งตะลึง "ใต้เท้าคะ"
ใต้เท้าคังเองก็อึ้ง "ท่าน ว่าไงนะ"
" ไม่พอใจตรงไหนก็ว่าตามกติกา ไม่ต้องเรียกมาชุมนุมขนาดนี้ก็ได้ ทุกคนไปทำงานซะ ไม่ได้ยินหรือไง ข้าบอกให้ไปทำงานเดี๋ยวนี้" ปาร์คยองมุนสั่งเสียงเฉียบขาด
ทุกคนแยกย้ายกันไป ช่างเขียนคนหนึ่งบอกลีชองว่าจะทำหนังสือร้องเรียน และให้ลีชองลงชื่อด้วย
"เอ่อ จำเป็นต้องทำแบบนี้ด้วยหรือ ข้าว่าซงยอนก็มีความสามารถดี บางครั้งข้ายังเคย"
"ศักดิ์ศรีของช่างเขียนถูกลบหลู่ขนาดนี้แล้ว ท่านยังเข้าข้างคนอื่น ไม่เห็นใจเราอีกหรือ"
"เอ่อ ไม่ใช่อย่างงั้น ลงชื่อก็ได้ เอ่อ โอ๊ย ท้องข้า ปวดท้อง"
ลีชองแกล้งทำเป็นปวดท้องมากแล้วขอตัวเลี่ยงไปจนได้
ซองซงยอนขอโทษปาร์คยองมุนที่ทำให้เดือดร้อน แต่ปาร์คยองมุนกลับบอกว่า
"อย่าพูดเรื่องไร้สาระเลย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เพราะบางคนความคิดคับแคบต่างหาก"
"แต่ว่า ยังมีช่างเขียนอื่นๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แล้วเราจะทำไงดีคะ ถ้าไงข้าวางมือ ไม่เขียนภาพต่อก็ได้นะ"
"ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ให้เจ้าวางมือ ช้าเร็วเราต้องเจอปัญหานี้อยู่แล้ว ข้ามีทางแก้ของข้าอยู่ เจ้าอย่าตีตนไปก่อนไข้นักเลย"
องค์ชายลีซานเรียกขุนนางหลายคนมาประชุม องค์ชายลีซานทรงกล่าวว่า
" ข้ากลัวว่าเราจะคุยกันยาว จนไม่ได้กลับบ้าน เลยให้เตรียมของว่างไว้ก่อน วันนี้ ข้าเตรียมตัวมาพร้อม หวังว่าทุกท่านคงมีข้อมูลมานำเสนอ ไม่ต้องเกรงใจข้าล่ะ"
"น้อมรับพระบัญชา"
และหลังจากประชุมเสร็จ องค์ชายลีซานก็ขอพบแชจีคยอม
"ขอโทษที ข้ามาช้าไปหน่อย พอดีมีงานหลายอย่างต้องไปดูด้วยตัวเอง"
นัมซาโชรายงานว่า "นี่คือฎีกาที่เหล่าขุนนาง ถวายเข้ามาในวันนี้พ่ะย่ะค่ะ"
"เฮ่อ เป็นหัวข้อที่มีการตกลงล่วงหน้า องค์ชายไม่รู้หลักบริหาร ปล่อยให้คนไม่มีประสบการณ์ ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย"
แช จีคยอมทูลว่า "ทูลองค์ชาย นอกจากสภาขุนนางและสภาตรวจสอบที่ส่งฎีกามาพร้อมกัน ยังมีข่าวว่า แม้แต่สำนักบัณฑิตก็มีท่าทีประท้วงด้วยพะยะค่ะ"
ฮงกุกยองบอกว่า "แต่ว่า มันเป็นสิ่งที่เราคาดหมายอยู่แล้วไม่ใช่หรือ คงไม่ใช่มีคนคัดค้าน เราก็จะยอมถอยหรอกนะ"
"เรื่องมันไม่ง่ายอย่างที่คิด การปฏิรูปใช่จะแก้ปัญหาได้ และถ้าทำอะไรรีบร้อนไป จะยิ่งมีปฏิกิริยาต่อต้านรุนแรงด้วยซ้ำ" แชจีคยอมว่า
องค์ ชายลีซานบอกว่า "ท่านไม่ต้องกลัวหรอก ความจริงใครๆ ก็รู้ว่า การที่พวกเขาต่อต้าน เพราะกลัวว่าตัวเองจะเสียผลประโยชน์ที่เคยได้มาตลอด ปากก็บอกว่า ทำเพื่อบ้านเมืองและราษฎร แต่จริงๆ ก็เพื่อตัวเองทั้งนั้น"
แชจีคยอมอึ้ง "องค์ชาย"
"เหมือนที่อาลักษณ์ฮงพูด นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าเรายอมแพ้ง่ายๆ ก็สู้อย่าริเริ่มดีกว่า ยังมีฏีกาเกี่ยวกับเรื่องอื่นบ้างมั้ย"
"มีพะยะค่ะ มาจากฝ่ายปกครอง และศูนย์ศิลปะก็มี"
"มาให้ข้าดูซิ"
พระพันปีเฮคยองเรียกปาร์คยองมุนมาพบ
"เป็นไงบ้าง ฉากบังลมที่ข้าสั่งไปถึงไหนแล้ว"
"พ่ะย่ะค่ะ กำลังเร่งเขียนอยู่ คิดว่าคงจะเรียบร้อย ไม่เกินปลายเดือนนี้ ตามที่ทรงกำหนดไว้พ่ะย่ะค่ะ"
"จะเสร็จทันเวลาหรือ ได้ยินว่าการเขียนเริ่มมีอุปสรรคแล้ว"
"เอ่อ ทรงหมายความว่าไงหรือพ่ะย่ะค่ะ"
"ข้าอยากรู้ความคืบหน้าเลยให้คนไปสืบข่าว ได้ยินว่าพักนี้ศูนย์ศิลปะมีปัญหาบางอย่างใช่ไหม"
"เอ่อ พระชายา นั่นเป็นเพราะ"
" เห็นว่าท่านมอบงานให้คนงานหญิงคนหนึ่งทำแทน นี่จะเป็นการปัดภาระที่น่าตำหนิหรือเปล่า งานสำคัญขนาดนี้ กลับให้คนงานทำส่งง่ายๆ แสดงว่าท่านอยากถูกปลด ฐานขัดคำสั่งข้าใช่ไหม"
" มิได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา หม่อมฉันหาได้ละเลยต่อความรับผิดชอบไม่ เด็กคนนั้นแม้จะเป็นแค่คนงาน แต่ความสามารถไม่ด้อยกว่าช่างเขียน หม่อมฉันเชื่อว่า พระชายาต้องพอพระทัยผลงานที่ออกมา ขอเพียงให้เวลาหม่อมฉันเท่านั้น"
"ถึงขั้นนี้แล้ว ข้าคงไม่วางใจให้ท่านรับหน้าที่นี้อีก ไม่ต้องพูดมาก ที่เหลือให้ช่างเขียนทำต่อให้เสร็จ"
ปาร์คยองมุนอึ้ง "หา เอ่อ หึ เฮ่ย"
มีซูรีบมาตามซองซงยอนไปพบกับใต้เท้าคัง
"ท่านหาข้าหรือคะ"
"อึม เจ้าคือคนงานชื่อซองซงยอนหรือ"
"ใช่ค่ะใต้เท้า"
"พาตัวนางไปเดี๋ยวนี้"
ปาร์คยองมุนเข้ามาพอดี "ใต้เท้า เด็กคนนี้แค่ทำตามคำสั่งข้าเท่านั้น มีปัญหาข้าจะรับผิดชอบเอง"
" ท่านต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว ไม่ต้องรีบออกหน้าหรอก แต่ว่า นางก็ไม่พ้นความผิดเหมือนกัน แม้จะทำตามคำสั่ง แต่เป็นแค่คนงาน จะทำงานใหญ่ได้ยังไง ช่างบังอาจเหิมเกริมทั้งคนสั่งและคนรับคำสั่ง เอาตัวไปไต่สวนเดี๋ยวนี้"
ลูกน้องสองคนรับคำแล้วจับตัวซองซงยอน ใต้เท้าคังบอกว่า "รอให้รู้ข้อเท็จจริงก่อน จะมีการลงโทษต่อไป"
"ใต้เท้าคะ ข้าขออาสาวาดเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับใต้เท้าปาร์คหรอกค่ะ"
"หุบปาก ยืนเฉยทำไม เอาตัวไปทั้งคู่"
ทันใดองค์ชายลีซานเข้ามาพอดี "องค์ชาย"
"นี่เป็นศูนย์ศิลปะของทางการ พวกเจ้ามาทำอะไร"
"ทรงอภัยด้วยพะยะค่ะ"
"ท่านคือเจ้ากรมพิธีการไม่ใช่หรือ มาทำอะไรที่นี่ไม่ทราบ"
ใต้ เท้าคังรีบทูล "เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ทำลายกฎของศูนย์ศิลปะ มีช่างเขียนร้องเรียนถึงความไม่ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ หม่อมฉันจึงมาไต่สวน ว่าเรื่องเป็นมายังไงพะยะค่ะ"
"ไม่ถูกต้องยังไง แค่คนงานเขียนรูป ทำไมต้องตื่นเต้นนักหนา"
"เอ่อ องค์ชาย ทำไมทรงทราบได้ล่ะ" ใต้เท้าคังแปลกใจ
"ข้ามีเรื่องจะคุยกับทุกคนในที่นี้ เชิญท่านเจ้ากรม รวมถึงคนอื่นที่ไม่พอใจกับเรื่องนี้ เข้าไปข้างในก่อน"
ลีชองดีใจมาก "แหะ ดีๆ ต้องอย่างงี้สิ"
องค์ ชายลีซานตรัสกับทุกคนว่า "ข้ากำลังดำเนินการ ปฏิรูปหน่วยงานต่างๆ ให้เข้าที่เข้าทาง เมื่อวานนี้ ข้าได้ดูขั้นตอนการคัดเลือกช่างเขียน จากคนที่มีพรสวรรค์ สอนให้เป็นจิตกรซึ่งทำงานให้ราชสำนักโดยเฉพาะ แต่ผู้หญิงและชนชั้นไพร่ ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ไม่รับเป็นช่างเขียน นี่คือส่วนที่ต้องปรับปรุง ยกตัวอย่างง่ายๆ คนงานหญิงคนนี้ ถ้านางมีความสามารถจริง ให้เป็นช่างเขียนก็ไม่แปลก นี่คือความเห็นส่วนตัวข้า หรือทุกท่านเห็นว่าไง"
ทุกคนได้แต่ "เอ่อ ฮึ่ม"
ใต้เท้าคังทูลว่า "เอ่อ องค์ชาย ขอทรงอภัยด้วย เรื่องนี้คงเป็นไปไม่ได้พะยะค่ะ"
"ทำไมถึงไม่ได้"
" เอ่อ องค์ชายก็ทรงทราบดี คนงานคือชนชั้นไพร่ที่ด้อยความรู้ ที่สำคัญ ผู้หญิงจะรู้เรื่องศิลปะ ขนาดเขียนเป็นภาพได้ยังไง ทำแบบนี้ เพราะองค์ชายไม่รู้ ธรรมเนียมปฏิบัติ ที่มีมานาน"
"ไม่รู้ธรรมเนียม คำพูดนี้อีกแล้วหรือ ถ้าข้าดูคนไม่ผิด แต่พวกท่านมองข้ามพรสวรรค์ของคนๆ หนึ่งจะว่าไง เอางี้มั้ย ถ้าผลงานของนาง ไม่แพ้คนที่เป็นช่างเขียนจริง พวกท่านจะยอมเปลี่ยนความคิดหัวโบราณที่ยึดถือมาหรือเปล่า"
ลีชองรีบนำเรื่องนี้มาบอกซองซงยอน
"อะไรนะคะ ให้ข้าลงแข่งเขียนภาพกับคนที่เป็นช่างเขียนหรือคะ"
" ใช่ เมื่อกี้มีการประชุมและสรุปออกมาแบบนี้ ทุกปีเราจะมีการสอบหนึ่งครั้ง เพื่อวัดระดับฝีมือของแต่ละคน ถ้าเจ้ามีโอกาสลงแข่งก็ยิ่งดี และแค่ติด 1 ใน 5 เท่านั้น ทุกคนก็จะหุบปาก ไม่กล้าดูถูกเจ้าอีกเลย"
"แต่" ซองซงยอนอึ้ง
โชบีบอกว่า "อะไรนะคะ ติด 1 ใน 5 หรือ แต่ว่า มีช่างเขียนลงแข่งไม่ต่ำกว่า 20 คน แล้วซงยอนจะสู้ได้หรือคะ"
"ถึงอย่างงั้นเราก็ไม่มีข้ออ้างจะปฏิเสธไม่ลงแข่งได้ เพราะองค์ชายช่วยเจ้าอยู่ จะลำเอียงก็ไม่ได้ เลยให้ทดสอบฝีมือเป็นตัดปัญหา"
"เฮ่ย ปวดหัวจริงๆ" โชบีบ่น
ซองซงยอนรีบไปหาปาร์คยองมุน
"เอ่อ ใต้เท้าคะ ให้ข้าลงแข่งการเขียนรูป ท่านคิดดีแล้วหรือคะ ข้าทำไม่ได้หรอกค่ะ"
"เจ้าทำไม่ได้ นี่คือคำตอบจากเจ้าแล้วใช่ไหม"
"ใต้เท้าคะ"
" ตลอดเวลาที่ผ่าน เจ้าคิดยังไง เพราะความต่ำต้อย เพราะเป็นผู้หญิง ทำให้ไม่กล้าแม้แต่จะจับพู่กัน แล้วไม่นึกเสียดาย ไม่โกรธแค้นโชคชะตาบ้างหรือ พอมาวันนี้ มีโอกาสให้เจ้าได้แสดงฝีมือ แต่แล้ว กลับบอกว่าทำไม่ได้ ไม่อยากทำ นี่คือความต้องการที่แท้จริงของเจ้าหรือเปล่า"
"ใต้เท้า ไม่หรอกค่ะ ข้าอยากเขียนรูปมาก ขอเพียงมีโอกาสเท่านั้น ข้าจะพยายามสร้างสรรค์ผลงาน เพื่อเป็นจิตกร จะได้เขียนรูปอย่างที่ใจคิด"
"แล้วยังไง"
"แต่ว่า ข้าก็ไม่รู้เพราะอะไรค่ะ ข้าเขียนไม่ออกซะที ตั้งแต่ที่ท่าน บอกให้ข้าเขียนรูปกล้วยผุกซู ควรจะใช้สียังไง วาดออกมาในรูปแบบไหน ข้ารู้สึกว่างเปล่า นึกอะไรไม่ออกเลยล่ะค่ะใต้เท้า"
คิมซังกุงรู้เรื่องก็นำมารายงานให้พระชายาโยอึยทรงทราบ
"หา คนงานที่ก่อปัญหาก็คือซงยอนหรือ"
"ใช่แล้วเพคะ ไม่เพียงแค่นี้ ขณะที่ศูนย์ศิลปะกำลังชุลมุนกันอยู่ จู่ๆ องค์ชายก็เสด็จไปถึง และรับสั่งให้นางเขียนต่อเพคะ"
"องค์ชายน่ะหรือ"
" เพคะ ตอนนี้ใคร ๆ เลยวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องนี้ เพราะก่อนหน้า,องค์ชายก็ปรับเปลี่ยนโน่นนี่จนทำให้หลายฝ่ายไม่พอใจแล้ว บวกกับยายคนงานนี่อีก กลายเป็นว่าทรงก้าวก่ายไปซะหมด หึ หม่อมฉันว่า เพราะนางมีจุดประสงค์อื่น ถึงได้ทำแบบนี้ พระชายาเพคะ อย่าทรงนิ่งเฉยอีกนะ ม่อมฉันเคยทูลแล้วว่า ผู้หญิงคนนี้ต้องมีพิรุธแน่ เฮ่ย เฮ่ย"
ขณะที่องค์หญิงวาวานก็ทราบเรื่องนี้จากชองโฮคยอม
"จริงหรือนี่ เจ้าบอกว่าองค์ชายสนิทกับคนงานที่ศูนย์ศิลปะเป็นพิเศษน่ะ"
"พ่ะย่ะค่ะ เรื่องมาถึงขั้นนี้แสดงว่าองค์ชาย ต้องมีอะไรพิเศษกับนางแน่ ถึงได้ช่วยขนาดนี้"
"เฮอะ คนงานเขียนรูปน่ะหรือ"
" ยังไงก็ตามแต่ ดีที่องค์ชายไปยุ่งกับเรื่องนี้ เลยเป็นผลดีต่อเรามากกว่า เพราะตอนนี้ ขุนนางทั้งหลายต่างไม่พอใจที่องค์ชายทรงคิดเปลี่ยนระบบใหม่ แล้วจู่ๆ มีเรื่องคนงานหญิงมาแทรก ทำให้องค์ชายขายหน้าเมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นสิ่งที่เขาเสนอมา ทุกคนจะเห็นเป็นเรื่องตลก"
ปาร์คยองมุนทูลองค์ชายลีซานเรื่องซองซงยอน
"ท่านบอกว่าไงนะ ซงซอน ไม่อาจใช้ความสามารถได้อย่างเต็มที่หรือ"
" นี่คือหลายวันก่อน างได้เขียนภาพนี้ออกมาพ่ะย่ะค่ะ ไม่เพียงลายเส้นสับสน แม้แต่สีก็แปลกประหลาด พรสวรรค์ที่เคยแสดงต่อหน้าคณะทูต ไม่ทราบหายไปไหนหมดแล้ว"
ปาร์คยองมุนกล่าวกับทุกคนว่า "การแข่งเขียนภาพนั้น เป็นการทดสอบฝีมือช่างเขียนแต่ละคนว่าจะได้เลื่อนขั้นหรือไม่ ฉะนั้น ส่วนใหญ่ช่างเขียนจะตั้งใจแสดงฝีมือเต็มที่,เพื่อหวังคะแนนให้มากที่สุด โดยมีจิตกรที่ปลดเกษียณเป็นผู้ตัดสิน ถ้าออกมาแบบนี้ พวกเขาจะไม่ยอมแม้แต่ชายตามองด้วยซ้ำ"
จบ 20ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน 21
ฮงกุกยองทูลองค์ชายลีซานว่า
" ก่อนอื่น เราต้องหาหลักฐานที่พ่อค้าถูกกฎหมายชอบโก่งราคา และแบ่งกำไรที่ได้ให้กับขุนนางคนไหน เราต้องจับให้มั่นคั้นให้ตาย วิธีนี้ จึงจะตัดความสัมพันธ์ ระหว่างพ่อค้ากับขุนนางให้ขาดได้พะยะค่ะ"
"เรา ต้องแก้ปัญหาเรื่องพ่อค้าเร่ด้วย ถ้าพวกเขาขายของแล้ว จ่ายภาษีให้ทางการเหมือนกัน ต่อไปไม่ว่าได้รับอนุญาตหรือไม่อนุญาต ล้วนมีสิทธิ์ค้าขายอย่างเท่าเทียม วิธีนี้ จะเป็นผลดีต่อราชสำนักและชาวบ้านด้วย"
"เรื่องนี้หม่อมฉันกำลังดำเนิน การอยู่ แต่ว่า องค์ชายก็ไม่ต้องห่วงนัก การขายของโดยไม่ถูกจำกัดสิทธิ์ เป็นสิ่งที่พ่อค้าเร่หวังมานาน เพราะฉะนั้น หม่อมฉันจะทำให้เกิดความเท่าเทียม"
"งั้นก็ได้ ภายในสามวันขอให้มีคำตอบล่ะ"
"พะยะค่ะ เมื่อวาน ได้ยินว่าศูนย์ศิลปะเกิดเรื่องวุ่นวายหรือพะยะค่ะ"
"ท่านรู้ด้วยหรือ"
"หม่อมฉันขอบังอาจทูลว่า เรื่องนี้ ทรงทำให้บานปลายหรือเปล่า"
"หมายความว่าไง"
" ฝ่ายตรงข้ามกำลังหาช่องโหว่ ที่จะล้มนโยบายขององค์ชายอยู่ ถ้าคนงานหญิงนั่นเขียนภาพได้ดีก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ได้ เท่ากับทำลายความน่าเชื่อถือขององค์ชายนะพะยะค่ะ"
"ก็เพราะอย่างงี้ ข้าเลยยิ่งเป็นห่วงซงยอนมากขึ้น"
"อะไรนะ"
" เพราะข้า รู้ใจนางเป็นอย่างดี นางกับเทซู เป็นเพื่อนเก่าของข้า ที่ข้าออกหน้าแทน ไม่ใช่เพื่อหวังจะช่วยนาง แต่อยากใช้ความสามารถของนาง แก้ไขค่านิยมที่ศูนย์ศิลปะยึดถือมานาน หากทำได้สำเร็จ จะยิ่งเปิดกว้างสำหรับคนที่เก่งจริง แต่ว่า รู้สึกเพราะความเห็นแก่ตัวของข้า กลับไปเพิ่มภาระให้นาง ข้าเลยไม่ค่อยสบายใจ ป่านนี้ไม่รู้ว่า นางจะกดดันมากน้อยแค่ไหน"
และคืนนั้นองค์ชายลีซานก็แอบไปหาซองซงยอน
"พรุ่งนี้จะมีการสอบของบรรดาช่างเขียน เจ้าจะเข้าร่วมด้วยใช่ไหม"
"เพคะ แต่ว่า หม่อมฉันไม่ค่อยมั่นใจ กลัวว่าจะเป็นต้นเหตุ ทำให้ไต้เท้าปาร์คและองค์ชาย เดือดร้อนกันไปหมด"
"พูดอะไรโง่ๆ อย่างงั้น อย่าสร้างความกดดันให้ตัวเองสิ ถ้าครั้งนี้ไม่ได้ คราวหน้าก็เอาใหม่ คิดแบบนี้ก็สิ้นเรื่อง"
"องค์ชาย"
" ถ้ามุ่งแต่จะเอาชนะอย่างเดียว หรือชนะเพื่อคนอื่น เจ้าจะยิ่งเครียดหนัก เป็นความกดดันให้ตัวเองสองเท่า แล้วอย่างงี้ ภาพเขียนจะออกมาสวยงามได้ยังไง เวลาเขียนรูป ต้องใช้ความทรงจำดีๆ ในการถ่ายทอด สำหรับเจ้าแล้ว นี่คือเจตนารมณ์ในการเขียนรูปไม่ใช่หรือ"
"องค์ชาย"
"จริงสิ พรุ่งนี้ไปแข่งขัน อย่าลืมใช้อุปกรณ์ที่ข้ามอบให้ล่ะ ข้าได้ทำพิธี ปลุกเสกด้วยอาคมขลัง จะช่วยให้เจ้าบรรลุเป้าหมาย"
และ ซองซงยอนได้รับรางวัลที่ห้าจากการประกวดภาพวาดของหอจิตรกร เมื่อเทซูรู้เรื่องนี้แล้วก็รีบรุดไปหาซองซงยอน ขณะที่ช่างเขียนตั๊กกับขุนนางต่างไม่พอใจการตัดสิน จึงรุดมาถามเหตุผล
" ความจริงไม่เพียงแต่ข้าคนเดียว ช่างเขียนทุกคนต่างก็คิดเหมือนกัน จึงจะมาขอคำอธิบายน่ะครับ การทดสอบคราวนี้กำหนดให้เขียนภาพสี แต่ภาพของนาง แทบไม่มีสีสันให้เห็น แล้วจะบอกว่าดีกว่างานของเราได้ไงครับ"
ปาร์คยองมุนยังไม่ทันตอบ ซองซงยอนก็เข้ามา ผู้เฒ่าที่เป็นคนตัดสินจึงถามว่า
"อึม เจ้าก็คือคนงานชื่อซองซงยอนเรอะ"
"ใช่ค่ะใต้เท้า"
"ก่อนที่ข้าจะอธิบาย ว่าทำไมผลงานของเจ้าถึงได้เข้ารอบ มีเรื่องบางอย่างจะขอถามเจ้าหน่อย"
"ค่ะ"
"อึม เรากำหนดให้เขียนเป็นภาพสี แล้วทำไมเจ้า ไม่ยอมใช้สีแต่งแต้มลงไป เพราะไม่มั่นใจในการใช้สีหรือไง"
"เอ่อ คือ นั่นเป็นเพราะ สีที่แจกมาให้ ไม่มีสีไหนพอใช้ได้น่ะค่ะ"
"พูดแบบนี้หมายความว่าไง ไม่มีสีพอใช้ได้น่ะ" ปาร์คยองมุนถาม
ขุนนางรีบบอก "อ้อ นางแก้ตัวน่ะครับ เพราะไม่ถนัดการใช้สีเลยอ้างว่าสีไม่ดี"
ปาร์คยองมุนดุ "เจ้าอย่าสอดได้ไหม เจ้าพูดมาซิ ทำไมสีของเจ้าใช้ไม่ได้เลยหรือ"
"สีที่แจกมา ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น มันหกเลอะเทอะ ผสมกันยุ่งเหยิงไปหมด เลยทำให้ใช้ไม่ได้น่ะค่ะ"
"เพราะอย่างงี้ เลยได้แต่ใช้หมึกดำอย่างเดียว"
"ใช่ค่ะ"
"ถึงอย่างงั้นก็เถอะ การใช้สีดำสื่อถึงภาพทิวทัศน์ เจ้าไม่คิดว่าผิดหลักความเป็นจริงบ้างหรือ"
"ไม่ได้ยินที่ถามหรือ รีบตอบเร็วเข้า" ช่างเขียนตั๊กดุ
ผู้ เฒ่าอีกคนตอบแทนว่า "เรื่องนี้ ข้าตอบแทนนางได้ สิ่งที่ข้า เห็นจากในภาพ ไม่ใช่แค่ฤดูใบไม้ร่วง ยังมีอีก 3 ฤดูรวมอยู่ในนั้นด้วย"
"เอ่อ ใต้เท้า หมายความว่าไงหรือครับ"
" กว่าจะถึงฤดูใบไม้ร่วง ต้องผ่านฤดูหนาว ร้อนและฤดูใบไม้ผลิ ด้วยเหตุนี้ ในความงามของแต่ละฤดูกาล ไม่เพียงสื่อถึงฤดูนั้นเท่านั้น ยังต้องรวมสภาพของฤดูอื่นเข้าไปด้วย จึงจะยิ่งมีความหมายลึกซึ้ง การใช้หมึกดำในการเขียน จึงรวมเอาสีสันของฤดูกาลไว้ได้หมด ถูกหรือเปล่า ที่ข้าอธิบายมา พอจะตรงกับความหมายของเจ้าหรือเปล่า"
"ใต้เท้าชมเกินไปแล้วค่ะ"
" ดำขาวเป็นแม่สีของทุกสีสันในโลก สามารถแตกออกเป็นสีอีกมากมาย คนที่รู้จักใช้สีดำอย่างลงตัว แม้ไม่มีความงามที่สะดุดตา แต่จะแฝงความนัยได้อย่างลึกซึ้ง"
"ที่เราให้ผลงานของเด็กคนนี้อยู่ใน ลำดับ 5 ก็เพราะ แม้จะไม่มีสีสันฉูดฉาด แต่ลายเส้นชัดเจน อ่อนช้อยและเน้นหนักอย่างลงตัว กลายเป็นภาพที่น่าทึ่ง อีกทั้งแค่ใช้สีดำก็สามารถสื่อถึงการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล จึงสมควรจะได้ที่ 5 แต่แม้ว่าให้นางได้ที่หนึ่ง เราก็เชื่อว่าไม่มีใครกล้าตำหนิได้" ผู้เฒ่าอีกคนกล่าว
"เมื่อก่อนคิด ว่าผู้หญิงเขียนรูปเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่วันนี้ถือว่าได้เปิดหูเปิดตา เราคงล้าสมัยไปแล้ว หึๆ ไปเถอะ หมดเรื่องแล้ว"
ช่างเขียนตั๊กกับขุนนางท่านนั้นอึ้งไปทีเดียว ปาร์คยองมุนมอบหมายให้ซองซงยอนวาดภาพฉากบังลม
องค์หญิงวาวานรู้จากชองโฮคยอมว่าองค์ชายลีซานใส่พระทัยซองซงยอนมาก จึงคิดว่าซองซงยอนจะเป็นเหยื่อในการเล่นงานองค์ชายลีซานได้หรือไม่
ดึกแล้ว องค์ชายลีซานให้นัมซาโชไปตามฮงกุกยองกับแชจีคยอมมาพบ
"ได้ยินรับสั่งว่า จะให้เหล่าพ่อค้าเร่มาพบ หมายความว่าไงหรือพ่ะย่ะค่ะ"
"พบพวกเขาเพื่อจะหาวิธีแก้ปัญหา"
" แต่ว่า เหล่าพ่อค้าเร่ คงไม่อาจมาเจรจาอะไรได้ เพราะการค้าขาย ส่วนใหญ่คือกระจัดกระจายอยู่ไม่เป็นที่ แล้วจะหาตัวแทนจากไหนล่ะพ่ะย่ะค่ะ"
"เรื่องนี้ใต้เท้าคงไม่รู้อะไร ตอนนี้พ่อค้าเร่ ก็มีการรวมกลุ่มเพื่อเจรจา และข้าก็สามารถติดต่อกับตัวแทนได้แล้ว"
" ปัญหาอยู่ที่ว่า ถ้าข้าไปเจอพวกเขา อย่าให้เหล่าขุนนางรู้เข้าเป็นอันขาด เราต้องหลบหลีกคนที่มาดูความเคลื่อนไหวของข้า แอบพบอย่างลับๆ"
องค์ชายลีซานไปพบพ่อค้าตลาดมืด และทำความตกลงกับพ่อค้าตลาดโดยจะให้อิสระในการค้าขาย หวังว่าทุกคนจะให้ความร่วมมือกับตน
" ข้าจะให้ใบอนุญาต ทำการค้าอย่างอิสระ ที่ตลอดเวลาอยู่ในมือพ่อค้าที่มีอิทธิพล และนับแต่นี้ ทางการจะปรามไม่ให้พ่อค้าที่ถูกกฎหมาย เอารัดเอาเปรียบราษฎร ขึ้นราคาสินค้าตามใจชอบอีก แต่เรื่องนี้ คงไม่ใช่ข้าคิดอยู่ฝ่ายเดียว ต้องให้ทุกท่านร่วมมือ งานนี้ถึงจะบรรลุผลตามที่ทุกคนต้องการ หรือพวกท่านว่าไง จะยอมร่วมมือ ช่วยข้าทำงานหรือเปล่า"
"เราเป็นคนต่ำต้อย จะกล้าช่วยองค์ชายได้ยังไง"
"แต่พวกท่าน สามารถรวบรวมพ่อค้าเร่อีกนับร้อยนับพันไม่ใช่หรือ"
"ต้องรวบรวมพ่อค้าอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ ทรงหมายความว่ายังไง" ดัลโฮทูลถาม
"ถ้าต้องการขายของจริง พ่อค้าเร่ก็ต้องมีการเสียภาษีอย่างถูกต้อง ทางการจะได้มีข้ออ้าง ยอมให้ค้าขายอย่างอิสระไม่ใช่หรือ"
"ขอเพียงให้เราขายของต่อ เราก็ยินดีจ่ายภาษีพ่ะย่ะค่ะ"
"ดีมาก สิ่งที่ข้าต้องการคือความเห็นชอบในเรื่องนี้ เป็นอันตกลงล่ะ"
"พ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย"
ฮงกุก ยองกล่าวว่าการจะหาหลักฐานที่บรรดาขุนนางใหญ่สมคบกับพ่อค้าให้ได้นั้น จะต้องค้นหาบัญชีของผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนักให้ได้เสียก่อน
องค์ชายลีซานเชิญองค์ชายอึนยอนกับองค์ชายอึนจอนมาพบ เวลาเดียวกันนี้พระพันปีเฮคยองก็เรียกฮงกุกยองมาเฝ้า
"เรื่องของเจ้า ข้าได้ยินมาหลายครั้ง เห็นว่าเป็นที่ปรึกษาขององค์ชาย เวลามีเรื่องเดือดร้อนก็จะช่วยคลี่คลายปัญหาใช่ไหม"
"หม่อมฉันแค่ทำตามหน้าที่ ไม่กล้าอวดอ้างผลงานพ่ะย่ะค่ะ"
"วันนี้ที่ให้มาพบ เพราะอะไรรู้หรือเปล่า"
"ขอทรงอภัย หม่อมฉันแปลกใจที่มีรับสั่งให้เข้าเฝ้า จึงไม่ทราบว่ามีพระประสงค์อะไรพ่ะย่ะค่ะ"
"ทันทีที่องค์ชายเป็นผู้สำเร็จราชการ ศัตรูที่อยู่ในที่ลับก็เริ่มเผยโฉม"
"พ่ะย่ะค่ะ"
" ศัตรูที่ว่านี้ ที่น่ากลัวที่สุดก็คือองค์หญิงวาวาน ตราบใดที่นางยังอยู่,องค์ชายจะไม่มีวันปลอดภัยได้ หรือเจ้าเห็นว่าไง เจ้า รู้มั้ยว่าองค์หญิง มีบทบาทอะไรในกลุ่มขุนนางหัวเก่า องค์หญิงวาวาน คือบ่อเงินบ่อทองของพวกเขา แหล่งรายได้ที่สำคัญจะมาจากองค์หญิง แล้วค่อยแจกจ่ายไปตามลำดับ ถ้าอยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้ ให้ติดตามพ่อค้าที่ชื่อ โอยุนซุก"
ฮงกุกยองตามสืบตามจับคนของโอยุนซุก และบุกไปที่บ้านเพื่อตรวจค้น องค์หญิงวาวานรู้ก็เดือดมาก สั่งให้คนไปตามแชซกจูกับชองโฮคยอม แต่ทั้งสองประชุมกับองค์ชายลีซานอยู่ จึงมาไม่ได้
ที่ห้องประชุม แชซกจูทูลองค์ชายลีซานว่า
"องค์ชาย จะให้พ่อค้าเร่มีสิทธิ์ขายของ อีกทั้งออกใบอนุญาต เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ"
"ท่านบอกว่าทำไม่ได้ เป็นเพราะอะไร"
ขุน นางอีกท่านหนึ่งตอบว่า "ทุกวันนี้ มีพ่อค้าที่เสียภาษีให้ทางการอย่างถูกต้อง,ผูกขาดเรื่องการค้าอยู่ ถ้าเราอนุญาตให้พ่อค้าเร่มาขายอีก สำหรับคนที่เสียภาษีอย่างหนัก จะไม่ยุติธรรมสำหรับพวกเขาหรือเปล่า"
"ถ้าอย่างงั้น เราก็ลดภาษีให้พ่อค้าที่มีใบอนุญาตละกัน นี่คือ รายชื่อพ่อค้าเร่ที่ยินดีเสียภาษีให้ทางการ เพื่อแลกกับสิทธิ์ในการค้าขาย เมื่อเราลดภาษีให้พ่อค้าที่มีใบอนุญาต ส่วนที่ขาดหาย ก็จะได้คืนจากพวกเขาแทน หากทำแบบนี้ การจัดเก็บรายได้ก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ ในขณะที่พ่อค้าทั้งสองฝ่ายจะมีการแข่งขันตามกลไกตลาด ทำให้ราคาสินค้าถูกลง ไม่ว่ามองในแง่ไหน ก็ล้วนเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองและราษฎร ทำไมพวกท่าน ต้องคัดค้านเรื่องนี้นักหนา"
แชซกจูกล่าวว่า "แต่ทุกวันนี้ คนที่กุมระบบเศรษฐกิจของโชซอน คือพ่อค้าที่ถูกกฎหมาย แล้วจู่ ๆ เราให้พวกเขาเปลี่ยนแปลง"
"งั้นหรือ ข้าว่าคนที่คุมพวกเขาอีกต่อ คือพวกท่านทั้งหลายกระมัง" องค์ชายลีซานว่า
แชซกจูอึ้ง "เอ่อ องค์ชาย พระอาญาไม่พ้นเกล้า ทำไมรับสั่งอย่างงั้นล่ะพ่ะย่ะค่ะ"
"องค์ชาย การสนับสนุนพ่อค้าเร่ให้มีสิทธิ์ขายของ ทรงคิดดีแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ"
"ข้าคิดดีแล้ว หรือเจ้าเห็นว่าไง"
ชอง โฮคยอมทูลว่า "ที่ทางการจำกัดสิทธิ์ของพ่อค้าเร่นั้น ไม่ใช่เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของคนรวย หากแต่เป็นการรักษาระบบเกษตรกรรม เพราะว่าถ้าพ่อค้าเร่สามารถขายของได้ อีกหน่อยบรรดาชาวไร่ชาวนาก็จะแห่เข้าเมืองมา เพื่อจะขายของเองบ้าง ถึงตอนนั้น การเกษตรซึ่งเป็นรากฐานของเราก็จะสั่นคลอน เรื่องนี้องค์ชาย ได้ทรงเตรียมการรับมือหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ"
"คำพูดของท่าน เหมือนตีตนไปก่อนไข้ เถียงข้างๆ คูๆ มากกว่า"
ชองโฮคยอมอึ้ง "องค์ชาย"
" ที่ข้าอนุญาตให้ค้าขาย เฉพาะพ่อค้าเร่ที่อยู่ในเมืองหลวง นอกนั้นไม่เกี่ยวด้วย ถ้าเกษตรกรจะมาขายตาม เราค่อยแก้ปัญหาอีกที ไม่ต้องห่วงนักหรอก"
แชซกจูแย้งว่า "แต่ว่า มันไม่ง่ายอย่างที่ทรงคิด ส่วนใหญ่พ่อค้าเร่จะเป็นพวกจับจด มีอะไรก็ขายอย่างงั้น เราจะหวังให้เสียภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วย หม่อมฉันว่าเป็นไปไม่ได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ"
"เรื่องนี้ข้าก็เคยคิดเหมือนท่าน แต่ตอนนี้เห็นลู่ทาง พอจะรับมือได้แล้ว"
มหาดเล็กเข้ามา "ทูลองค์ชาย ใต้เท้าฮงกุกยองมาขอเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ"
ฮงกุกยองเข้ามาทูลว่า "ค้นได้จากบ้านพ่อค้ารายใหญ่พ่ะย่ะค่ะ"
" นี่คือ บัญชีเกี่ยวกับธุรกรรมการค้า ที่เราไปค้นจากบ้านพ่อค้าชื่อโอยุนซุก ถ้าได้อ่าน จะรู้ว่าราคาสินค้าถูกกำหนดด้วยวิธีไหน ใครได้ผลประโยชน์จากตรงนี้ มีเขียนไว้อย่างละเอียด หรือพวกท่านเห็นว่าไง ถ้าไม่เพราะคนมีอำนาจเพิกเฉย พวกเขาจะกล้าโก่งราคาตามใจชอบ ขูดรีดราษฎร ข่มเหงคนอื่นได้หรือ จริงหรือเปล่า ข้าจะพยายาม บีบให้พวกเขาพูดความจริงออกมา จะได้รู้ที่มาที่ไป และถ้าสาวถึงใครมีส่วนเกี่ยวข้อง ข้าจะลากตัวออกมาประจาน เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป เข้าใจหรือเปล่า"
พระมเหสีจองซุนทรง ทราบเรื่องก็รีบเข้าเฝ้าพระเจ้ายองโจ และทูลว่าการกระทำขององค์ชายลีซานเกรงว่าจะบานปลาย ขอให้ทรงยับยั้ง แต่พระเจ้ายองโจกลับตรัสว่า
"ถ้าบานปลายจริง เขาก็ต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เราดูเขาไปเรื่อยๆ เถอะ"
พระมเหสีจองซุนทรงอึ้งไป ก่อนจะกลับมาต่อว่าทุกคน
" ข้าบอกให้ทุกคนหาช่องทางเล่นงานองค์ชายให้หนัก กลับกลายเป็นฝ่ายเราตกเป็นเบี้ยล่างให้ปั่นหัวซะเอง แต่ละคนทำงานประสาอะไรกัน ยังไม่รู้จักเขาดีพอหรือ คนที่กล้าคิดกล้าทำก็คือองค์ชายลีซาน ไม่แค่เพราะว่าเขาเป็นลูกของอดีตรัชทายาทเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะ เขาจะพลิกโฉมการเมืองใหม่ โดยมีเป้าหมายคือเจาะจงเล่นงานพวกเราทุกคน ฉะนั้นเราจึงต้องลิดรอนอำนาจของเขาซะก่อน"
ชองโฮคยอมทูลว่า "หม่อมฉันขอบังอาจทูลว่า เรื่องนี้ ไม่ต้องทรงเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ"
"อะไรนะ"
"หม่อมฉันกำลังรอ ให้เขาแสดงผลงานเป็นรูปธรรมกว่านี้ และเหมือนที่พระมเหสีรับสั่ง ข้อบกพร่องของเขาจะปรากฏให้เห็นทันที"
"พูดแบบนี้หมายความว่าไง แสดงว่า เจ้ามีวิธีรับมือกับเขาแล้วใช่ไหม"
" ทุกวันนี้องค์ชาย คงนึกกระหยิ่มใจ ว่าตัวเองมีดาบในมือจะฆ่าใครก็ได้ เราก็ปล่อยให้หลงระเริง ลุแก่อำนาจไปเถอะ เพราะเขาจะประมาท ไม่ทันมองว่าเหยื่อที่อยู่ในมือ จริงๆ ยังมีพิษสงอยู่มาก ไม่อาจฆ่าฟันได้ตามใจชอบ เพราะฉะนั้น ขอทรงวางพระทัย เรื่องนี้หม่อมฉันจะจัดการเอง อีกไม่นาน หม่อมฉันจะให้ทุกคนได้เห็นว่า องค์ชายตวัดดาบเชือดคอตัวเองยังไง"
หลังจากมีประกาศให้บรรดาพ่อค้าทั้ง หลายไปขึ้นทะเบียน จ่ายภาษีให้ทางการ ใครใคร่ค้าอะไรก็ค้าได้ พวกชาวบ้านต่างโฮร้องดีใจ และสรรเสริญองค์ชายลีซาน
ขณะที่พวกพ่อค้าที่ถูกกฎหมายต่างก็บ่นว่าขุนนางทำอะไรอยู่ ชองโฮคยอมจึงเข้าไปคุยกับเหล่าพ่อค้าที่ถูกกฎหมาย
" ข้ารู้สึกผิดหวังจริงๆ ในเมืองโชซอนแห่งนี้ คนที่ร่ำรวยจากการค้า เรียกได้ว่าเป็นคณบดีแถวหน้าก็คือพวกท่านทั้งหลาย แล้วทำไมกลัวกระทั่งมีดเล็กๆ ที่อยู่ในมือองค์ชายลีซานเชียวหรือ"
"แต่ว่าใต้เท้า ตอนนี้ทางการเริ่มเข้มงวดต่อตั้งราคาสินค้าของเรา แสดงว่าองค์ชายจะตัดทางทำมาหากินของเราชัดๆ"
" เขาจะไม่ได้บรรลุเป้าหมาย พวกท่านมีอะไรอยู่ในมือบ้าง คือเงินใช่ไหม แค่มีเงินซะอย่าง ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้,คือหลักการที่พวกท่านยึดถือมาตลอด นี่นา ขอเวลา 10 วัน ให้พวกท่านใจเย็นไว้ ทำตามคำแนะนำของข้า คิดว่าไม่เกินจากนี้ ทุกอย่างจะเข้าสู่ภาวะปกติ ข้ารับรองว่าจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้หมด ถ้าอย่างงั้น ข้าจะบอกให้ฟังว่า นับจากนี้ไปอีก 10 วัน ทุกคนต้องทำอะไรบ้าง"
จากนั้นไม่นานพวกพ่อค้าก็รวมหัวกันจุดไฟเผาสินค้า องค์ชายลีซานทรงทราบก็ตกใจ
"ท่านบอกว่าไงนะ พวกพ่อค้ารวมหัวจุดไฟเผาสินค้าตัวเองงั้นหรือ"
"พ่ะย่ะค่ะ มีคนเข้าไปช่วยดับไฟ แต่พวกพ่อค้าไม่ยอม สั่งห้ามไม่ให้มีการดับไฟพ่ะย่ะค่ะ"
เหล่าขุนนางพากันไปทูลฟ้องพระเจ้ายองโจ แต่พระเจ้ายองโจไล่ทุกคนออกไป และบอกว่าให้องค์ชายลีซานจัดการเอง
นัม ซาโชถามฮงกุกยองว่าเป็นไง ฮงกุกยองตอบว่าพ่อค้าที่สั่งให้เผาสินค้าถูกจับข้อหาวางเพลิง นัมซาโชบอกว่าแชจีคยอมมาเข้าเฝ้าองค์ชายลีซานอยู่ แชจีคยอมทูลว่า
"องค์ ชาย หม่อมฉันว่าการออกกฎให้พ่อค้าเร่มีสิทธิ์ขายของ เป็นการตัดสินพระทัยที่เร็วเกินไป เมื่อเราช่วยฝ่ายหนึ่งให้ได้ประโยชน์ ควรคำนึงถึงฝ่ายที่สูญเสียว่ามีปฏิกิริยาต่อต้านยังไงบ้าง เรื่องบางอย่าง ควรมีการจัดลำดับความสำคัญ กฎหมายที่ดี คือให้คนหมู่มากค่อยๆ ปรับตัวและยอมรับ ไม่ใช่ทำให้บ้านเมืองยุ่งเหยิงกว่าเดิม เพราะฉะนั้น ตอนนี้ยังไม่สาย ที่จะพิจารณาเรื่องนี้ใหม่"
"ใต้เท้า เรื่องนี้ข้าไม่เห็นด้วย"
"องค์ชาย"
" ค่านิยมที่มีมานานส่งผลร้ายต่อบ้านเมือง เพราะทุกคนอยู่เฉย ไม่กล้าทำอะไร การปฏิรูปอาจมีความสูญเสียบ้าง แต่เราก็ต้องเดินหน้าต่อไป ถ้าเราใส่ยาแผลที่เน่า มันจะเจ็บปวดอย่างมาก ถ้าไม่เจ็บเลย แผลก็ไม่มีวันหายดีได้ ฉะนั้นถ้าเรายุติกลางคัน อีกหน่อย เราต้องเผชิญกับความเจ็บปวดมากกว่านี้ ซึ่งข้าไม่อยากให้เกิด"
แชจีคยอมกล่าวอะไรไม่ออก "องค์ชาย"
องค์ชายลีซานปรึกษาเรื่องนี้กับฮงกุกยอง
" ร้านค้าปิดกิจการหมด วันนี้เป็นวันที่ 4 แล้ว ได้ข่าวว่าข้าวสารและเกลือ ราคาขึ้นสูงเป็นเท่าตัว เพราะทุกร้านนัดแนะไม่ยอมปล่อยขาย ทำให้สินค้าไม่พอแก่ความต้องการ"
"แต่ว่า เรื่องนี้คงไม่ยืดเยื้อนานนัก ทรงวางพระทัยเถอะพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ไม่เพียงแถว "ลียอน" และ "ชินแพ" แม้แต่พ่อค้าเร่ในเขตอื่น ก็เริ่มสั่งซื้อสินค้ามากขึ้น แม้จะไม่สามารถกว้านซื้อทีละมากๆ เหมือนพวกเศรษฐี แต่พวกเขาก็ทยอยนำสินค้ามาขายในเมืองหลวง แล้วไม่นานก็จะเข้าสู่ภาวะปกติ แก้ปัญหาสินค้าขาดตลาดได้พ่ะย่ะค่ะ"
"ใช่ เราต้องมีความอดทนหน่อย ถ้าแก้ปัญหาเรื่องสินค้าขาดได้ พ่อค้าในตัวเมืองก็จะหมดทางสู้ ยอมรับการเปลี่ยนแต่โดยดี"
จากนั้นไม่นานก็เกิดเรื่องอื่นอีก ฮงกุกยองรายงานองค์ชายลีซาน
"หมายความว่าไง สินค้าที่จะเข้าเมืองถูกสกัดไว้หรือ" องค์ชายลีซานถาม
" ไม่เพียงแต่ท่าเรือใหญ่ แม้แต่ โทโม ต๊กซอน อันนำ ชองนง ยองซาน ซอกัง และ ยอนซอ ตลอดทั้งวันนี้ มีเรือเทียบท่าไม่ถึง 10 ลำพ่ะย่ะค่ะ"
"อะไรนะ"
" ไม่เพียงแต่แค่นี้ พ่อค้าคนกลางที่ลำเลียงสินค้ามาทางบก ส่วนใหญ่ก็หยุดการเดินทาง แสดงว่า มีใครบางคนไปติดต่อ ขวางไม่ให้พวกเขาเข้าเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ"
"ถ้าอย่างงั้น แล้วพวกพ่อค้าเร่ล่ะ ไม่มีสินค้า สองวันนี้พวกเขาจะเอาอะไรมาขาย"
จบ 21ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน 22
องค์หญิงวาวานถามชองโฮคยอมว่าเหตุการณ์เป็นไงบ้าง
"เหตุการณ์เป็นไป ตามที่หม่อมฉันวางแผนไว้พ่ะย่ะค่ะ"
"แล้วองค์ชายล่ะ ตอนนี้เขาเป็นยังไง"
"ถ้าเดาไม่ผิด คงจะนั่งกุมขมับ ไม่รู้จะแก้ปัญหานี้ยังไงดี"
" หึ ทำดีมาก เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ข้าจะไปทูลให้เสด็จพ่อรับทราบ จะได้ทรงเห็นถึงความไม่เอาไหนขององค์ชาย แล้วหลังจากนั้น ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทน คงจะไม่อยู่กับเขานานนัก"
"แต่งานของเรายังไม่จบ"
" ใช่ เราต้องชนะอย่างสวยงาม ขาดเหลืออะไรมาบอกข้าได้ ถ้าต้องการเงิน เศรษฐีโอยุนซุกพร้อมจะนำมาให้ หรือต้องการกำลังคน ข้าก็จัดหาให้ได้" องค์หญิงวาวานสั่ง
ชองโฮคยอมบอกให้ลูกน้องทำตามแผนขั้นต่อไป ขณะที่ฮงกุกยองให้ซอจังบูกับคังซกกีไปสืบว่าใครอยู่เบื้องหลังและกลับมารายงาน
" ที่ทำให้สินค้าขาดตลาด,ไม่มีการลำเลียง คือพ่อค้าเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ สินค้าพืชไร่การเกษตรก็เช่นกัน เมื่อ 4 วันก่อน มีคนให้ราคาสองเท่า ขอเหมาตั้งแต่อยู่แหล่งผลิตแล้วพ่ะย่ะค่ะ" ฮงกุกยองทูลองค์ชายลีซาน
"4 วันก่อนหรือ"
"พ่ะย่ะค่ะ แสดงว่าทันทีที่เผาสินค้าอยู่ทางนี้ พวกเขามีแผนสองไว้รองรับอยู่แล้ว"
"นี่มันอะไรกัน พ่อค้าวางเพลิงเผาสินค้า แต่ลับหลัง กลับไปทุ่มเงินอีก 2 เท่าซื้อของงั้นหรือ"
"เรียกว่าตัวเองยอมขาดทุน ก็จะไม่ให้คนอื่นได้ขายของน่ะครับ" ฮงกุกยองว่า
แชจีคยอมถอนใจ "เฮ่ย คนพวกนี้เงินถุงเงินถังอยู่แล้ว ถึงยอมขาดทุนเล็กน้อยก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร"
" นี่ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เกลือกับข้าวสาร เป็นสิ่งที่ขาดแค่วันสองวันก็มีปัญหาแล้ว เรื่องขึ้นราคายังไม่เท่าไหร่ แต่ราษฎรจะขาดแคลนสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ แสดงว่าคนพวกนี้ ยอมเอาชีวิตราษฎรเป็นเดิมพัน ใต้เท้าแชไปคุยกับเจ้ากรมกลาโหม ให้เอาเสบียงสำรองของกองทัพมาปล่อยให้ชาวบ้านก่อน เขา "ซานกะ" ก็ผ่อนผันการเฝ้ายาม ให้ชาวบ้านได้ขึ้นไปตัดฟืน"
แชจีคยอมรับคำ "พ่ะย่ะค่ะ"
"นั่นยังไม่พอ เราต้องคุยกับพ่อค้าหัวเมือง หาวิธีแก้ปัญหา"
ฮงกุกยองรับคำ "พ่ะย่ะค่ะ"
แชจีคยอมเอ่ยถามว่า "องค์ชาย ทำไมต้องคุยกับพ่อค้าหัวเมือง มีประโยชน์อะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ"
" ส่วนใหญ่พ่อค้าหัวเมือง จะไม่ขึ้นกับเมืองหลวง สามารถเดินทางไปยังที่ต่างๆ ค้าขายได้อย่างอิสระ พักก่อนข้าคุยกับพ่อค้าบางคน เห็นว่าหลายปีนี้ พวกเขามีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า ที่พ่อค้าในตัวเมืองหาไม่ได้ ตอนนี้เรามีปัญหาเรื่องสินค้าขาดตลาด หากได้คนพวกนี้มาช่วย ไม่แน่ว่า อาจช่วยให้ราษฎรผ่อนหนักเป็นเบาก็เป็นได้"
ปาร์คยองมุนพาซองซงยอนมาเฝ้าพระชายาโยอึย เพื่อบอกว่าจะให้นางเขียนภาพให้ พระชายาโยอึยทรงยอมรับได้ และขอคุยกับซองซงยอนตามลำพัง
"ได้ยินว่าเจ้าผ่านการแข่งขัน จนได้เป็นช่างเขียนฝึกหัดอยู่ในตอนนี้ ถือว่าเก่งมากสำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง"
"เอ่อ เพราะได้รับความช่วยเหลือจากองค์ชายน่ะเพคะ"
" ใช่ เรื่องแบบนี้มีแต่องค์ชายที่ทำได้ ถ้าไม่เพราะองค์ชาย คนงานจะกลายเป็นช่างเขียน ชาตินี้ก็อย่าหวังเลย เพราะฉะนั้น เจ้าอย่าทำให้องค์ชายทรงผิดหวังล่ะ"
"ทราบแล้วเพคะ"
คิมซังกุงกล่าวแทรกขึ้น "หวังว่าภาพเขียนของนางจะสัมฤทธิ์ผลจริงๆ ช่วยให้พระชายาทรงตั้งครรภ์ไว ๆ นะเพคะ"
"หึ พูดอะไรก็ไม่รู้"
"ถ้าพระชายาทรงตั้งครรภ์จริง จะเป็นกำลังพระทัยให้องค์ชายบริหารราชกิจมากขึ้น เจ้าว่าจริงมั้ย"
"เอ่อ ค่ะ ข้าก็คิดอย่างงั้น หม่อมฉันจะภาวนา ขอให้ทรงสมหวังเร็วๆ"
"ขอบใจมาก"
ช่าง เขียนหญิงมาขอให้ซองซงยอนช่วยสอนเขียนภาพให้ ซองซงยอนจึงมาคุยกับปาร์คยองมุน ปาร์คยองมุนเกรงว่าจะถูกคนอื่นคัดค้านไม่เห็นด้วยอีก แต่เมื่อเห็นซองซงยอนมีปณิธานอันแน่วแน่
"เอ่อ ใต้เท้าคะ ถ้าข้ากลัวถูกต่อต้าน ป่านนี้คงถอดใจนานแล้ว"
"เจ้ารู้จักคิดแบบนี้ก็ไม่เลวนัก เอาเถอะ ลองสอนดูก็ได้"
"หึ ขอบคุณใต้เท้ามากค่ะ"
" ทุกวันนี้ใครต่อใคร ต่างไม่พอใจนโยบายปฏิรูปขององค์ชาย ถ้าเจ้าสามารถทำอะไรบางอย่าง อย่างน้อยก็ช่วยให้ศูนย์ศิลปะมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี อย่าคิดว่าทำเพื่อตัวเองคนเดียว พยายามต่อไปล่ะ"
"ค่ะใต้เท้า"
องค์ชายลีซานเข้าประชุมและถามชองโฮคยอมว่าไม่มีเรื่องรายงานหรือ ชองโฮคยอมบอกว่าไม่มีจริงๆ
"ทำไมอย่างงั้นล่ะ" องค์ชายลีซานทรงแปลกพระทัย
" เพราะข่าวที่เราได้รับมา มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ การขาดแคลนสินค้าในเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ ทุกวันนี้ ไม่เพียงข้าวสารอาหารแห้ง แม้แต่ยาและของใช้จำเป็นอื่นๆ ก็มีราคาสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านจึงยิ่งลำบาก เสียงโอดครวญดังระงมไปทั่วพ่ะย่ะค่ะ"
"อย่าเอาความทุกข์ของราษฎรมาบังหน้าหน่อยเลย ทั้งหมดเกิดเพราะพ่อค้าหน้าเลือด รวมหัวบีบให้สินค้าขาดตลาดต่างหาก"
" องค์ชาย ใครจะกล้าบีบ เป็นไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ อันว่าการค้านั้น เกิดจากความเชื่อมั่นทั้งสองฝ่ายที่มีในระยะยาว พ่อค้าคนกลางจะไม่มาเมืองหลวง เพราะพ่อค้าเมืองหลวงส่งคนไปติดต่ออยู่แล้ว มีการส่งสินค้าไปยัง "ซงตู" นาจู คยองจู และ จอนจู เพื่อสร้างเครือข่ายทางการค้า"
แชซกจูทูลต่อ "เหตุการณ์เช่นนี้ต่อเนื่องไปอีก 4 วัน เศรษฐกิจในเมืองหลวง จะดิ่งเหวอย่างน่ากลัวที่สุด รุนแรงถึงขั้นส่งผลมายังราชสำนัก ตอนนี้ยังไม่สายเกินแก้ ที่จะทรงถอนสิทธิ์ของเหล่าพ่อค้าเร่ กลับไปให้พ่อค้าเมืองหลวงได้ค้าขายตามเดิม"
"ความหมายของท่านเจ้ากรมก็คือ ต้นตอเกิดจากการอนุญาตให้พ่อค้าเร่ขายของ เป็นอย่างงั้นใช่ไหม"
" องค์ชาย ความจริงก็ทรงเห็นอยู่ตรงหน้าชัดเจน แม้ว่าองค์ชายจะเห็นใจชาวบ้าน,ยอมให้พ่อค้าเร่ขายของ แต่กลับทำให้ราษฎรยิ่งเดือดร้อนหนัก ถือว่าไม่ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ"
"ทุก ท่านก็คิดอย่างงั้นหรือ แต่ข้าว่าปัญหา เกิดจากพ่อค้าที่มีใบอนุญาต เอารัดเอาเปรียบ โก่งราคาตามใจชอบ กำหนดทิศทางการตลาดอย่างไม่เป็นธรรมมากกว่า พวกเขาทำให้สินค้าขาดตลาด แต่ทางการกลับทำอะไรไม่ได้ เพราะพวกเขาใช้อิทธิพล ขวางกั้นไม่ให้สินค้าลำเลียงมาเมืองหลวง แค่พ่อค้าไม่กี่ราย กลับสามารถกุมชะตาของบ้านเมืองไว้ แล้วเรายังปล่อยให้พวกเขาเหิมเกริมอีก ข้าจะไม่ให้คนพวกนี้ ทำอะไรตามใจชอบอีก เอางี้ ในเมื่อพวกท่านจนปัญญา ข้าจะหาทางอื่นให้สินค้ามาถึงเมืองหลวงให้ได้ ไม่เชื่อก็คอยดู"
องค์ หญิงวาวานเข้าเฝ้าพระเจ้ายองโจและทูลเรื่ององค์ชายลีซาน พระเจ้ายองโจทรงรับฟัง ขณะที่พระมเหสีจองซุนก็ชื่นชมผลงานของชองโฮคยอมเป็นอย่างมาก
"ข้าเชื่อ ว่าปัญหาที่เหลือ ท่านกับชองโฮคยอมน่าจะสามารถรับมือได้ สำคัญคือหลังจากนั้นต่างหาก ตอนนี้ขุนนางทั้งหลาย ต่างรู้ฤทธิ์องค์ชายเป็นอย่างดี ทำไมเราถึงคิดกำจัดเขา แต่ละคนคงไม่มีข้อสงสัยแล้วสิ และหลังจากปลดเขาแล้ว จะให้ใครขึ้นเป็นรัชทายาทแทน เราคงต้องเริ่มมองหาไว้บ้าง ถ้าไงให้ท่านออกหน้า เชิญพี่ชายข้าที่อยู่เมือง เปียงยาง กลับมาซะ"
ฮงกุก ยองได้รับรายงานว่ามีผู้ซ่องสุมกำลังคนเพื่อสร้างความวุ่นวาย เมื่อฮงกุกยองรู้เช่นนั้นแล้วก็มีจดหมาย ถึงเจ้าเมืองฮันยางเพื่อยุติความวุ่นวาย
แต่เจ้าเมืองฮันยางเป็นคนของที่ชองโฮคยอมบงการอยู่เบื้องหลัง ชองโฮคยอมคิดกำจัดฮงกุกยองในครั้งนี้ด้วย
องค์ชายลีซานทรงหมกมุ่นกับงาน จนไม่ได้พักผ่อน ฮงกุกยอนจึงทูลเชิญให้พระชายามาทรงตามองค์ชายลีซานไปพักผ่อนบ้าง
" หม่อมฉันไปรบกวนองค์ชายหรือเปล่า เพราะเป็นห่วงว่าจะทรงงานหนักเกินไป หลังจากที่พวกเขามาบอก หม่อมฉันจึงไม่ได้คิดอะไรมาก รีบไปห้องทรงงานทันที ถ้าเป็นการวู่วาม ก็ทรงอภัยด้วยเพคะ"
"ขออภัยทำไม เจ้าไม่ได้ผิดซักหน่อย ความหวังดีที่ทุกคนเป็นห่วง มีหรือข้าจะไม่รู้"
"องค์ชาย"
"ข้าก็รู้ว่าคนเราถึงเวลาต้องพักผ่อนบ้าง แต่ว่าเพราะเป็นห่วงเรื่องงาน ทำให้ข่มตาไม่ลงซะที"
"องค์ชาย"
" เมื่อก่อนเสด็จปู่เคยบอกว่า อำนาจเป็นสิ่งที่น่ากลัว โดยเฉพาะพระราชาด้วยแล้ว แค่พูดหรือขยับมือ คนมากมายก็จะถึงที่ตาย ไม่ว่าผิดหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่ข้าทำ แม้จะหวังดีต่อชาวบ้าน แต่เพราะหลายฝ่ายต่อต้าน กลับทำให้ราษฎรยิ่งลำบาก นี่คือสิ่งที่ข้ากลัวนัก"
"ไม่ถึงอย่างงั้นหรอกเพคะ ทำไมถึงได้รับสั่งท้อแท้นัก"
"พินกุง"
" หม่อมฉันเอง ก็ได้ยินเสียงโอดครวญร้องทุกข์ของชาวบ้านเช่นกัน แต่เรื่องนี้ จะบอกว่าทำให้พวกเขาลำบากมากขึ้นก็ไม่ใช่ สิ่งที่องค์ชายทำ ไม่ใช่เพื่อซ้ำเติมความทุกข์ยากของราษฎร การใส่ยาบนแผลที่อักเสบ ก็ต้องเจ็บปวดบ้าง หรือแม้แต่ร้องเสียงดังด้วยซ้ำ แต่ว่า แม้จะรู้ว่าเจ็บปวดสาหัส คนเป็นพ่อแม่ยังต้องฝืนใจ ใส่ยาให้ลูกต่อไป เพื่อหวังว่ายานั้นจะช่วยให้ลูกหายเจ็บหายไข้ ตอนนี้องค์ชายก็กำลังเยียวยาบาดแผลที่ร้าวลึกของราษฎรอยู่เช่นกัน หม่อมฉันเชื่อว่าซักวัน พวกเขาต้องเข้าใจความหวังดีขององค์ชายแน่"
0000000000000000000
และวันรุ่งขึ้นพระเจ้ายองโจต้องตกพระทัย เพราะเกิดการจลาจลขึ้น จนถึงกับมีคนตาย องค์ชายลีซานทรงทราบก็ตกพระทัยยิ่งนัก
แช จีคยอมเล่าว่า "จู่ๆ มีชาวบ้านไปชุมนุมนับพัน ทางการต้องการให้สลายตัว แต่กลับใช้วิธีรุนแรง ทำร้ายชาวบ้านไปร้อยกว่าคน และมีบางคนเสียชีวิตด้วยพ่ะย่ะค่ะ"
"หา หึ ทำไมผู้ว่าเมืองหลวง ใช้วิธีรุนแรงขนาดนี้ ข้าไม่เคยรู้ระแคะระคายมาก่อน พวกเขากล้าทำ เพราะได้รับคำสั่งจากใครน่ะ ใต้เท้า"
"เป็นคำสั่ง จากฮงกุกยองพ่ะย่ะค่ะ"
"หา ท่านว่าไงนะ"
"สงสัยเขาจะแอบอ้างรับสั่ง ให้ผู้ว่าเมืองหลวง ใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมของชาวบ้านพ่ะย่ะค่ะ" องค์ชายลีซานฟังแล้วตกพระทัยมาก
ด้านฮงกุกยองพอรู้ว่าตกหลุมพรางก็ตกใจไม่น้อย องค์ชายลีซานถามฮงกุกยอง
"บอกหน่อยซิว่า ท่านไปสั่งให้ผู้ว่า ใช้กำลังสลายการชุมนุมจริงหรือเปล่า"
"เอ่อ องค์ชาย"
"ตอบคำถามข้ามาก่อน"
"ทรงอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ"
"หึ บ้าไปแล้ว ท่านคงเป็นบ้าจริงๆ"
"เอ่อ องค์ชาย" ฮงกุกยองพูดไม่ออก
"ทำแบบนี้มีผลกระทบยังไง ท่านรู้บ้างมั้ย"
"เป็นการหลอกใช้ชาวบ้านพ่ะย่ะค่ะ ชองโฮคยอมจ่ายเงินเกณฑ์ชาวบ้านมาชุมนุม หม่อมฉันรู้ล่วงหน้า แต่สั่งให้เจ้าเมืองใช้วิธี"
"หุบปาก เรื่องแบบนี้ต้องใช้วิธีละมุนละม่อม จะใช้กำลังกับชาวบ้านได้ยังไง"
"องค์ชาย หม่อมฉัน"
"องค์ชายๆ ฝ่าบาทมีรับสั่ง ให้ไปเฝ้าด่วนพ่ะย่ะค่ะ"
พอเสด็จไปเฝ้า พระเจ้ายองโจทรงตรัสดุทันที
" ถือว่าสิ้นคิดหรือเปล่า คนสิ้นคิดยังไม่ทำเหมือนเจ้าเลย ขนาดทำเพื่อราษฎรอย่างแท้จริงยังไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วนี่ เจ้ากลับปล่อยให้ชาวบ้านถูกทำร้าย ต่อหน้าต่อตาเชียวหรือ เห็นว่าเพราะที่ปรึกษาของเจ้าที่ชื่อฮงกุกยอง ไปสั่งให้ผู้ว่าเมืองหลวงใช้กำลัง เรื่องมันยังไงกัน ถึงปล่อยให้ที่ปรึกษาส่วนตัวทำเรื่องขนาดนี้ แล้วเจ้าไม่รู้เลยหรือ ข้าถามเจ้าอยู่,ทำไมไม่ตอบล่ะ"
"ทั้งหมดเป็นความผิดของหม่อมฉันพ่ะย่ะ ค่ะ ฮงกุกยอง เป็นลูกน้องของหม่อมฉันจริงๆ หม่อมฉันให้เขารับตำแหน่ง "จี-พยอง" มีสิทธิ์ในการตรวจค้นและตรวจสอบ ทุกรูปแบบพ่ะย่ะค่ะ"
"แสดง ว่า เรื่องที่เกิด เจ้าเองก็เห็นชอบด้วยหรือ หึ ไม่เอาไหนจริงๆ ถึงเจ้ารอบรู้แล้วจะทำไม คนมีอุดมการณ์ร้อยแปดก็ถือว่าไม่มีประโยชน์ทั้งสิ้น ถ้าไม่มีความห่วงใยราษฎร เจ้าก็ไม่คู่ควรจะเป็นพระราชาในวันหน้าแล้ว"
พระเจ้ายองโจรับสั่งแล้วก็ได้แต่ถอนพระทัย
เหล่าขุนนางพากันมาทูลพระเจ้ายองโจให้ทรงถอดองค์ชายลีซานออกจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ เพื่อเห็นแก่ราษฎรที่น่าสงสาร
องค์หญิงวาวานทรงเสด็จมาเจอกับพระพันปีเฮคยอง
" ดึกป่านนี้ทำไมมาอยู่ข้างนอกล่ะเพคะ ก็น่าอยู่หรอก ในวังเกิดความโกลาหล ใครจะหลับตาลงได้ หม่อมฉันก็ออกมาเดินเล่นให้ผ่อนคลายเหมือนกัน"
พระพันปีเฮคยองรับสั่งกับซังกุง "เราไปเถอะ"
องค์ หญิงวาวานกล่าวขึ้นอีกว่า "คิดว่าพระชายา คงเป็นห่วงมากสิเพคะ สมัยก่อนรัชทายาท ก็อยู่ในระหว่างว่าราชการแทน ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย ไม่นึกว่าองค์ชาย จะเจริญรอยตามเสด็จพ่ออีกคน คิดแล้วก็น่าแปลกนะเพคะ"
"องค์หญิง รับสั่งแบบนี้หมายความว่าไง"
"หึ หม่อมฉันพูดอะไรผิดหรือเพคะ หม่อมฉันเพียงแต่ เป็นห่วงหลานชาย และความปลอดภัยของพระชายาเลยมาเตือนให้รู้"
"งั้นก็ไม่ต้องให้องค์หญิงเป็นห่วงหรอก หม่อมฉันจะไม่ให้ลูกเดินตามรอยเสด็จพ่อของเขา หึ"
พระมเหสีจองซุนทรงชื่นชมชองโฮคยอมเป็นอย่างมาก
"เจ้าทำดีมาก"
"ขอบพระทัยที่ทรงชม"
แชซกจูทูลว่า "แต่ว่า เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านี้นะพ่ะย่ะค่ะ ก่อนจะมีรับสั่งให้ยกเลิกการว่าราชการแทน เรายังไม่ควรวางใจมากนัก"
" ข้าก็รู้ ตอนนี้ ถึงตาทุกท่านในที่นี้จะช่วยออกหน้าบ้างล่ะ ทุกหน่วยกรมกอง จนถึงเขตอำเภอต่างๆ ให้ยกเลิกสิ่งที่องค์ชายเคยสั่งการลงมา กลับสู่ระบบเก่าเหมือนเดิม โดยเฉพาะเรื่องที่ ขุนนางและราษฎรพากันต่อต้านองค์ชาย ต้องยืนยันต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทให้รับรู้ เข้าใจหรือเปล่า"
ทุกคนน้อมรับ "พะยะค่ะ"
ทางด้านศูนย์ศิลปะ ช่างเขียนต่างก็ร้องเรียนกกับปาร์คยองมุนที่จะให้สิทธิ์ซองซงยอนเรียนเขียนภาพ
"โปรดอย่าให้ซงซอน มาเป็นช่างเขียนอีกเลยครับ ไม่เพียงแต่พวกเรา แม้แต่ช่างเขียนฝึกหัดรุ่นเดียวกับนางต่างก็เห็นด้วย"
"พวกเราทำงานศิลปะ ทำไมเป็นคนใจแคบแบบนี้ การกีดกันคนงาน จะทำให้ตัวเองดูสูงส่งขึ้นหรือไง"
" จนป่านนี้ท่านยังไม่รู้อะไรอีกหรือครับใต้เท้า ไม่เพียงแต่หน่วยงานบริหาร ทุกอย่างที่เป็นนโยบายขององค์ชายลีซาน จะถูกยกเลิกหมด แล้วทำไม ศูนย์ศิลปะของเรายังต้องยืนกรานเหมือนเดิมอีก ให้คนงานมาเป็นช่างเขียน แต่แรกมา มันเป็นเรื่องผิดธรรมเนียมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ควรจะยกเลิกเหมือนกัน"
"เรื่องนี้ ข้ายอมไม่ได้หรอกค่ะ" ซองซงยอนเข้ามาคัดค้าน
ขุนนางกับช่างเขียนพากันตกใจ "ยังไงก็ช่าง ข้ายอมรับการตัดสินใจของท่านไม่ได้"
ทุกคนยิ่งตกใจ "หา เอ่อ"
"หนอย นังตัวดี เจ้าพูดอะไรน่ะ ต่อหน้าข้ายังกล้าจองหองอีกหรือ"
" แม้ว่าองค์ชายจะเปิดโอกาสให้ข้าก็จริง แต่คนที่ให้ข้าผ่านการทดสอบคือช่างเขียนอาวุโสทั้งหลาย ที่ร่วมกันให้คะแนน เพราะฉะนั้น ถ้าจะไม่ยอมรับข้า ก็ต้องมีเหตุผลที่ฟังขึ้นซะก่อน"
"หา อะไรนะ มาถามหาเหตุผลหรือ เจ้าเป็นผู้หญิง แถมยังเป็นแค่คนงาน เหตุผลแค่นี้ยังไม่พออีกหรือไง"
" ไม่พอค่ะ ต้องมีเหตุผลมากกว่านี้ แม้จะเป็นผู้หญิง และเป็นคนงาน แต่ความสามารถของข้าก็เป็นที่ประจักษ์ แม้แต่ผู้ใหญ่ยังให้การชมเชย แล้วทำไมมาวันนี้ กลับเอาเรื่องเล็กน้อยมาเป็นข้ออ้างอีก"
"หา นี่ เจ้า หนอย"
ลีชองชอบใจ "อึ้มๆ อย่างงั้น เถียงเข้าไป"
ช่างเขียนตั๊ก "งั้นก็ได้ อยากเป็นช่างเขียนมากใช่ไหม อ้า ภาพงานพิธีนี่ ให้เจ้าเขียนต่อละกัน"
ซองซงยอนอึ้ง "ช่างเขียนตั๊ก"
"นี่ๆๆ ช่างเขียนตั๊ก ทำไมเป็นคนแบบนี้ งานก็ส่วนงานซี่ สิ่งที่เจ้ารับผิดชอบจะโยนให้คนอื่นได้ไง" ลีชองว่า
"ฮึ่ม ข้าไม่อยากทำงานในศูนย์ศิลปะที่ไม่มีหลักการ ถึงไม่มีข้า ผู้หญิงคนนี้ก็ทำแทนได้ทุกอย่าง จริงมั้ยล่ะ"
ช่างเขียนตั๊กเดินหนีไปเลย ลีชองเรียกก็ไม่ฟัง
" เฮ่ย เฮ่อ เอ่อ เห็นใจเขาหน่อยเถอะนะ เพราะตอนแข่งขัน เขาแพ้เจ้าเฉียดฉิวก็เลยงอนถึงทุกวันนี้ ถึงจะเป็นคนใจแคบ แต่จริงๆ ฝีมือเขาดีมาก"
"เฮ่อ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ข้าทำใจได้"
"เอาเป็นว่า รออีกซักพัก เขาจะค่อยๆ ปรับตัวได้เอง เจ้าอย่าคิดมากเลยนะ แต่ว่า ยังไงก็ไม่ควรทิ้งงานไปดื้อๆ จริงมั้ย พรุ่งนี้ต้องส่งภาพงานพิธีแล้วใครจะเขียนทัน สุดท้ายข้าก็อ่วมอยู่คนเดียว เฮ่ย แย่ชะมัด พู่กันไปไหนนะนี่"
องค์ชายลีซานทรงเรียกเทซูมาเฝ้า
"เอ่อ องค์ชาย สีพระพักตร์ไม่สู้ดีนัก ไม่ทราบว่าได้เสวยอะไรหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ"
"กินแล้ว ข้าไม่ได้เป็นไร อย่าห่วงเลย"
"องค์ชาย"
"ที่จริง ข้ามีเรื่องจะไหว้วานเจ้าหน่อย"
"ไหว้วานหรือ"
"ใช่"
"อะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ เชิญรับสั่งมาได้"
องค์ชายลีซานทรงนัดพวกพ่อค้ามาพบ มีดัลโฮรวมอยู่ด้วย
"หลายวันนี้ทำให้ทุกคนลำบาก ต้องขอโทษด้วย เป็นความบกพร่องของข้าเอง"
"อย่ารับสั่งอย่างงั้นพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่องค์ชายทำ ก็เพื่อจะช่วยพ่อค้าต่ำต้อยอย่างพวกเรา"
" ไม่ใช่ ที่ข้าให้ทุกคนมาพบวันนี้ เพื่อแสดงความเสียใจต่อเรื่องที่เกิด ทุกคนอุตส่าห์ร่วมแรงร่วมใจถึงป่านนี้แล้ว เพราะความไม่เอาไหนของข้า กลับทำให้เหตุการณ์ยิ่งเลวร้ายลง แม้ข้าจะเชื่อว่าทำดีที่สุด แต่เรื่องบางอย่าง อาจจะล้มเหลวในไม่ช้า"
ทุกคนถอนใจ "เฮ่ย ทำไมอย่างงั้นล่ะ นั่นสิ"
"ข้ารู้ว่าทุกคนต้องตำหนิข้าแน่ ข้าเองก็เสียใจ"
พ่อ ค้าคนหนึ่งทูล "องค์ชาย โปรดอย่ารับสั่งอย่างงั้น ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น เราก็ไม่กล้าตำหนิพระองค์เลย ถึงจะแค่ไม่กี่วัน แต่องค์ชาย ก็ช่วยให้พวกเราได้ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าอย่างอิสระ ซึ่งจริงๆ แล้ว เป็นสิ่งที่เราไม่กล้าหวังด้วยซ้ำ แล้วองค์ชายกลับมาแสดงความเสียใจ เราไม่กล้ารับหรอกพ่ะย่ะค่ะ"
"ฟังข้าพูดก่อน"
พ่อค้ากล่าวต่อ "แม้ว่า นโยบายนี้จะถูกยกเลิก เราก็ไม่โกรธองค์ชายเลย ถึงจะแค่ไม่กี่วัน องค์ชายก็ทรงทำให้พวกเรา ได้ค้าขายอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ถูกใครมารังควาน พระเมตตาอันสูงส่ง เราจะไม่มีวันลืมพ่ะย่ะค่ะ"
"หึ ไม่หรอก เมตตาอะไรกัน ไม่ใช่อย่างงั้น แต่ว่า ข้าขอให้สัญญากับทุกคน ซักวันถ้ามีโอกาสอีก ข้าจะให้ฝันของทุกท่านเป็นจริง และเมื่อถึงเวลานั้น จะไม่เป็นอย่างตอนนี้ ที่เป็นแค่ช่วงสั้นๆ"
ซองซงยอนจะเขียนภาพที่ช่างเขียนตั๊กสั่ง จึงไปขอสีจากโชบี พวกโชบีกับคนงานต่างช่วยกันหาให้ และขอให้ซองซงยอนช่วยสอนเขียนภาพ
ฮงกุกยอนพบกับเพื่อนของเขา เพื่อนเขาบอกกล่าวกับเขาว่า
" นโยบายต่างๆ ที่องค์ชายเสนอมา เนื่องจากหลายฝ่ายคัดค้าน ทำให้ถูกยกเลิกไปหมด แต่ว่า ก็มีนักวิชาการหลายคน รู้สึกเสียดายต่อแนวคิดนี้มาก"
"งั้นหรือ"
"เมื่อก่อน ข้าก็ไม่เห็นด้วยที่เจ้าทำงานให้องค์ชาย มองว่าเป็นความทะเยอทะยานของเจ้า แต่ตอนนี้เห็นผลงานองค์ชายแล้ว ข้าคิดว่า จะขอรับใช้องค์ชายอีกคนได้ไหม"
"ที่พูดนี่ จริงหรือเปล่าน่ะ"
"ไม่เพียงแต่ข้าคนเดียว แม้แต่ "ยุนแจ" และ "ชองมยอง" ก็เห็นด้วย"
"หึ ขอบใจมาก ข้าจะไปทูลองค์ชายแล้วค่อยลาออก"
"เดี๋ยวก่อน ลาออกอะไร ข้าไม่เข้าใจที่พูด"
"ข้ามีปัญหาบางอย่าง ซึ่งน่าเสียดาย ต่อไปคงไม่มีโอกาสได้ร่วมงานกับเจ้า"
พระมเหสีจองซุนทรงเรียกคิมคีจูพี่ชายเข้ามาช่วย
พระเจ้ายองโจทรงเรียกประชุม เพื่อประกาศราชโองการ
" อึม นั่งลง ก่อนหน้านี้ข้าเคยประกาศที่นี่ ว่าให้องค์ชายลีซานเป็นผู้สำเร็จราชการ ดูแลราชกิจใหญ่น้อยแทนข้า โดยที่ข้าจะขอวางมือชั่วคราว แต่แล้ว เพราะเขาไม่เข้าใจสถานการณ์ ทิศทางการเมืองที่ถูกต้อง ขุนนางก็ไม่อาจให้คำแนะนำซึ่งเป็นที่ยอมรับ ทำให้บ้านเมืองยิ่งเข้าสู่ภาวะวุ่นวาย จนข้าสุดจะทนดู ปล่อยให้ราษฎรเป็นผู้รับเคราะห์และเศรษฐกิจก็นับวันจะตกต่ำ ด้วยเหตุนี้ วันนี้จึงขอประกาศ ให้คืนตำแหน่งผู้สำเร็จราชการขององค์ชาย ลีซาน และให้คืนอำนาจบริหารในนามแห่งพระราชาทั้งหมด"
ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน จบ 22
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ และก็ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านค่ะ
เครดิต : www.oknation.net/blog/lakorn
Readlakorn
เว็บเรื่องย่อละครรายตอนตามบทโทรทัศน์ช่อง3,5,7,นิยาย ไทยรัฐ, ละครเกาหลี,ละครไต้หวัน (Series), ลิ้งค์(Links) ดูละคร Youtube, ลิ้งค์ดาวน์โหลด (Download) เพลงละคร OST. และ เพลง MP3 ทั่วไป ทั้งVampires (แวมไพร์) Sumo อื่นๆ
เรื่องย่อละคร
ลีซานจอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน บริษัทบำบัดแค้น แม่ค้าขนมหวาน คุณแม่จำแลง ใจร้าว สื่อรักชักใยอลวน ดาวจรัสฟ้า คิมชูซอน เมนูรักเชฟมือใหม่ ศิลามณี พลิกฟ้าล่าตะวัน เจ้าหญิงลำซิ่ง มนตราแห่งรัก เสน่ห์นางงิ้ว แก้วล้อมเพชร คุณชายไฮโซกับคุณหนูโอท็อป Hello! My Lady
Readlakorn
10 comments:
ขอบคุณครับ รอหลายวันเลยๆ
สนุกมาก ๆ เลยค่ะ รอตอนหน้าอยู่นะค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ
ตอนที่ 19 มันยังขาดๆแหว่งๆไปป่ะฮับ
ขอบคุณมากครับ สนุกมาก ๆ เลย แต่ก็เห็นใจคนแปลอยู่นะครับ รออ่านตอนต่อไปครับ
หนนี้นานเหมือนกันนะคะกว่าจะมา แต่ก็สมควรกับการรอค่ะ สนุกมากเลย ขอบคุณคุณลิลลี่มากนะคะ อยากให้ตอนต่อไปมาเร็วๆ จัง :)
หนังสือพิมพ์แซงแล้วนะค่ะ
รออ่านอยู่ค่ะ
ใจจะขาดแล้ว
ท่านได้บุญมากเลยนะ่
รอนานมากเลย ตอนต่อไปใกล้มาหรือยังคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
รออยู่เหมือนกันครับ เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาไม่ได้ดูเล้ยยย ติดงานตลอด ฮือออ -/-
ขอให้ได้บุญเยอะนะ่
Post a Comment